ตอนที่ 4 - 2

2227 Words
“เฮ้อ...ลุงค่อยโล่งใจหน่อย เอาเป็นว่า...ลุงเข้ามานานแล้ว เห็นทีคงต้องขอตัวกลับห้องทำงานก่อน” ทัตพลพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยดูจะใจเย็นด้วยซ้ำ ที่มันสวนทางกับความรู้สึกในใจที่เดือดพล่านขึ้นมาเรื่อย ๆ หน็อย! ไอ้เด็กเมื่อวานซืน คิดจะเล่นสงครามเย็นกับฉันหรือ ทัตพลเดินออกไปจากห้อง ติณณ์ทอดสายตามองแผ่นหลังหนานั่นจนลับประตู คำพูดหนึ่งของบิดาที่เคยบอกเขาไว้ผุดขึ้นมาในสมอง ‘คนที่น่าไว้ใจที่สุด คือคนที่ไม่น่าไว้ใจ จำไว้นะติณณ์’ ชายหนุ่มหลับตาลงครุ่นคิดนิด ๆ ด้วยอาการหนักใจกับปัญหาบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นมาอยู่ในบริษัทฯ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นจากน้ำมือของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทของบิดาของเขาเอง ถึงแม้ว่าปัญหาบางอย่างนั้นจะเกิดขึ้นกับคนบางกลุ่ม แต่มันก็ทำให้การทำงานติดขัดไม่ราบรื่น ซึ่งถ้าหากว่าเขายังปล่อยปละเลยเลย เกรงว่าสักวันหนึ่งมันจะลุกลามและขยายวงกว้างจนเขาเองจะจัดการมันไม่ได้... เสียงเคาะประตูดังขึ้นสามสี่ครั้ง แล้วประตูหน้าห้องทำงานก็เปิดกว้าง ร่างบอบบางของเลขาฯ สาวเดินถือแฟ้มเขามาในห้องก่อนจะวางไว้ตรงหน้าของเจ้านายหนุ่ม ริมฝีปากอิ่มของเธอที่เคลือบด้วยลิปสติกสีหวานมันวาวจะเอ่ยเสียงที่น่าฟังขึ้นมาตามลำดับ “คุณติณณ์คะ เมื่อครู่มีโทรศัพท์จากคุณทิพย์ค่ะ เธอโทร.มากำซับเรื่องนัดเย็นนี้น่ะค่ะ” ชายหนุ่มที่กำลังเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มหนาตรงหน้าขึ้นมาเปิด เงยหน้าขึ้นไปมองเลขาฯ สาวแล้วพูดขึ้นเรียบ ๆ “ผมรู้แล้ว...” “ค่ะ” เธอยิ้มน้อย ๆ จากนั้นก็เดินออกจากห้องนี้ไป ลับหลังร่างของเลขาฯ สาว ติณณ์ละมือจากแฟ้มหนาสีดำ ค่อย ๆ เอนกายลงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย ก่อนหยิบปากกาด้ามสีเงินที่อยู่บนโต๊ะมาเคาะเคล้ายกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง เย็นนี้ทิพรดารบเร้าให้เขาพาไปเดินห้างสรรพสินค้าและทานอาหารเย็นด้วยกัน … ชายหนุ่มนึกใคร่ครวญถึงหญิงสาวที่มีนามว่า ทิพรดา เธอเป็นบุตรสาวคนเดียวของคุณลุงทัตพลเขารู้จักกับเธอตั้งแต่เธอเกิด นั่นดูจะเป็นสิ่งยืนยันถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอว่ารู้จักกันมานานแค่ไหน เขาเคยห่างเธอไป.ในช่วงที่ไปเรียนต่อที่นิวซีแลนด์ พอเรียนจบก็ทำงานที่นั่นทำต่อ เพื่อหาประสบการณ์ก่อนจะกลับมาช่วยบิดาที่บริษัทเต็มตัวใน ในช่วงนั้นเอง...เขากับทิพรดาก็มีโอกาสได้ใกล้ชิดกันอีกครั้ง เมื่อทิพรดาบินตามไปอังกฤษเพื่อเรียนต่อในระดับปริญญาโท เกี่ยวกับการเงินและการบัญชี นั่นทำให้เขาต้องรับหน้าที่ดูแลเธอไปโดยปริยาย ช่วงเวลาที่เขาต้องรับหน้าที่ดูแลเธอนั้น ในใจส่วนลึกของตนบอกว่าเป็นไปตามมารยาทและความสัมพันธ์ระหว่างพี่ชายกับน้องสาวเหมือนดั่งตอนอยู่ประเทศไทยมากกว่า แต่กับทิพรดานั้น สายตาที่เธอมองเขาก็ทำให้รับรู้ว่าเธอมีใจให้เขาอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว คิดมาถึงตรงนี้ ติณณ์ก็เผลอถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ดูเหมือนว่าเขายังคงคิดไม่ตกในเรื่องเขาและเธอจริง ๆ ด้วย เธอคิดกับเขามากกว่าคำว่าพี่ชาย ส่วนเขาไม่เคยมองเธอเป็นอย่างอื่นเลยนอกจากน้องสาว ถามว่าเขารังเกียจเธอหรือไม่...ไม่ ไม่ได้นึกรังเกียจเธอเลยสักนิด แต่ถ้าจะให้เขารับไมตรีของเธอ และยอมให้เธอก้าวเข้ามาในหัวใจนั้นกลับทำได้ยากยิ่งนัก เหมือนกับมี บางสิ่งบางอย่าง ขวางกั้นอยู่หน้าประตูหัวใจที่ติณณ์เองก็ยังไม่อาจทราบแน่ชัดว่าเป็นสิ่งใดที่ขวางทางอยู่ “...ตะวัน” เสียงเรียกที่ดังอยู่เบื้องหลังนั้นทำให้เด็กสาวที่กำลังจะเดินไปยังห้องสมุดของโรงเรียนต้องหยุดเท้า พลางหันหลังกลับไปมองเจ้าของเสียง ที่บัดนี้มีเหงื่อผุดพรายอยู่บนหน้าฝากรูปหัวใจ “ มีอะไรเหรอ มิ้นต์ ” เพียงตะวันถามกลับแล้วก็ยิ้มน้อย ๆ เนื่องจากทั้งขำและเอ็นดูคนตรงหน้า มินตราคงจะเหนื่อยน่าดูที่ต้องวิ่งมาหาเธอถึงที่นี่ “ เย็นนี้ ตะวันไปเย็นเพื่อนมิ้นต์ ช่วยเลือกซื้อของขวัญวันครบรอบแต่งงานให้ปะป๊าหม่าม้ามิ้นต์หน่อยได้มั้ย” มินตราบอกพร้อมกับยิ้มกว้าง เมื่อนึกถึงงานเลี้ยงที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า และแน่นอนว่าเพียงตะวันเพื่อนเธอคนนี้ก็ตกปากรับคำที่จะไปค้างกับเธอที่บ้านเพื่ออยู่ร่วมในงานนี้ด้วย “ได้สิ” เพียงตะวันรับปากเมื่อเห็นว่าไม่เหนือบ่ากว่าแรง “งั้นเลิกเรียนแล้ว มิ้นต์จะโทร.เรียกรถที่บ้านมารับ” มินตราบอกอย่างดีใจ ก่อนจะเหลือบเห็นหนังสือสองสามเล่นที่เพื่อนสาวหอบอยู่ “แล้วนี่ตะวันกำลังจะไปห้องสมุดเหรอ” แทนคำตอบ เพียงตะวันพยักหน้าเบา ๆ ไม่พลาดที่จะชวนมินตราไปด้วยกัน “มินต์จะไปด้วยมั้ย” “ไม่ล่ะ...มินต์กำลังจะตามหาอาจารย์นภัส จะปรึกษาว่า มีเพลงไหนที่จะใช้เซอร์ไพรส์วันครบรอบแต่งงานของปะป๊ากับหม่าม้าได้มั่ง” มินตรายังคงพูดเจื้อยแจ้วอย่างฝันหวาน เพราะสิ่งดี ๆ กำลังจะเกิดขึ้นกับครอบครัวของเธอในอีกไม่กี่วันข้างหน้า และที่สำคัญมินตราก็เป็นเหมือนเด็กสาวทั่ว ๆ ไปนั่นคือ งานเลี้ยงย่อมต้องมีการแต่งตัวที่สวยงาม สำหรับเพียงตะวันแล้ว แค่เห็นยิ้มของเพื่อนก็นึกยินดีด้วย ก่อนที่มินตราจะหยุดฝันหวานชั่วคราวแล้วหันมาบอกกับเพียงตะวันต่อ “งั้นก็ตามใจ” ตกลงกันได้ดังนี้เพื่อนรักสองคนก็แยกย้ายกัน คนหนึ่งมุ่งหน้าไปสู่อาคารเรียนห้องดนตรี ส่วนอีกคนหนึ่งสาวเท้าไปยังห้องสมุดของโรงเรียนที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ภายในห้องสมุดที่เงียบสงบ เด็กสาวสาวเดินผ่านเคาน์เตอร์ที่มีอาจารย์บรรณารักษ์สุดเนี้ยบนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ไปยังโต๊ะประจำที่เธอใช้หลบมุมอ่านหนังสือบ่อย ๆ นอกจากงานอดิเรกสุดโปรดเกี่ยวกับการวาดรูปและเล่นดนตรีแล้ว เพียงตะวันยังชอบอ่านหนังสืออีกด้วยเพราะการอ่านหนังสือทำให้เธอรู้สึกสงบ มีสมาธิ สามารถคิดและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำได้ดีเลยทีเดียว เดินมาทรุดนั่งลงกับเก้าอี้แล้ว เพียงตะวันก็หยิบหนังสือที่นำติดมือมาด้วยขึ้นมาพลิกอ่านอย่างมีสมาธิ เมื่อเวลาผ่านมาได้ระยะหนึ่ง ดวงตาคู่สวยของเด็กสาวก็เริ่มปรือ ความสงบบวกกับอากาศที่แสนจะเย็นสบายของเครื่องปรับอากาศในห้องสมุดนั้น ทำให้ดวงตาของเด็กสาวพร่า...เพียงตะวันพบว่า ความง่วงงุนกำลังจู่โจมเข้ามาอย่างหนัก เธอพยายามกะพริบตาและเบิกดวงตากว้าง แต่สุดท้ายแล้วเด็กสาวก็ค่อย ๆ ลดตัวซบกับพื้นผิวโต๊ะ ใช้สองมือประสานกันไว้ก่อนแนบใบหน้าลงไป เธอหวังเพียงหลับตาสักครู่เพื่อพักสายตาเท่านั้น แต่เมื่อดวงตาปิดลง ความง่วงที่มีอยู่เป็นทุนเดิมได้แล่นเข้ามาจู่โจม สุดท้ายจึงปล่อยให้เคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศอันแสนสงบและเย็นสบาย เด็กสาวเผลอตัวเข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์แบบครึ่งหลับครึ่งตื่น คล้ายจะรู้สึกว่ามีมือของใครบางคนกำลังลูบศีรษะเธออย่างอ่อนโยน หรือว่าเธอกำลังฝัน แต่คงไม่ใช่ฝัน เพราะสัมผัสบนศีรษะของเธอนั้นมันเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้นที่สติส่วนหนึ่งบอกว่ามันไม่ใช่ความฝันแต่เป็นความจริง เด็กสาวรีบผุดยันตัวเองขึ้นมองดวงตาเบิกกว้างในลักษณะอาการของคนกำลังตกใจ “อาจารย์!” เพียงตะวันอุทานเมื่อเห็นใบหน้างดงามของเจ้าของมือได้ถนัดตา ใบหน้าหวานดวงตากลมดโต ริมฝีปากบางสวยนั้นยิ้มเยื้อนอย่างเอ็นดู กิริยาการแสดงออกทั้งหมดนี้เป็นของอาจารย์สอนวิชาดนตรีประจำโรงเรียนคนหนึ่งที่เพียงตะวันรู้จักและให้สนิทสนมกันดี “อาจารย์นภัส” “ทำไมหนูมานอนอยู่ที่ล่ะจ๊ะ ตะวัน” เสียงอ่อนหวานที่ดูเข้ากันกับในหน้าสวยนั้นเอื้อนเอ่ยถามคนลูกศิษย์ ก่อนจะทรุดตัวนั่งเคียงข้าง “ตะวันมาอ่านหนังสือน่ะค่ะ แล้วคิดจะพักสายตานิดหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่า...จะทำให้เผลอหลับไปได้” เพียงตะวันตอบอย่างอาย ๆ ในท้ายประโยค พลางพิจารณาดวงหน้าของอาจารย์วิชาดนตรีที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนและอ่อนหวานตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งก็มีมากจนเพียงตะวันรู้สึกประหม่าอยู่เหมือนกัน...แต่ก็ให้ความรู้สึกดีและอบอุ่นอย่างน่าประหลาดใจ บางครั้งเธอเองก็โหยหารอยยิ้มและสายตาแบบนี้ มันไม่เหมือนกับใครคนอื่นที่เพียงตะวันเคยพบแม้แต่คุณลุงเตชสิทธิ์ที่เลี้ยงดูเธอเหมือนลูกสาวแท้ ๆ แต่ก็ไม่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นเท่านี้ จนบางครั้งเพียงตะวันก็อยากนึกที่จะโผเข้าไปซบกอดอาจารย์นันท์นภัส หรือเป็นเพราะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอโหยหาสัมผัสอ่อนโยนของมารดามาโดยตลอด พอมาเจออาจารย์คนสวยที่อ่อนโยนและใจดีแบบนี้ เธอจึงคิดเตลิดไปไกลไม่ได้ “เอ่อ...อาจารย์ไม่เจอมินตราหรือคะ เห็นมินตราบอกว่าจะไปพบอาจารย์ที่ห้องดนตรี” “ไม่เจอจ้ะ พอดีอาจารย์แวะมาประชุมกับอาจารย์ท่านอื่น ๆ ที่ห้องประชุมเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมวันครบรอบวันสถาปนาของโรงเรียนในปีนี้...สงสัยคงคลาดกัน” ขณะตอบดวงตาของอาจารย์ก็ไม่ยอมคลาดจากใบหน้าของเพียงตะวันสักวินาทีเดียว ด้วยปรารถนาที่จะใช้สองมือประคองแล้วลูบมันอย่างแผ่วเบา เธอยังจดจำวันแรกที่ได้เจอหน้าเด็กสาวคนนี้อีกครั้งได้อย่างขึ้นใจ วันที่เพียงตะวันเข้ามาอยู่หอพักของโรงเรียนแห่งนี้...ภาพของเด็กสาวที่ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ภาพของเด็กสาวคนหนึ่งที่มีสีหน้าอมทุกข์ไม่พูดไม่จากับใคร จนเธอต้องพลอยทุกข์ใจไปด้วย ...ภาพที่เธอต้องเข้าไปปลอบประโลมอยู่นานจนกว่าเด็กสาวคนนี้จะยอมพูดจาด้วย และแล้วคำตัดพ้อต่อว่าก็พรั่งพรูออกจากปากบางไม่ไม่หยุด เด็กสาวระบายความอัดอั้นออกมาทั้งน้ำตาต่อชะตากรรมชีวิตของเธอที่ต้องจากบิดา จากบ้านหลังที่สองที่เธอรู้สึกผูกพัน ที่น่าใจหายคือเธอไม่ยอมเอื้อนเอ่ยพูดถึงคนเป็นมารดาเลยแม่แต่น้อยราวกับว่าในสมองของเด็กสาวไม่เคยมีเรื่องราวของมารดาจดบันทึกเอาไว้ หากจะมีก็มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่เด็กสาวเผลอพูดออกมา เพียงครั้งเดียวที่ทำให้คนฟังอย่างนันท์นภัสรู้สึกเจ็บหนึบไปทั้งหัวใจเลยทีเดียว ให้น้ำตามันหลั่งเป็นสายเลือดดูจะง่ายเสียกว่าวันที่เธอจะต้องรับฟังและเห็นร่างตรงหน้าสะอื้นไห้ เธอเจ็บปวดทุรนทุรายเป็นหลายร้อยเท่า...แต่เพราะความจำเป็นบางอย่าง จึงไม่อาจจะสัมผัสคนตรงหน้าได้อย่างที่ใจที่ปรารถนา เธอยังจดจำคำพูดจาร้ายกาจที่เหล่านั้นได้ดี ‘คุณพ่อเคยบอกตะวันว่าคุณแม่ไม่ได้รักตะวัน คุณแม่เกลียดตะวันกับคุณพ่อมาก ก็เลยหนีตะวันกับคุณพ่อไป...ท่านบอกให้ตะวันเกลียด หรืออาจารย์ว่ามันไม่จริงคะ ผู้หญิงที่ทิ้งสามีกับลูกของตัวเองไป ...จะเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ที่ดีได้ยังไง!’ คำพูดของเด็กสาวที่ดังสะท้านอยู่ในใจ ให้อกเธอหมองไหม้กลัดหนองเสียยังจะดีกว่าให้เธอได้ยินคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากของ เด็กสาวคนนี้ เด็กที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอเอง เด็กที่เธอรักและปรารถนาที่จะอยู่ใกล้ทุกวินาที มันยากที่จะบังคับมือตัวเองที่ไม่ให้ไปลูบใบหน้าของเด็กสาวอย่างที่ใจต้องการ มันยากจริง ๆ แต่ก็อดไม่ได้ทุกครั้ง “อาจารย์คะ อาจารย์” เสียงเรียกที่ดังขึ้นทำให้มือขาว ๆ ต้องชะงักกลางอากาศ นันท์นภัสรีบชักมือกลับ ก่อนจะมองเห็นแววตาสงสัยและครุ่นคิดของเด็กสาวตรงหน้า เธอจึงรีบปรับสีหน้า “จ้ะ ว่ายังไง ” “วันนี้ตะวันของดซ้อมเปียโนวันหนึ่งนะคะ ต้องออกไปธุระกับมินตราข้างนอก” นันท์นภัสสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด เพื่อระงับความยอกแสลงใจที่ก่อตัวอยู่ในใจให้สงบ ก่อนจะพยักหน้าในทำนองรับรู้คำพูดของคนตรงหน้า “จ้ะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD