EP.10
ธารารินมาทำงานในช่วงเช้าของวันนั้นตามปกติ ทว่าในความรู้สึกของเธอกลับมองออกว่าในคลื่นแห่งความสงบเงียบนั้นมีกระแสบางอย่างแทรกเข้ามาจนเธอสัมผัสได้ เสมือนจะเป็นสงครามเย็นที่มาจากผู้คนรอบข้างเตรียมห้ำหั่นเธออย่างเลือดเย็น
หรือไม่ก็คล้ายกับบรรยากาศความนิ่งสงบของเหตุการณ์ก่อนเกิดพายุร้ายในช่วงนอกฤดูกาล
ซึ่งสิ่งเหล่านี้อริมาย่อมรับรู้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น เธอนึกสงสารและห่วงหญิงสาวต่างบ้านต่างเมืองคนนี้จึงได้ขออนุญาตผู้บังคับบัญชาออกไปปฏิบัติงานนอกสถานที่และมิวายฉุดพาธารารินตามออกไปด้วย
เพียงแค่ลับหลังสองสาวไปเท่านั้น ก็บังเกิดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์อันมีที่มาจากป้าพรเป็นอันดับแรก พร้อมจุดไฟไล่ไปยังเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ อย่างสนุกปาก ราวกับคนที่เพิ่งได้รับถ้วยรางวัลคนปากมากมาหมาดๆ
ดูเหมือนว่าใครหลายๆ คนที่ไม่ค่อยชอบธารารินตั้งแต่แรกอยู่แล้วยิ่งทบทวีแรงริษยาในตัวเด็กสาวมากขึ้นไปอีก ทั้งที่ไม่ได้เป็นเรื่องจำเป็นเลยหากจะนับกับความสามารถและการทำงานกันจริงๆ
ในห้องของหัวหน้าอมรเทพ เขาได้แต่ยืนฟังบทสนทนาอันถึงพริกถึงขิงเหล่านั้นแล้วนิ่งเงียบ ชายวัยกลางคนได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับอุปนิสัยของกลุ่มลูกทีมที่มักใช้ปากพูดมากกว่าทำงาน
บ่อยครั้งที่เขาตักเตือน หากเพราะเห็นว่าอยู่มาก่อน ป้าพรหรือคนอื่นๆ กลับยิ่งตั้งแง่ มีทางเดียวที่หัวหน้าอมรเทพทำคือนิ่งเฉยแล้วทำงานเป็นตัวอย่าง พร้อมปล่อยให้ป้าพรหรือเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ทำตามใจชอบเพราะเชื่อว่าอีกไม่กี่ปีทั้งหมดก็จะปลดเกษียรและลาออกกันไปเอง จากนั้นก็จะมีนักพัฒนารุ่นใหม่อย่างธารารินและอริมาเข้ามาแทนที่
เขาเบื่อที่จะว่ากล่าวตักเตือน เพราะถึงพูดไปคนพวกนี้ก็ไม่ยอมฟังอยู่ดี
นี่เองหรอกหรือ...เจ้าหน้าที่ของบ้านเมือง
ไม่ใช่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเช้าของวันนั้น จนกระทั่งอริมาฉุดเธอออกจากสนามสงครามเย็น แต่ธารารินกลับเป็นฝ่ายนิ่งเงียบ ข่มและเก็บความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ในหัวใจ โดยใช้รอยยิ้มกลบเกลื่อนเอาไว้อย่างอดทน
แม้จะกลัวกับอิทธิพลมืดที่มีอยู่มากมาย ซึ่งก่อนหน้าพี่สีฟ้าเคยตักเตือนเธอมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่เธอยังเชื่อว่าการทำงานด้วยความสามารถของเธอจะทำให้ทุกๆ คน ทุกๆ ฝ่ายยอมรับ
จนกระทั่งบัดนี้ถึงได้รู้ว่าดวงจิตอันแน่วแน่ของเธอในคราวแรกที่ดื้อรั้นขอลงมาพัฒนางานยังอำเภอนี้มันไม่ได้มีความหมายเอาเสียเลย
ยังดีที่มีอริมาอยู่เคียงข้าง คอยเป็นพี่เลี้ยงที่มากกว่าพี่เลี้ยง
อย่างน้อยท่ามกลางความไร้น้ำใจของผู้คนก็ยังมีคนที่จริงใจกับเธออยู่
“พี่อบคะ...” หญิงสาวเอ่ยขึ้นหลังจากกลับมาจากการติดต่อประสานงานในตำบลของอริมาและทั้งสองมาแวะทานอาหารกลางวันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆ ในหมู่บ้าน “พี่เคยบอกกับธารว่าที่หมู่บ้านผาตะวันไม่เคยมีพัฒนากรใช่ไหมคะ”
อริมามองหน้าสาวรุ่นน้องอย่างแปลกใจในคำถาม ก่อนจะพยักหน้าในนาทีต่อมา
“ใช่จ้ะ ไม่มีใครยอมไปที่นั่นหรอกเพราะมันไกลจากตัวเมืองมาก เส้นทางสัญจรก็ลำบาก มีแต่ป่ากับภูเขาสูง น้องธารถามทำไมหรือคะ”
“แล้วพี่อบก็เคยบอกกับธารว่า หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านในโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ที่ในหลวงและพระราชินีท่านจัดสรรที่ทำกินให้กับชาวบ้าน ซึ่งหมู่บ้านแห่งนี้มีบรรยากาศดีมากๆ เลยใช่ไหมคะ”
“ค่ะ...บรรยากาศที่นั่นดีมากๆ เลยค่ะ พี่เคยไปมาครั้งหนึ่งเมื่อคราวที่ตัวแทนพระองค์ท่านเดินทางมาดูหมู่บ้านนี้เมื่อสองสามปีก่อน หลังจากนั้นพี่ก็ไม่ได้ไปอีกเลยเพราะมันไกลอย่างที่บอกนั่นแหละค่ะ”
“ธารอยากจะไปที่หมู่บ้านนี้จังเลยค่ะ อยากไปดูการรวมกลุ่มทำงานของพวกเขาจัง”
“หมายความว่าอย่างไรคะ พี่ไม่เข้าใจ”
ในใจของอริมานั้นความจริงมีคำตอบอยู่แล้วว่าธารารินต้องการอะไร เพียงแต่ว่าเธอยังไม่อยากคิดไกลไปถึงขั้นนั้นเพราะอย่างน้อยคำตอบที่เธออยากจะได้ยินในเวลานี้คือธารารินต้องการข้อมูลของที่นั่นเพราะอยากจะไปเยี่ยมชมหมู่บ้านผาตะวันดูเท่านั้น
ไม่ใช่ต้องการปลีกตัวเองหนีสถานการณ์อันเลวร้ายไปทำงาน
ทว่าคำตอบที่ได้รับฟังจากสาวรุ่นน้องกลับทำให้อริมานิ่งอึ้งไปชั่วขณะ นั่นเพราะธารารินต้องการอย่างที่เธอนึกกลัวในคราวแรกจริงๆ
ครั้งให้เหตุผลว่าสถานที่นั่นลำบากและไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรมากไปกว่าชุมชนในยุคสมัยที่ถอยหลังไปเมื่อสามสิบสี่สิบปีก่อน กลับยิ่งกลายเป็นสิ่งผลักดันให้ธารารินยืนยันซึ่งความต้องการในคราวแรก
“พี่ไม่สนับสนุนเลยนะคะ กับความคิดที่จะต้องหนีปัญหาของน้อง”
“ธารไม่ได้หนีค่ะ”
เด็กสาวยิ้ม นั่นเป็นยิ้มที่สดใสน่ารักตามวัยของเธอ อริมาซึ่งอายุห่างจากธารารินเพียงไม่กี่ปียังนึกอิจฉาในความน่ารักของเธอไม่ได้