คฤหาสน์
เท้าเรียวงามที่แกว่งไปมาในสระ ทำให้เกิดคลื่นน้อยๆ สีหน้าเหม่อลอย ความเย็นที่ซึมซับเข้าผิวหนังบอบบาง ไม่อาจทำให้หัวใจของสาวสวยอย่างมนธิรารู้สึกเย็นตามไปได้เลย หัวใจที่เหมือนหมดอาลัย หัวใจที่สับสนทุกข์ระทม นั่งคิดอะไรอย่างเหม่อลอย
กี่ปีที่ตัวเองได้ผ่านพ้นชีวิตอันน่ารันทดของผู้พ่อ ที่กระทำต่อลูกสาวแท้ๆ ของตนเอง คงไม่มีครอบครัวไหนอีกแล้วที่ต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ ขายได้แม้กระทั่งลูกในไส้
ครอบครัวที่เคยอบอุ่น มีพ่อ แม่ ลูกอันเป็นที่รัก ต้องมาเปลี่ยนไป หลังจากที่แม่เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน พ่อที่เคยทำงานเพื่ออุทิศแรงกายและแรงใจทำงานไม่เคยย่อท้อ ไม่เคยเอ่ยปากบ่น กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ กินเหล้าเมายา แถมติดการพนันอย่างไม่หน้าเชื่อ บางวันข้าวสารกรอกหม้อก็ยังไม่มี ทำให้เด็กหญิงร่างผอมบางต้องอดมื้อกินมื้อ
แล้ววันแห่งความปวดร้าวก็ก้าวเข้ามา ทำให้เด็กสาววัยสิบสี่อย่างเธอต้องระหกระเหิน สู่บทเรียนบทใหม่ในชีวิต รับเอาชะตากรรมที่กำลังเล่นงานโดยไม่รู้ตัว
วันเวลาเดินผ่านไปในแต่ละวันดูแสนยาวนาน แค่ความหวังน้อยนิด คิดไว้ว่าสักวันมันอาจจะเป็นความจริงขึ้นมาบ้าง ตอนนี้แค่หวังให้ผู้เป็นพ่อกลับมารับเธอกลับไป แต่การรอคอย ก็ดูเลือนรางเต็มที
สิบปีแห่งการรอคอยมันมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีแม้เงาผู้ให้กำเนิด มันช่างเจ็บปวดและทรมานใจยิ่งนัก...
"หนูบี! นั่งทำอะไรอยู่ คุณใหญ่กำลังจะมาถึงอยู่แล้ว"
บีสะดุ้ง สติสัมปชัญญะค่อยๆ กลับมาเหมือนเดิม เธอรีบดึงขาที่เปียกน้ำของตัวเองขึ้นขอบสระทันที
เสียงเรียกที่ดังออกมา ไม่ได้ทำให้สาวสวยอย่างเธอตกใจ แต่สิ่งที่ทำให้ตกใจและหัวใจเต้นแรงผิดปกติ คงเป็นเพราะชื่อของใครบางคนเท่านั้น...
ผู้ชายใบหน้าเข้ม ที่เจอครั้งแรกเธอถึงกับร้องไห้กอดผู้เป็นพ่อไว้แน่น เมื่อรับรู้ว่าผู้เป็นพ่อจะส่งเธอให้กับผู้ชายร่างใหญ่ที่นั่งจังก้า แววตาที่ทอดมอง ผู้เป็นพ่อของเธออย่างเหยียดหยัน คงสมเพชกับการกระทำของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าพ่อ ที่คิดจะขายแม้กระทั่งลูกสาว
แม้ชายหนุ่มจะไม่เอ่ยอะไรเลย หากแต่ผู้เป็นพ่อเท่านั้นที่เอ่ย “หากคุณธาดาไม่รับลูกของผมไว้ ผมก็จะเอาไปขายซ่อง แล้วเอาเงินที่ได้มา มาใช้หนี้และเสียดอกให้คุณ” คนเป็นพ่อเอ่ยอย่างไม่รู้สึกรู้สา แต่เด็กน้อยมนธิราถึงกับเข่าอ่อนทนยืนฟังคำเอ่ยของผู้เป็นพ่อไม่ไหว ร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่คิดอายใคร
จะเป็นเพราะความเป็นคนอยู่บ้างหรืออย่างไร ชายหนุ่มจึงจำใจรับเด็กหญิงไว้ พร้อมกับให้เงินก้อนหนึ่งกับผู้ชายที่ได้ใช้ลูกของตัวเองเพื่อขัดดอก นับแต่นั้นก็เงียบหายไม่เคยย่างกรายมาให้เห็นอีกเลย
“ค่ะ” หญิงสาวตะโกนรับออกไป รีบลุกขึ้นไปหาคนต้นเสียงทันที
อาการฉีกยิ้มของสาวสวยตรงหน้า ทำให้ผู้หญิงต่างวัยอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
“เป็นอะไร ยังทำใจให้ชิน ไม่ได้อีกหรือ? ” ป้าจุ้มหญิงวัยกลางคนส่งยิ้มบางๆ นางรู้ใจหญิงสาวคนนี้ดีกว่าใคร เพราะหญิงสาวตรงหน้าไม่มีใครอื่น ที่สนิทและรู้ดีเกี่ยวกับชีวิตของเธอนอกจากป้าจุ้ม หากจะมีก็คงเป็นเพื่อนที่มหาวิทยาลัย และเรื่องไม่สบายใจส่วนมาก จึงตกมาเป็นเรื่องที่ต้องมีอะไรมาบอกกล่าวเสมอ หากวันไหนเธอรู้ตัวว่ากำลังต้องการระบายออกจากใจที่หนัก นางจึงเป็นผู้รับฟังและปลอบใจที่ดีเสมอ
คนเราหากบางเวลาต้องการจะระบายความในใจ ถึงจะไม่ใช่คนใกล้ชิดดั่งเช่นญาติพี่น้อง แค่ใครก็ได้ที่พร้อมจะเป็นผู้ฟังที่ดี คนนั้นก็พร้อมจะปลดปล่อยสิ่งอัดอั้นไว้ได้ และเพราะเหตุผลนั้นแหละ ที่ป้าจุ้มรู้ว่าหญิงสาวประหม่าแค่ไหน ผู้ที่รับเธอมาในฐานะผู้หญิงขัดดอกแต่กลับกัน เธอได้สิทธิพิเศษกว่าใครๆ คือได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยจนจบ และก็มีเงินเดือนเหมือนลูกจ้างทั่วไป ถึงเธอจะทำในช่วงหลังเลิกเรียน และเสาร์ อาทิตย์ก็ตาม นี่คือความปรานีของผู้ชายคนนั้น ที่ส่งเสียค่าใช้จ่ายในการเรียน โดยโอนเข้าบัญชีของเธอทุกเดือน ตลอดเวลาที่เขาไม่ได้อยู่เมืองไทย
แล้วอย่างนี้เธอจะพบหน้าผู้ชายคนนั้นในฐานะอะไร ตอนนี้เธอทำใจยังไม่ได้เลย แม้ไม่ได้เห็นหน้าตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ใบหน้าหล่อเข้ม ที่เธอไม่เคยได้เห็นรอยยิ้มของเขาเลยช่วงระยะที่พบกันเมื่อสิบปีก่อน แต่ความทรงจำรูปร่างหน้าตาของเขานั้น มันยังติดตาของเธอไม่เปลี่ยนแปลง
"คุณใหญ่คงจะเข้าไปข้างในแล้วล่ะ" ป้าจุ้มเอ่ยขึ้นเบาๆ และหยุดเดินกะทันหัน เมื่อเห็นความผิดแปลกกับสิ่งที่จอดอยู่ด้านหน้า
รถเบนซ์ใหม่เอี่ยมมันวาวจอดอยู่หน้าตึก การกระทำของคนที่เดินอยู่ด้านหน้า ส่งผลให้คนที่เดินอยู่ด้านหลังถึงกับจิกเล็บเท้าเบรกกะทันหัน
“มีอะไรหรือคะป้าจุ้ม?" มนธิราเอ่ยถาม เพราะเธอก็ยังไม่เห็นว่ามีอะไรขวางทางเดินที่ทำให้ป้าต้องหยุดกะทันหันอย่างนี้
“หนูบี...จะใจลอยไปถึงไหน” เสียงต่อว่าเบาๆ กับสายตาที่ค้อนมา แต่หญิงสาวอย่างเธอรู้ดีว่าที่จริงนั้น แฝงไปด้วยความห่วงใย
"คะ!" เธอทำตาโตอย่างไม่รู้จริงๆ ว่าที่ป้าจุ้มพูดและทำเหมือนกำลังบอกใบ้อะไร มันคืออะไร ก็สติเธอเพิ่งกลับมาก็ตอนที่จะชนหลังป้าจุ้มนั่นแหละ และก็ดีเท่าไหร่ที่หลอนไม่เผลอชน
“หนูบี...ป้าบอกว่าคุณใหญ่คงมาถึงแล้ว และตอนนี้คงเข้าไปข้างในแล้วละ” ป้าจุ้มพูด สายตายังค้อนหญิงสาวตรงหน้าไม่เลิก แต่มันไม่ได้จริงจังอะไรต่างคนต่างรู้ดี ความกังวลจึงไม่มีบนใบหน้าของทั้งสอง
“บีขอโทษนะคะ” มนธิราทำหน้าเหวอ “ทำให้ป้าจุ้มพลาดที่จะเจอคุณหนูของป้าจุ้มเป็นคนแรก ขอโทษนะคะ...นะนะบีขอโทษจริงๆ นะคะ”
มนธิรารีบสวมกอดนางทันที ด้วยความขี้เล่นขี้อ้อนของเธอเช่นกัน เพราะเธอได้ยินป้าจุ้มบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่า ป้าจุ้มจะเป็นคนเดินมาเปิดประตูรถให้ชายหนุ่มเอง หากวันที่เขากลับมา แต่เพราะเธอออกมาจากตึก ทำให้ป้าจุ้มต้องเดินออกมาตาม ทำให้พลาดที่จะพบคุณหนูสุดที่รักไป ทำให้เธอรู้สึกผิด นี่แหละถึงต้องไถ่โทษด้วยกิริยาและถ้อยคำหวานๆ ผสมกับความขี้อ้อนของเธอ
“ไม่เป็นไร เรารีบเข้าข้างในกันเถอะ ทุกคนคงคอยแล้วละ”
เมื่อเจอสายตาออดอ้อนกับคำพูดหวานๆ ของเธอ ทำให้สายตาที่ค้อนอย่างไม่จริงจังนักของผู้สูงอายุเปลี่ยนเป็นประกายอ่อนโยน ที่แฝงไปด้วยความเมตตาหญิงสาวที่มีอยู่แต่เดิมทันที แล้วทั้งสองก็ประคองเดินเข้าไปตึกใหญ่ทันที