ช่างน่าหมั่นไส้เสียจริง
ซึ่งเสียงฝีเท้าของคนเป็นเจ้าของบ้าน ทำให้นายแพทย์แทนคุณกับพริมาที่กำลังคุยกันอย่างออกรสชาติ สลับกับส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานต่างพากันหยุดชะงักลง ฝ่ายแรกหันไปเอ่ยถามอย่างเคยปาก
“มาแล้วหรือวะ”
“ถ้าข้าไม่มาแล้วที่เอ็งเห็นเป็นผีหรือไง”
คนตอบตอบน้ำเสียงรวนๆ ก่อนจะเดินหน้าตึงไปทรุดนั่งลงที่โต๊ะอาหาร
“อ้าว...ไอ้นี่ถามดีๆ ดันตอบกวนโอ๊ยอีก” แทนคุณโวยใส่เพื่อนก่อนจะเดินมาทรุดนั่งข้างๆ “เอ็งเป็นอะไรไปหรือวะ เพิ่งอาบน้ำมาแท้ๆ น่าจะสดชื่นทำเป็นผู้หญิงวัยทองไปได้”
คนถูกหาว่าทำตัวเป็นผู้หญิงวัยทองมองหน้าเพื่อนตาขุ่น เขาเองก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่าทำไมถึงอารมณ์เสีย แค่รู้สึกว่าผู้หญิงที่เขาเก็บมาควรต้องเป็นสมบัติของเขาเท่านั้น จะมาทำเป็นสนิทสนมกับคนอื่นถึงแม้จะเป็นเพื่อนสนิทของเขาก็ไม่ควรทำ
นี่เขาคิดผิดหรือเปล่าวะเนี่ย นรภัทรถามตัวเองงงๆ
ไม่ผิดหรอกน่า คนถามเองตอบเข้าข้างตัวเอง
เมื่อถามเองตอบเองจนงงตัวเองแล้ว จึงแก้เก้อด้วยการหันไปทางแม่บ้านจำเป็น ที่กำลังยกหม้อข้าวต้มกลิ่นหอมฉุยมาวางบนโต๊ะ ต้องย้ำว่าหอมฉุยจนเขาต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอกันเลยทีเดียว แต่ไม่มีเสียล่ะที่จะพูดชมออกไป เดี๋ยวแม่คุณจะเหลิงหรือได้ใจเอาเปล่าๆ
“กาแฟของผมล่ะ”
พริมารีบจัดการนำกาแฟที่เตรียมไว้มาวางตรงหน้าให้ทันที
“นี่ค่ะ ไม่รู้จะถูกใจคุณนรภัทรหรือเปล่านะคะ”
“เรียกผมว่าภัทร”
นี่คือคำตอบกับสิ่งที่ถามออกไป ทำเอาคนถามรู้สึกเหวอนิดหน่อย
“เอ้อ...ค่ะ”
นายแพทย์หนุ่มมองหน้าเพื่อนอย่างงงๆ
“ข้าก็นึกว่าเอ็งจะดื่มหลังกินข้าวอย่างที่เคยทำประจำ ทำไมวันนี้นึกยังไงดื่มกาแฟก่อนกินข้าววะ”
“ข้าก็อยากจะเปลี่ยนบ้างไม่ได้หรือไง ทำอะไรจำเจบางทีก็เบื่อเหมือนกันนี่หว่า” พูดจบนรภัทรก็ยกกาแฟขึ้นดื่มเข้าไปอึกใหญ่และก็ชะงักกึกอยู่อย่างนั้น
ความรู้สึกที่ลิ้นสัมผัสคือ หอม...อร่อย
นี่เจ้าหล่อนชงกาแฟผสมอะไรให้เขาดื่มกันหรือนี่ เพราะปกติตัวเขาดื่มกาแฟใส่น้ำตาลแค่ช้อนเดียวเท่านั้น ทั้งที่มีพวกน้ำผึ้งที่มีพรรคพวกเพื่อนฝูงซื้อมาฝาก บอกว่าให้ชงดื่มกับกาแฟอร่อยนักหนา แต่เขายังไม่เคยลอง
หรือว่า...
“คุณเอาอะไรใส่ในกาแฟให้ผม”
พริมามองคนถามอย่างงงๆ เพราะเมื่อกี้ถ้าเธอตาไม่ฝาด ตอนเห็นเขายกถ้วยกาแฟขึ้นดื่ม สีหน้าก็ไม่ปรากฏแววไม่พึงพอใจอะไรเลยนี่นา แล้วทำไมตอนนี้มาทำเป็นเอ่ยถามเธอด้วยน้ำเสียงดุๆ เล่า พิลึกคนจริงๆ
ทำตัวเป็นผู้หญิงวัยทองอย่างที่คุณหมอว่าจริงๆ
“น้ำผึ้งค่ะ ฉันไม่เห็นมีอะไรวางอยู่ตรงนั้นนอกจากน้ำผึ้งนี่คะ” หญิงสาวตอบแล้วแกล้งถามต่อหน้าซื่อตาใส “คุณไม่ชอบหรือคะคุณนรภัทรเอ้อ...คุณภัทร”
คนถูกถามยังไม่ทันตอบเพราะแทนคุณพูดขึ้นแทนเสียก่อน
“ปกติเพื่อนผมดื่มกาแฟกับน้ำตาลแค่ช้อนเดียวเองครับคุณพริม อาจไม่คุ้นกับกาแฟใส่น้ำผึ้งมังครับ”
คนพูดมีจุดประสงค์จะบอกใบ้ให้หญิงสาว รับรู้กิจวัตรของผู้เป็นเพื่อนเท่านั้น แต่คนฟังช่างมโนกลับคิดไปอีกทางอย่างขำๆ แหม...รู้ใจกันขนาดนี้เชียว น่าเสียดายคุณหมอจังเป็นคนอารมณ์ขันชะมัด ไม่น่าเห็นผิดเป็นชอบได้เลย
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันไปชงให้คุณใหม่แล้วกัน”
นรภัทรยกมือขึ้นโบก
“ไม่ต้อง แก้วนี้ก็รสชาติไม่เลวพอดื่มได้อยู่” พูดจบก็ยกกาแฟขึ้นจิบอีกอึกใหญ่ “แล้วคุณทำอะไรเป็นอาหารเช้าให้ผม” ถามทั้งๆ ที่รับรู้ได้จากกลิ่นแล้วว่าคืออะไร
“เอ็งยังไม่รู้อีกหรือไอ้ภัทรว่าหม้อที่วางข้างหน้าเอ็งคือข้าวต้มหมูสับ” คนเป็นเพื่อนตอบแทน
“ข้าไม่ได้ถามเอ็งไอ้หมอ” นรภัทรด่าเพื่อนก่อนจะหันไปไล่เบี้ยกับแม่ครัวจำเป็นต่อ “ทำไมคุณไม่ถามก่อนว่าผมกินอะไรเป็นอาหารเช้า ข้าวต้มหมูสับนี่หนักไป ผมชอบกินไส้กรอก ไข่ดาว หมูแฮมมากกว่า”
คนถูกต่อว่านิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะตอบ
“ฉันถามแล้วนี่คะแต่คุณบอกว่าให้ใช้จิตใต้สำนึก ซึ่งฉันก็ใช้และคิดว่าอาหารเช้าของคนที่ใช้สมองทำงาน ควรเป็นอาหารหนักอย่างข้าวต้มหมูสับ ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่หนักเท่าไหร่ด้วยซ้ำ ตอนเช้าๆ ต้องกินอาหารบำรุงสมองไม่งั้นเส้นโลหิตในสมองอาจตีบ ใช่หรือเปล่าคะคุณหมอ” ท้ายประโยคหันไปถามนายแพทย์หนุ่ม
“ใช่แล้วครับ คุณพริมมีจิตใต้สำนึกที่เยี่ยมยอดมากครับ อย่างนี้ไม่นานรับรองความจำของคุณต้องรื้อฟื้นได้แน่ครับ อาจจะเร็วกว่าที่คิดด้วยซ้ำ”
คนยังไม่อยากได้ความจำกลับคืนมาเร็ว รีบยกมือขึ้นกุมศีรษะแล้วทำหน้าเหยเก
“จิตใต้สำนึกนั่นมันมาเป็นพักๆ ค่ะ แต่ถ้าคิดมากๆ ก็จะเริ่มปวดหัวเหมือนตอนนี้แหละค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้คุณพริมอย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลยครับ มานั่งกินข้าวด้วยกันก่อนดีกว่า”
พริมายกมือที่กุมศีรษะลงแล้วหันไปถามเจ้าของบ้านหน้าหงิก
“ตกลงว่าคุณภัทรจะกินไส้กรอก ไข่ดาว หมูแฮม ใช่ไหมคะ ฉันจะได้ไปทำมาให้ใหม่”