บทที่10
เพล้ง!! จานในมือหลุดร่วงลงไปอยู่ในอ่างล้างจาน โชคดีที่จานใบนั้นไม่แตก แต่เสียงที่ดังอย่างไม่ได้ตั้งใจ เสียงดังออกไปข้างนอกอย่างช่วยไม่ได้ แต่หญิงสาวก็ไม่ได้สนใจเสียงดังนั้น ว่าจะมีใครเข้ามาตำหนิอะไรเธอ เพราะคำพูดประโยคที่ป้าจุ้มบอก มันน่าตกใจกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่า
แม้ว่าก่อนหน้านี้ชายหนุ่มเคยเอ่ยให้ฟัง แต่ก็อดตกใจไม่ได้ มันเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน ไม่คิดว่าจะเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้ด้วยซ้ำ
"ป้า...หนู หนูยังไม่พร้อม" เธอเสียงเอ่ยสั่นเครือกอดผู้หญิงวัยกลางคนไว้แน่น
“มันคงไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก คุณใหญ่ใจดีนะ เขาแค่ต้องการให้หนูบีไปช่วยงานที่บริษัท คงไม่มีอะไรมาก" ป้าจุ้มเอ่ยเสียงเรียบ ก็ได้แต่ปลอบโยนมนธิราในอ้อมแขน ทำมากกว่านี้คงไม่ได้
“แต่...”
มนธิราดันตัวเองออกจากอ้อมแขน แล้วก็ต้องหยุดคำพูดไว้ เมื่อเสียงที่เหนือกว่าดังผ่านเข้ามา
“ไม่ต้องแต่ รีบพานางบีออกไปไกลๆ เลยนะตาใหญ่ ทำข้าวของฉันแตกหมดแล้วเห็นไหม”
ร่างท้วมของเจ้าของคฤหาสน์โผล่หน้าเข้ามาในห้องครัว พร้อมกับลูกชายสีหน้าบึ้งตึงไม่ต่างอะไรกับชายหนุ่ม
"โถ...คุณหญิงคะ ข้าวของไม่ได้แตกสักหน่อย" ป้าจุ้มคนใช้เก่าแก่เอ่ยอย่างเหนื่อยใจกับท่าทีขึงขังเสียเต็มประดา คำพูดจาตอบกลับของป้าจุ้มทำให้ผู้เป็นประมุขของบ้านส่งค้อนให้
“แต่ยังไงซะ...ฉันก็ไม่ชอบให้ใครทำเสียงดังในบ้านฉัน เข้าใจไหม!!" พูดจบก็ส่งสายตาจิกไปยังสาวมนธิราที่ก้มหน้าลงต่ำอยู่
“ไม่แตกก็ดี"
พูดจบร่างท้วมก็เดินหันหลังจากไป ปล่อยให้ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันกลับมาสนใจเรื่องหญิงสาวตรงหน้าที่ยืนก้มหน้านิ่งอยากร้องไห้ไม่ปาน
“ป้าจุ้มบอกแล้วใช้ไหม งั้นก็ไปเตรียมกระเป๋าได้แล้ว อีกครึ่งชั่วโมงจะได้ไปกัน" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงราบเรียบ แต่แฝงไปด้วยพลังอำนาจ ว่าสิ่งที่เขาพูดไปนั้นทุกคนต้องทำ
“ป้าคะ..." มนธิราโผเข้ากอดป้าจุ้มอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีน้ำตาตามมาด้วย
เธอกลัวสายตานั้น สายตาที่อ่านไม่ออกว่าเขายินดีที่จะให้เธอไปทำงานที่บริษัทจริงๆ หรือเปล่า เธออยากบอกและอยากถามป้าจุ้ม เพื่อให้ได้ความคิดเห็น เพื่อยืนยันมันคงทำให้สบายใจขึ้นได้บ้าง แต่ก็ได้แต่คิดเพราะกลัวว่าป้าจุ้มจะหาว่าเธอคิดมากเกินไปหรือเปล่า
"ไปเถอะ เดี๋ยวคุณใหญ่จะคอย" ป้าจุ้มดันมนธิราที่กำลังสะอื้น น้ำตาทำให้เสื้อของป้าจุ้มเปียกชื้น
"ขอโทษค่ะ หนูทำให้เสื้อป้าจุ้มเปียกหมดเลย"
มนธิราเอ่ยอย่างแผ่วเบา กดเสียงสะอื้นไว้เต็มที่ ก่อนจะก้มหอมแก้มป้าจุ้มฟอดใหญ่อย่างรักใคร่ เธอไม่มีใครที่จะให้ความรักความอบอุ่นตลอดสิบปีที่ผ่านมา นอกจากป้าจุ้มคนเดียว คนเดียวเท่านั้น
มนธิราเดินแกมวิ่งออกไปพลางเช็ดน้ำตาตัวเองอย่างลวกๆ ภาพนั้นทำให้ป้าจุ้มถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ อันที่จริงน้ำตานั้นมันไหลเต็มอยู่ในอกตั้งนานแล้ว แต่กลัวว่าหญิงสาวมนธิราจะเห็น แล้วทำให้เศร้าใจเข้าไปอีก จึงกลั้นเอาไว้จนถึงตอนนี้ ที่มันกลั้นไว้ไม่อยู่จริงๆ แม้จะไม่ใช่ลูกหลาน แต่นิสัยอ่อนโยนของหญิงสาวทำให้ผู้สูงอายุอย่างเธอหลงรักและเอ็นดูเหมือนลูกหลานจริงๆ แต่ความอ่อนโยนของหญิงสาว ก็ไม่อาจจะเอาชนะใจของคุณปราณีได้เลย
... แต่ยังไงท่านก็ยังมีเมตตาอยู่บ้าง...ป้าจุ้มคิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ งานนี้ป้าจุ้มขาดคนรู้ใจและเอาใจไปแล้ว
มนธิรารีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น กระชับกระเป๋าใบไม่ใหญ่นักให้กระชับแน่นยิ่งขึ้น ออกจากห้องพักที่นอนมาตลอดสิบปีด้วยใบหน้าเศร้า
รถเบนซ์คันงามเคลื่อนมาจอดรอแต่ไกล มนธิรามองไม่เห็นคนขับ แต่หากให้เดา สงสัยงานนี้เขาคงขับรถเองมากกว่า...
จริงดังที่เธอคาดไว้ เมื่อเธอเดินเข้ามาใกล้ กระจกรถคันงามก็เลื่อนลง พร้อมใบหน้าหล่อก็โผล่ออกมา พร้อมสีหน้ายังคงเรียบเฉยเหมือนเดิม
“เอากระเป๋าเก็บไว้ท้ายรถ แล้วขึ้นมานั่งด้านหน้ากับฉัน" น้ำเสียงที่ยังทรงพลังทำให้มนธิราถึงกับสะดุ้ง หัวใจเต้นรัว
นี่...แค่เขาบอกให้นั่งด้านหน้าคู่กับเขา เธอก็หัวใจเต้นแรงจนออกนอกหน้า เจ็บใจตัวเองชะมัด!!
มนธิราจัดการกับกระเป๋าตัวเองเรียบร้อย ก็เดินมาเปิดประตูด้านหน้าคนขับพร้อมย่อตัวเข้าไปนั่ง หัวใจเต้นแรง ส่งผลให้เสียงปิดประตูดังกระแทกแรงผิดปกติ มนธิราก้มศีรษะงุดๆ รู้แน่ว่าต้องโดนสายตาดุๆ นั้นตำหนิแน่นอน จึงก้มหน้าทำใจ
“ไม่ต้องดีใจ จนเก็บอาการไม่อยู่ขนาดนั้นก็ได้”
ระเบิด!!! ลูกแรก ส่งออกมาเป็นคำพูดจนคนที่ก้มหน้าอยู่เงยสบตาอย่างไม่เข้าใจ
“........” อึ้งจนอ้าปากค้าง ว่าจะกล่าวขอโทษที่ลืมตัวปิดประตูเสียงดังไป แต่ก็ลืมเมื่อเจอคำพูดที่หนักเอาการของคนข้างๆ ลืมว่าตัวเองจะพูดอะไร
แต่หนุ่มหล่อกลับไม่สนใจ ว่าคำพูดตัวเองมันทำให้ใครคนหนึ่งถึงกับมึนงง กว่าสติจะกลับมาได้หัวก็เกือบทิ่มไปด้านหน้า
ชายหนุ่มกระชากรถคู่ใจออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว เร็วจนคนนั่งข้างรีบคาดเข็มขัดอย่างกลัวว่าหากขืนช้าอีกนิด มีหวังเธอได้ออกไปนอนเล่นอยู่นอกรถเป็นแน่