ตอนที่ 6 - 2

1672 Words
“พี่ว่า...พี่ยังไม่พร้อม” เขาพูดแล้วก็ให้รู้สึกเสียใจอยู่และนึกขอบคุณที่เธอหลบสายของเขาโดยการพิงตัวกับอกกกว้าง ดีเหมือนกันเขาจะได้ไม่ต้องเห็นแววตาเศร้า ๆ ของเธออีก ซึ่งติณณ์ก็คาดถูก ทิพรดาเองก็ไม่ต้องการให้เขาเห็นแววตาเศร้าและรอยยิ้มเหงา ๆ ของเธอ เพราะเธอเองก็พอจะเดาคำตอบจากเขาได้บ้างแล้ว แต่เมื่อเขาเอ่ยมันออกมาจริง ๆ เธอก็อดน้อยใจไม่ได้อยู่ดี ความสัมพันธ์ที่ผ่านมา เปรียบเสมือนเธอยังเดินหลงทางอยู่ในเขาวงกตของหัวใจชายหนุ่ม ทั้งที่พี่ติณณ์ของเธอยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับตัวไปไหน คงมีเพียงเธอเท่านั้นที่พยายามวิ่งตามเขาตลอด หากครั้งนั้นหากเธอไม่ตามเขาไปเรียนต่อถึงที่นั่น ไม่พาตัวเองใกล้ไปชิดกับเขา แล้วความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอจะสานกันมาถึงในระดับที่ใครต่อใครเห็น และบอกว่าเป็นคนรักกันหรือไม่...ทิพรดาคิดด้วยความหมองเศร้า “ทำไมละคะ หรือติดอยู่ที่ตะวัน” จู่ ๆ ทิพรดาก็นึกถึงใบหน้าสวยใสของเด็กสาวที่เจอกันเมื่อตอนเย็น เธอกลั้นใจถามขึ้นมาทันที และดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะออกอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะถามกลับเสียงแข็งอย่างไม่ชอบใจ “ตะวันมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย ทิพย์!” เกี่ยวได้อย่างไรนั้น คงต้องถามใจพี่ติณณ์เอาเองดีกว่าค่ะ ใจจริง ๆ ทิพรดาอยากจะเอ่ยแบบนี้กับเขายิ่งนัก บอกเพื่อให้เขากลับไปถามใจตัวเองแล้วก็ตอบถามที่ออกมาจากปากเมื่อหครู่นี้ของเขา เธอไม่เคยละทิ้งความสงสัยที่นำมาซึ่งลางสังหรณ์ใจบางอย่างเกี่ยวกับท่าทีของติณณ์ที่มีต่อเด็กสาวคนนี้ หลายต่อหลายครั้งที่เธอมักจะเจอเหตุการณ์อันน่าแปลกใจเกี่ยวกับติณณ์และเด็กสาว ว่าทำไม ติณณ์ถึงดูใส่ใจและห่วงใยต่อเด็กสาวที่อยู่อีกฟากฟ้าหนึ่งมากกว่า เมื่อมีข่าวคราวจากเด็กสาวคนนี้ ติณณ์ก็ดูเหมือนจะให้ความสนใจมากกว่าเธอที่อยู่ใกล้ด้วยซ้ำ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่คุณลุงเตชสิทธิ์โทรศัพท์มาบอกเขาว่า เพียงตะวันปีนขึ้นไปเก็บมะม่วงหลังบ้านแล้วพลาดพลั้งเกิดตกลงมา ติณณ์รู้ก็มีสีหน้าและท่าทางอันร้อนใจราวกับเจ็บปวดแทนเพียงตะวันอย่างเด่นชัด หรือแม้แต่อาการดีใจเสียจนปิดไม่มิดเมื่อคุณลุงเตชสิทธิ์โทรศัพท์มาบอกว่าเพียงตะวันสอบได้ที่หนึ่งของระดับชั้น ซึ่งเธอเองก็ได้แต่เก็บงำความสงสัยในเรื่องนี้มาโดยตลอด เด็กสาวคนนี้กระมังที่ดูเหมือนจะเป็นดั่งประตูบานสุดท้ายที่หากเธอเปิดผ่านไปได้ เธอก็จะสามารถเข้าไปสู่หัวใจติณณ์ได้เช่นกัน ทิพรดาหวนกลับมาสู่ปัจจุบันต่อ ที่ในความเป็นจริงเธอไม่สามารถตอบได้อย่างที่ใจคิด เธอจึงตอบในทีเล่นทีจริง “เพราะอะไรหรือคะ พี่ติณณ์คงคิดว่า ถ้าทิพย์แต่งงานกับพี่ติณณ์แล้ว กลัวว่าทิพย์จะต้องลำบากใจที่ต้องช่วยพี่ติณณ์ดูแลตะวันน่ะสิคะ” ถึงแม้จะรู้สึกเสียใจกับน้ำเสียงเข้มนั้น แต่ทิพรดาก็สามารถเรียกความแจ่มใสคืนกลับมาทบนใบหน้า เธอเงยหน้าขึ้นมายิ้มหวานราวกับปลอบใจกับท่าทีตกใจของชายหนุ่ม “มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอกครับทิพย์ เอาเป็นว่าเราอย่าเพิ่งมาพูดเรื่องนั้นกันดีกว่า” ชายหนุ่มรีบหน้าขรึมรีบตัดบท รู้สึกไม่ตลกด้วยเลยสักนิดที่เธอจะเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอย่างล้อ ๆ ทิพรดาพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อปลอบใจตัวเองต่อท่าทีของชายหนุ่ม แล้วหญิงสาวก็เดินไปเปิดประตูรถแล้วหยิบเอากล่องผ้ากำมะหยี่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็กขึ้นมาเปิดให้ชายหนุ่มดู “พี่ติณณ์ช่วยติดนี่ให้ทิพย์หน่อยสิคะ” ติณณ์ก้มมองดูกิ๊บติดผมรูปดาวที่อยู่ในกล่องในมือของหญิงสาว ที่เขาซื้อให้เธอเมื่อตอนเย็นก่อนเอื้อมมือไปหยิบมาบรรจงสอดมันเข้ากับเรือนผมของหญิงสาวแล้วติดมันให้ตามที่ใจของทิพรดาต้องการ กิ๊บรูปดาวที่มีเพชรปลอมประดับตอนนี้แลดูสวยงามอยู่บนเรือนผมของทิพรดา มันกำลังทอแสงระยิบระยับอยู่บนเรือนผมงามนั้น ติณณ์ยืนจ้องแล้วชื่นชมความงามนั้นอยู่ในใจอย่างเงียบ ๆ ครั้นแล้วหัวใจของคนมองก็อดไม่ได้ที่จะกระหวัดไปถึงใครอีกคนหนึ่ง ถ้าหากว่ากิ๊บรูปผีเสื้อนั้นอยู่บนเรือนผมของเธอจะสวยเท่านี้รึเปล่าหนอ... “กราบสาม” เสียงที่เปล่งออกมาพร้อม ๆ กันของเด็กนักเรียนหญิงที่นั่งเรียงกันเป็นแนวกระดานหลายแถว ต่างก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกัน จุดที่พวกเธอนั่งนั้นต่างก็หันหน้าไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมดนั่นคือ พระพุทธรูปองค์ขนาดไม่ใหญ่มากที่ตั้งอยู่บนหิ้งตรงหน้า ตอนนี้เวลาไหว้พระก่อนของเด็กนักเรียน ซึ่งเสร็จสิ้นจากนี้แล้วอาจารย์ก็จะปล่อยให้นักเรียนกลับขึ้นไปยังห้องพักเพื่อเข้านอน แต่ก่อนจะขึ้นไปนั้น หนึ่งในอาจารย์ที่มาคุมเด็กนักเรียนนั้นได้ลุกขึ้นมาพูดถึงกิจกรรมดี ๆ ที่ทางโรงเรียนประจำแห่งนี้จะมีขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าว่า ปีนี้ทางโรงเรียนจะมีการจัดกิจกรรมในวันครบรอบวันสถาปนาโรงเรียน ซึ่งจะมีการแสดงของนักเรียนของโรงเรียนอีกด้วย หมดประโยคบอกเล่าของอาจารย์ก็เกิดเสียงฮือฮาอย่างตื่นเต้นของเด็ก ๆ ซึ่งรวมถึงเพียงตะวันที่กำลังปรบมือเบา ๆ กับมินตรา แต่มาพออาจารย์คนเดิมกล่าวอีกครั้งว่าจะเชิญ จะเชิญผู้ปกครองเข้ามาร่วมชมด้วยนั้น เพียงตะวันก็รีบชักมือกลับ ใบฉายความผิดหวังอย่างปิดไม่มิด อีกแล้วเหรอ... เด็กสาวนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เธอต้องรู้สึกผิดหวังเหมือนปีที่แล้ว ที่โรงเรียนได้จัดให้มีการแสดงในวันครบรอบวัน สถาปนาของโรงเรียนซึ่งแน่นอนว่าเด็กสาวที่มีความสามารถอันโดดเด่นอย่างเพียงตะวันก็ได้รับคัดเลือกให้แสดงในงานวันนั้นด้วย และทางโรงเรียนก็ได้เรียนเชิญผู้ปกครองของเด็กทุกคนเพื่อเข้าชมการแสดงของเด็ก ๆ แต่หลังจากเสร็จสิ้นการแสดงนั้นแล้ว เด็กสาวอย่างเธอก็ต้องเจอกับความผิดหวัง ด้วยเธอหวังว่าติณณ์จะมาร่วมชมการแสดงในครั้งนั้นของเธอ จนแล้วจนรอด ตั้งแต่เริ่มการแสดงจนกระทั่งการแสดงเสร็จสิ้นเขาก็ยังไม่มา เขาเป็นแรกที่ทำให้เธอเสียใจ...ก่อนหน้านั้นเธอไม่เคยรู้สึกเสียใจเลย เมื่อตอนที่ยังมีคุณลุงเตชสิทธิ์อยู่ คุณลุงก็ทำหน้าที่ของท่านในฐานะผู้ปกครองได้อย่างดีเยี่ยม ท่านจะมาให้กำลังใจเธอทุกครั้งที่เธอได้เป็นตัวแทนของโรงเรียน ท่านจะคอยทอดสายตามองเธออย่างชื่นชม แต่ลูกชายของเขาสิ ทำหน้าที่ได้อย่างขาดตกบกพร่อง น่าตำหนิเสียจริง ๆ จากสาเหตุข้างต้นทำให้เพียงตะวันคิดว่า...ปีนี้เธอจะไม่บอกเรื่องนี้ให้เขาทราบ เพราะเธอไม่ต้องรอเขาด้วยความผิดหวังอีกแล้ว เพียงตะวันมารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อเกิดเสียงปรบมือกันเกรียวกราวด้วยความถูกอกถูกใจของเด็ก ๆ ที่ทราบว่าอาจารย์ที่ปรึกษาในเรื่องการแสดงคืออาจารย์นันท์นภัส “เย้ ๆ ๆ อาจารย์นภัส” เสียงมินตราห่อปากร้องเบา ๆ เพียงตะวันเองก็รู้สึกดีใจด้วยที่ได้อาจารย์นันท์นภัสเป็นที่ปรึกษา ท่ามกลางความดีใจของใครหลายคน เธออดไม่ได้ที่จะมองหาอาจารย์และเธอก็ไม่ผิดหวังเลยเมื่ออาจารย์คนสวยที่นั่งรวมอยู่กับอาจารย์คนอื่นกำลังมองมาทางเธอเช่นกัน ทั้งเธอและอาจารย์แอบสบตากันอย่างเงียบ ๆ ความอบอุ่นหลั่งไหลเข้าสู่ดวงใจของเพียงตะวัน จนหญิงสาวอดที่จะยิ้มออกมาน้อย ๆ ไม่ได้ “ยิ้มอะไรเหรอตะวัน” มินตราเอียงคอกระซิบถาม เวลานี้เสียงปรบมือนั้นเงียบลงแล้ว เพราะอาจารย์ศจีพูดถึงเรื่องอื่น ๆ ต่อไป “ยิ้มดีใจที่อาจารย์นภัสจะมาเป็นที่ปรึกษาให้กับพวกเราไง หรือว่ามินต์ไม่ดีใจ” “ดีใจสิแต่เราว่า...” เด็กสาวหยุดพูดก่อนจะลากเสียงยาวในทำนองครุ่นคิด เพียงตะวันมองใบหน้ามิตราที่ดูเหมือนกับกำลังนึกอะไรอยู่นั้นจากนั้นเหมือนจะคิดได้ มินตรารีบโพล่งพูดออกมา “ เราว่ารอยยิ้มกับดวงตาของตะวันดู ๆ ไปก็คล้ายกับของอาจารย์นภัสอย่างไรไม่รู้” “รอยยิ้มกับดวงตาของตะวันกับอาจารย์นภัสเหรอคล้ายกัน ...” เพียงตะวันทวนคำของเพื่อนอย่างขำ ๆ ก่อนจะหัวเราะร่วนแล้วพูดต่อ “มินต์คิดมากไปมั้ง” “จริง ๆ” คราวนี้เป็นทีของเพียงตะวันบ้างทำท่าครุ่นคิด “อื่ม...” “มีอะไรเหรอ...” “เวลาที่มินต์คุยกับอาจารย์นภัส มินต์รู้สึกยังไงบ้าง” “หมายความว่ายังไง” มินตราถามต่อเมื่อไม่แน่ใจในคำถามของเพียงตะวัน “ก็ประมาณว่ารู้สึกอบอุ่นหัวใจประมาณนั้นน่ะ เคยมั้ย” “ดีใจเฉย ๆ น่ะมี แต่อบอุ่นในหัวใจอย่างที่ตะวันบอกไม่รู้สิ ไม่มีนะ” “งั้นก็เป็นแค่เฉพาะตะวันคนเดียว” เด็กสาวพึมพำเบา ๆ ก่อนจะเงียบตั้งใจฟังอาจารย์ศจีพูด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD