หลังจากคิดตั้งมั่นต่อตนเองว่าจะดูแลใส่ใจบุตรสาวคนโตให้มากขึ้นมู่หรงเยี่ยนก็พยายามจะออกตรวจราชกิจแทนองค์ฮ่องเต้ให้น้อยลงถึงจะไม่ได้น้อยจนสามารถรั้งอยู่จวนได้นานเป็น10วันต่อหนึ่งครั้งแต่เขาก็ได้กลับจวนในทุกเดือนไม่ต้องห่างหายไปคราวละ2-4เดือนเช่นอดีตและวันนี้หลังจากเลิกประชุมขุนนางในช่วงใกล้ยามอู่มู่หรงเยี่ยนที่เห็นสมควรต่อการจัดงานปักปิ่นให้แต่บุตรสาวของตนเองที่นางนั้นถึงวัยครบ15หนาวบริบูรณ์เช่นบุตรหลานสกุลใหญ่ทั้งหลายเสียที จึงคิดเข้าเฝ้าขอประทานปิ่นจากองค์ฮ่องเต้ตามสัญญาที่พระองค์เคยกล่าวแก่เขาเอาไว้นับจากภรรยาของเขาเพิ่งตั้งครรภ์ว่าหากบุตรของแรกคือสตรี ในยามคุณหนูใหญ่มู่หรงปักปิ่นจะเป็นปิ่นที่องค์ฮ่องเต้พระราชทานด้วยมือตนเอง
“ช่วงนี้ใต้เท้ามู่หรงดูจะมีห่วงที่จวนอย่างยิ่งมิทราบว่าภรรยาคนใดของใต้เท้าตั้งครรภ์กระนั้นหรือ”
ท่านเจ้ากรมโยธาถามขึ้นเมื่อก้าวพ้นจากท้องพระโรงใหญ่มาด้วยกัน วันนี้ถือเป็นวันดีอีกหนึ่งวันของดินแดนเทียนหนิงเมื่อองค์ฮ่องเต้ได้แต่งตั้งพระราชททานยศให้แก่องค์ชาย5’ หลี่หยวนเซิน’ ที่ครบวัย21หนาวก้าวขึ้นเป็นท่านอ๋อง5ทว่ายังมิได้ประทานแคว้นให้ปกครองตอนนี้ต้องรอท่านอ๋อง5ครบวัย25หนาวบริบูรณ์ยามนั้นจึงมาตัดสินจากผลงานใช่ช่วง4หนาวก่อนหน้าว่าทำได้ดีเพียงใด ส่วนองค์ชายใหญ่ ‘หลี่โม่คัง’ บัดนี้ครบวัย25หนาวบริบูรณ์จากอดีตดำรงตำแหน่งท่านอ๋อง3 (บุตรลำดับที่1เสียชีวิตตั้งแต่วัน1หนาวส่วนลำดับที่2นั้นเป็นองค์หญิงใหญ่) ด้วยผลงานอีกทั้งศักดิ์และสิทธิ์ที่กำเนิดจากฮองเฮาท่านอ๋อง3จึงได้รับตำแหน่งองค์ไท่จื่อผู้สืบต่อราชบัลลังก์อย่างถูกต้องในเทียนหนิงต่อไป
นี่จึงนับเป็นวันดีขุนนางทุกกรมและทุกฝ่ายจึงต่างมารวมตัวกันจนเนืองแน่นมิขาดตก เพราะหนึ่งพวกเขาต่างต้องมาดูสถานการณ์ว่าจะต้องเลือกข้างสนับสนุนทางใด ระหว่างไท่จื่อ ที่ฮ่องเต้ประทานยศให้ด้วยมิอาจขัดราชประเพณีที่มีมาคู่เทียนหนิงให้บุตรชายที่เกิดจากฮองเฮามีสิทธิ์โดยชอบธรรมในการเป็นองค์ชายรัชทายาท ต่อให้เขาโปรดปรานีองค์ชาย5หรือบัดนี้คือท่านอ๋อง5ที่กำเนิดมาจาก’ หลิวกุ้ยเฟย’ สตรีสามัญชนแต่เป็นสตรีที่องค์ฮ่องเต้รักเพียงหนึ่งเดียว
เพราะราชสำนักเลือกข้างถูกย่อมอยู่ดีมีสุขรากฐานต่อไปย่อมแน่นหนาไปจวบจนผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนั่นเลยทีเดียว
“หามิได้ใต้เท้ากวง อีกมิกี่วันเจินเอ๋อร์ก็จะถึงวันเข้าพิธีปักปิ่นแล้วมารดานางก็ตายจากข้าเป็นบิดาจึงอยากดูแลนางให้ดีสักหน่อย”
ยามกล่าวถึงบุตรสาวใบหน้าที่มักสงบนิ่งยากจะคาดเดาทุกอารมณ์และความคิดของใต้เท้ามู่หรงอัครมหาเสนาบดีที่ยังหนุ่มแน่นอยู่มากกลับกระจ่างสดใสผู้มากวัยกว่าแลเห็นก็อดจะยิ้มแย้มเสียมิได้
“เป็นเช่นนี้เองบุตรสาวของใต้เท้าเติบโตจนเข้าวัยปักปิ่นได้แล้วหรือนี่ดูเอาเถิดในยามนั้นข้ายังจดจำใบหน้าของฮูหยินเอกของใต้เท้ามู่หรงได้ว่านางงดงามมิเป็น2รองผู้ใดบัดนี้คุณหนูใหญ่จะเข้าวัยปักปิ่นแล้วคงงดงามมิผิดมารดากระมังใต้เท้ามู่หรงจึงดูห่วงใยอย่างยิ่ง”
เขาเองบัดนี้ลูกชายคนที่6ก็ใกล้วัยออกเรือนตกแต่งภรรยาเอก หากได้เกี่ยวดองกับตระกูลใหญ่เช่นกันย่อมมั่นคงขึ้นอีกหลายเท่าตัว เคยได้ยินว่าบุรุษรูปงามตรงหน้ามีบุตรสาวทว่าจนป่านนี้เขาเองก็มิเคยพบหน้าหากเป็นบุตรสาวและบุตรชายทั้ง5จากเหล่าภรรยารองและอนุภรรยานั้นเขาพบเห็นอยู่บ่อยครั้ง
“หามิได้ใต้เท้ากวง บุตรสาวคนโตผู้นี้ถึงจะเติบโตจนอีกมิกี่วันนี้ก็จะปักปิ่นทว่าร่างกายยังเด็กดังกับเพิ่งเข้าวัย9หนาวเท่านั้น ‘เสี่ยวเย่’ และ’ เสี่ยวหรั่น’ ที่เป็นน้องสาวยังตัวโตกว่าเจินเอ๋อร์เสียอีก”
เมื่อได้พูดคุยถึงลูกรักท่านอัครมหาเสนาบดีผู้เคร่งขรึมมีอันหยุดยืนคุยอย่างจริงจัง อย่างที่มิเคยพบเห็นมาก่อน เหล่าขุนนางที่รู้จักกันดีจึงมาร่วมวงด้วยเห็นเป็นสิ่งประหลาด
“เช่นนั้นอีก4วันที่จวนข้าจัดเลี้ยงครบเดือนให้แก่หลานคนแรกก็ถือโอกาสเรียนเชิญใต้เท้ามู่หรงและคุณหนูใหม่มาเป็นเกียรติสักครั้งจะได้หรือไม่”
ท่านเจ้ากรมกลาโหมเองก็เริ่มหมายมั่นบุตรีคนโตของอัครมหาเสนาบดีใหญ่เช่นกัน ต่อให้คนเป็นพ่ออยากโอ้อวดถึงลูกสาวมากเพียงใดแต่การที่แลเห็นกิริยาช่วงชิงแข่งขันตรงหน้ามู่หรงเยี่ยนมีหรือจะเบาปัญญาจนดูไม่ออกถึงสิ่งที่ขุนนางใหญ่เหล่านี้ปรารถนา
“เจินเอ๋อร์นางเป็นใบ้นับแต่กำเนิด จึงมิใครชมชอบออกงานสังสรรค์เช่นเหล่าน้องๆ เกรงว่าจะทำให้ใต้เท้าสือผิดหวังแล้ว”
ก็ให้มันรู้ไปว่าผู้ใดจะคิดอยากได้บุตรสาวเขาอีกในเมื่อรับรู้ว่านางพิการเช่นนี้ ชีวิตของเจินจูลำบากทุกข์ยากมาพอแล้วเขาจะไม่ยอมให้ตาเฒ่าพวกนี้มาใช้นางเป็นหนทางปูไปสู่ความยิ่งใหญ่ของเหล่าบุตรหลานของพวกเขาเด็ดขาด
“โอ่ว…”
ท่านเจ้ากรมกลาโหมถึงกับเผลออุทานอย่างเก็บอาการมิทันยามได้รู้ว่าบุตรีคนโตของท่านใต้เท้ามูหรงบ้าใบ้พูดไม่ได้
ก็ใครเล่าคิดอยากรับสะใภ้พิการมาร่วมวงศ์ตระกูล ต่อให้บิดานางยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม แล้ววงสนทนาก็แยกย้ายเมื่อแลเห็นว่าไร้ผลประโยชน์
กายสูงใหญ่เลยได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่
…เจินเอ๋อร์พ่อขอโทษเจ้านักแต่หากไม่ทำเช่นนี้จะรู้ได้ถึงความจริงใจของว่าที่บิดาสามีไปได้อย่างไร…
มู่หรงเยี่ยนคิดขอโทษลูกสาวตัวน้อยที่เมื่อครู่เขาคล้ายเอาปมด้อยของมู่หรงเจินจูมาประจานต่อหน้าคนหมู่มาก ยามนี้นางยังไม่รู้แต่วันหน้าหากนางได้รู้ว่าบิดาทำอันใดลงไปบ้างกับการเลือกคู่ครองให้แก่นางเขาเองก็ไม่รู้ว่าลูกสาวนั้นจะน้อยใจหรือเขาใจความหวังดีของเขาในยามที่นางรู้เรื่องนี้เข้าแต่ต่อให้นางจะเกลียดเขาหากปกป้องลูกสาวได้เขาจะถูกลูกเกลียดลูกเข้าใจผิดก็ช่างเถิด
...ตำหนักชิงหยุน...
"นี่เวลาผ่านมารวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือฮ่าๆ "
บุรุษวัยปลายสี่สิบหนาวกล่าวไปด้วยอารมณ์เบิกบาน
"ว่านกงกงนำสิ่งนี้ส่งหมอบให้แก่ใต้เท้ามู่หรง"
กล่องไม้สีดำถูกหยิบยื่นให้แก่ขันทีข้างกาย
"ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตาเจินเอ๋อร์พ่ะย่ะค่ะ"
มู่หรงเยี่ยนนั้นจิตใจมิได้ชมชอบท่านอ๋องห้านักแต่ทว่าคนผู้นั้นนับได้ว่าเหมาะสมต่อการเป็นสวามีของบุตรสาวของเขาแล้วกว่าจะถึงวันนี้เขานั้นร้อนใจเสมอด้วยศึกสายเลือดก็มิได้มีเพียงในวังหลวงทว่าตระกูลมู่หรงก็มิใช่จะเบาและดวงใจหนึ่งเดียวของเขาในจวนใหญ่ผู้คนหลายร้อยแห่งนั้นก็มีเพียงมู่หรงเจินจูหากไม่เร่งส่งนางอยู่ใต้บารมีคนเช่นท่านอ๋องห้าไม่วันใดก็วันหนึ่งนางจะต้องตกเป็นเครื่องมือให้ยัยเฒ่าอสรพิษใช้มาบีบเขาก็เป็นได้ สูญเสียดวงใจไปแล้วเขาจะมิเสียแก้วตาไปอีกเป็นแน่
"กล่าวอันใดเช่นนั้นที่ใต้เท้ามู่หรงวางใจยินดียกแก้วตามาให้บุตรชายของเจิ้นดูแลต่อนับว่าเป็นเกียรติแล้ว”
ย่อมแน่แท้ว่าหากเพียงเป็นเพียงบุตรีในอัครมหาเสนาบดีก็คงมิได้มากค่าเท่าใดทว่าคุณหนูใหญ่มู่หรงมีสายเลือดกึ่งหนึ่งเป็นชาวต้าฉู่อำนาจย่อมเกื้อหนุนท่านอ๋องห้าได้ดีที่สุดหลี่ปิงเฉิงนั้นมีใจห่วงบุตรชายผู้นี้ที่สุดจึงวางหมากเอาไว้นับตั้งแต่ทราบว่าบุตรีคนแรกที่กำเนิดจากฮูหยินเอกของมู่หรงเยี่ยนนั่นแล้วอาจจะกล่าวหาว่าเขามันเป็นบิดาชั่วรักบุตรมิเท่ากันเขาก็ยอมรับ
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาทต้องนับเป็นวาสนาของเจินเอ๋อร์พระองค์เมตตานาง”
อำนาจนั้นยามเมื่อก้าวขึ้นมาแล้วจะย้อนคืนย่อมยากเย็นเช่นกันมู่หรงเยี่ยนในยามเขามายืนในจุดสูงส่งจะให้ถอยกลับย่อมมิได้ประดุจดังผู้ขึ้นบนหลังพยัคฆ์จะคิดลงก็มีเพียงถูกพยัคฆ์ขบกัดจนชีวีวางวายก็คงมีแต่รักษาจุดที่ยืนให้มั่นคงมิอาจปล่อยวางก้าวลงไปให้ถูกฝูงสุนัขป่าหิวโซฉีกทึ้ง
…เจินเอ๋อร์พ่อขอโทษเจ้ายิ่งนักทว่าหากมิเลือกวิธีนี้ก็มิอาจหลับตาตายลงอย่างสงบไปได้…
มู่หรงเยี่ยนที่นั่งอยู่บนรถม้าได้แต่จับจ้องมองปิ่นหยกประดับไข่มุกสีชมพูหวานนิ่งอีกมิกี่วันหากส่งหมอบมันให้แก่บุตรสาวนั่นก็หมายถึงว่าชีวิตอันสงบเงียบผาสุกของมู่หรงเจินจูก็จบสิ้นลงเช่นกัน
“อ้ายเหริน…ท่านพี่ขอโทษเจ้าแล้ว…ขอโทษที่มิอาจหมอบชีวิตอันสงบสุขให้แก่แก้วตาของพวกเราดังที่เจ้าวาดหวังได้”
ปิ่นงดงามสูงค่าทว่าก็มากไปด้วยภาระอันหนักหนาต่อผู้จะได้ครอบครองเป็นเจ้าของมัน