หลังจากจัดการแบ่งหน้าที่ให้คนที่ไว้ใจดูแลส่วนนี้แล้ว จึงได้ออกจากวังหลวงลั่วหยางในวันถัดมา ลั่วเหยียนเจิ้งสามารถหลบหลีกเหล่าองครักษ์เงาของลู่เฟยได้อย่างง่ายดาย หากใครมาพบเห็นในเวลานี้คงไม่มีกล้ากล่าวว่าองค์จักรพรรดิมีดีแค่สมองไร้ซึ่งวรยุทธ์เป็นแน่
ณ เวลานี้ ลั่วเหยียนเจิ้งเดินชมนกชมไม้ ในเขตนอกเมืองอย่างสบายอารมณ์สองมือไขว้หลังเดินไปตามเส้นทางเล็กๆ ที่ชาวบ้านใช้สันจร เขาเดินผ่านหมู่บ้านใหญ่เล็กมาเรื่อยๆ อย่างไม่ได้รีบร้อนอาภรณ์สีขาวในชุดจอมยุทธ์พเนจรพร้อมด้วยกระบี่หยกขาวซึ่งภายนอกยังดูสนิมเขรอะตามอาคมของอาจารย์สะพายด้านหลังกับห่อผ้าเล็กน้อย
ใบหน้าคมคายถูกทาสีดำไว้ครึ่งหน้าทางซีกซ้าย ส่วนทางขวาแทนที่จะหล่อเหลากลับถูกแต่งแต้มด้วยไฝปลอมเม็ดใหญ่ซึ่งเป็นของเล่นของจิวชงหยวนทำไว้ให้ ยิ่งดูอัปลักษณ์มากขึ้นจึงไม่ค่อยมีผู้ใดสนใจมากนัก
แม้จะไม่เคยออกไปไหนเพียงคนเดียวแต่ก็พอรู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง เพราะเคยผ่านความยากลำบากตอนที่ฝึกกับอาจารย์ฝู่ซานมาก่อน แม้จะผ่านมาเนิ่นนานแต่ใจก็หวังอยู่ลึกๆ ว่าจะได้พบอาจารย์ผู้มีพระคุณอีกครั้ง
ผ่านมาสองวันลั่วเหยียนเจิ้งก็เดินทางมาถึงเมืองหยางเซา ซึ่งเป็นราชอาณาจักรของลั่วหยางที่อยู่ทางตอนใต้ของเมือง ช่วงนี้อยู่ในฤดูใบไม้ผลิสองข้างทางจึงมีใบไม้หลากสีร่วงโรย เมืองนี้ไม่ได้เล็กแต่ก็ไม่ได้ใหญ่เหมือนในวังหลวง มีกำแพงเมืองล้อมรอบมีทหารตรวจการดูคนเข้าออกของเมืองทำให้รู้ว่ามีความเจริญไม่น้อยไปกว่าเมืองหลวง แล้วเหตุใดกันทำไมถึงมีเรื่องร้องเรียนไปถึงเขาได้
“เข้าแถวๆ ใครจะเข้าเมืองต้องเข้าแถวให้ทหารตรวจการเสียก่อน”
เสียงร้องของทหารดังอยู่หน้าประตูเมือง ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามแล้วครุ่นคิดว่ามีการจัดระเบียบดี น่ายกย่องไม่น้อย ทว่าเมื่อตนเดินเข้าแถวไปกับชาวบ้านและผู้คนที่เข้าเมืองต้องนิ่วหน้าน้อยๆ มองคนเก็บเบี้ยค่าเข้าเมืองอย่างครุ่นคิด ทำให้เสียความรู้สึกตั้งแต่เริ่มเข้าเมือง แต่เมื่อตนหมายจะมาจับปลาตัวใหญ่จึงยื่นเบี้ยให้ไหลตามน้ำไปก่อน สองเท้าเดินเข้าไปในเมืองตามชาวบ้านคนอื่นๆ ด้วยสีหน้าปกติ
ลั่วเหยียนเจิ้งเดินเข้าไปในเมืองมองหาโรงเตี๊ยมเป็นอันดับแรกเพราะตอนนี้เขาหิวมาก และการทำอาหารเขาแย่ยิ่งกว่าสิ่งใดจึงไม่คิดจะแตะต้องมัน คิดถึงเรื่องนี้ทีไรทำให้เขาเจ็บใจทุกทีเพราะสองปีมานี้เขาไม่ได้กินบัวลอยไข่หวานเลย คนในวังหลวงก็ทำไม่เป็นน่าตัดหัวทิ้งให้หมดเสียจริง แค่คิดถึงเรื่องนี้ทีไรรู้สึกทรมานหัวใจจนไม่อยากนึกถึงมันอีก
“คุณชายมากี่ท่านขอรับ”
แม้จะหน้าตาอัปลักษณ์แต่การแต่งตัวทำให้รู้ว่ามีเงิน เสี่ยวเอ้อจึงออกมาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเก็บซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ในใจเพราะที่แห่งนี้ผู้มีเงินคือลูกค้าชั้นยอด
“คนเดียว”
ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับเสียงเรียบ ทว่ากลับมีรอยยิ้มอ่อนโยนแต้มบนใบหน้าที่แสนอัปลักษณ์ทำให้ผู้พบเห็นเบือนหน้าหนีอย่างไม่ใส่ใจนัก เขาเดินไปนั่งริมระเบียงบนชั้นสองของเหลาอาหารตามคำเชิญของเสี่ยวเอ้อก่อนจะสั่งอาหารมาสี่ห้าอย่าง
“ไก่อบเหล้าเหลือง ซี่โครงหมูน้ำแดง ซาลาเปาเห็ดหอม แปดทรัพย์ตุ่นไห่ และก็ชาหลงจิ่งมาป้านหนึ่ง” ลั่วเหยียนเจิ้งหันไปสั่งอย่างคุ้นเคย เสี่ยวเอ้อยิ้มร่ารับคำก้มหน้าคารวะจากไปพร้อมรายการอาหาร
เสียงพูดคุยและเรื่องนินทาของแต่ละโต๊ะนั้นฟังดูแล้วน่ารื่นเริง สิ่งที่หนีไม่พ้นก็ยังเป็นข่าวของสำนักเซียนโอสถของจิวชงหยวน ทว่าสิ่งที่ลั่วเหยียนเจิ้งสนใจในเวลานี้คือการปะทะกันระหว่างพรรคมารกับพรรคธรรมะ
กอปรกับข่าวของนิกายมารฟ้าซึ่งเขาเคยได้ยินเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งก็ไม่ได้ใส่ใจมาก่อนเพราะคิดว่าตนจะไม่เกี่ยวข้องกับยุทธภพ แต่ข่าวลือจากชายฉกรรจ์ข้างโต๊ะกำลังนินทาบุตรคนเล็กคนประมุขนิกายมารฟ้าทำให้ไม่อาจละความสนใจได้เช่นกัน
“เจ้าแน่ใจหรือว่านี่เป็นเรื่องจริง” ชายร่างสูงโปร่งใบหน้าธรรมดาเอ่ยถามสหายในชุดสีน้ำตาลคาดเอวด้วยผ้าสีเหลือง บ่งบอกว่ามาจากสำนักเดียวกันเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริง
“จริงแท้ ข้าได้ยินมากับหูเห็นกับตาเมื่องานวันเกิดท่านประมุขเมื่อปีที่ผ่านมา บุตรคนเล็กของประมุขนิกายมารฟ้าเป็นคนไร้ประโยชน์เหมือนขยะของตระกูล วรยุทธ์อ่อนด้อย ปัญญาไม่มี มีแต่ความสวยที่งดงามจนล่มบ้านล่มเมือง ทว่ากลับเย็นชาเย่อหยิ่งไม่เห็นหัวผู้ใดแม้แต่พี่น้องกันเองยังไม่เสวนาด้วยเลย” ชายร่างสูงใหญ่เอ่ยตอบอย่างออกรส สีหน้าจริงจังดวงตาหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อนานมาแล้วแต่ยังจดจำได้ไม่ลืม
ลั่วเหยียนเจิ้งแสร้งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ทว่าหูกลับฟังการนินทาของโต๊ะข้างๆ อย่างตั้งใจ จนกระทั่งอาหารถูกนำมาเสิร์ฟเขาจึงล่ะความสนใจมาทานอาหารเงียบๆ แม้จะหิวกระหายมากแค่ไหนทว่าการนั่งดื่มกินยังสง่างามจนทำให้หลายคนหันมามอง บ้างก็มีเสียงซุบซิบนินทาระยะเผาขน อีกทั้งมาเพียงผู้เดียวทำให้ผู้คนมั่นใจว่าชายผู้นี้มีวรยุทธ์สูงล้ำจนอยากขอท้าประลอง
“พี่ชายท่านมาจากสำนักใด น้องชายคนนี้ขอคำชี้แนะได้หรือไม่”
ลั่วเหยียนเจิ้งที่กำลังคีบไก่อบเหล้าเหลืองเข้าปากชะงักงัน เขาเงยหน้ามองผู้เอ่ยถามแล้วก้มหน้ามองอาหารตรงหน้าอย่างพิจารณา แต่มารยาทที่มีแต่กำเนิดทำให้จำใจวางอาหารที่กำลังเข้าปากลงแล้วกล่าวตอบชายร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มด้วยรอยยิ้มการเมือง
“น้องชายข้ามาจากสำนักเซียนโอสถ วรยุทธ์ข้ายังด้อยมาก แต่หากน้องชายไม่รังเกียจขอข้าทานมื้อกลางวันก่อนได้หรือไม่”
ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน มุมปากกลับยกยิ้มเบาบางขณะกล่าวอ้างถึงสำนักของน้องสะใภ้คนงามโดยไม่มีใครสังเกตเห็น พลางคิดว่าค่อยให้จิวชงหยวนมาคอยเก็บกวาดปัญหาที่เขาก่อเอาเองแล้วกัน และเป็นการลงโทษที่ไม่ยอมทำของหวานแปลกตาแต่อร่อยให้เขาทานอีก