สืบเรื่องราว (3)

1145 Words
“โอ้ ที่แท้พี่ชายมาจากสำนักเซียนโอสถเองหรอกรึ ข้าได้ยินมาว่าผ่านมาหลายปีมีศิษย์เพียงแค่หยิบมือแต่กลับมีฝีมือร้ายกาจเช่นนั้นหลังอาหารข้าคงต้องขอคำชี้แนะพี่ชายเสียแล้ว”             ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มรับไมตรี เชิญอีกฝ่ายร่วมทานด้วยอย่างไม่รังเกียจ อาหารมื้อนี้จึงทำให้เขาได้รับความรู้เกี่ยวกับยุทธภพมากขึ้น แม้จะรับฟังและจดจำได้แต่เขาก็กล่าวตอบอย่างพองามเท่านั้น            “ข้าจอมยุทธ์ฟ่านหลี่มาจากสำนักมังกรฟ้าไม่ทราบพี่ชายมีนามว่าอะไร”            ชายร่างสูงโปร่งเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มจริงใจ ใบหน้าคมคายออกหวานนั้นดูดีไม่น้อยขณะยิ้ม แต่ไม่ว่าใครก็ยังงดงามเท่าน้องสะใภ้จิวชงหยวนไม่ได้            “ข้าเหยียนเจิ้ง”             ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยรอยยิ้มมองคนที่ไม่รังเกียจหน้าตาอัปลักษณ์ตนเองอย่างสนใจ เขาเองก็อยากมีสหายที่ไม่ได้สนใจหน้าตาและอำนาจที่ตนมีเช่นกัน แต่จะมีคนแบบนั้นอยู่จริงหรือ            แต่คงต้องค้นหาคำตอบด้วยตนเองแม้ต้องใช้เวลาก็ตาม ที่บอกชื่อจริงของตนเองเพราะไม่มีคนรู้จักชื่อเขาจริงๆ ส่วนมากจะเรียกเขาองค์รัชทายาทหรือไม่ก็ฝ่าบาทจนทุกคนเริ่มลืมเลือนชื่อจริงๆ เขาไปเสียแล้วกระมัง            หลังจากจบอาหารมื้อเที่ยงเขาก็ได้ออกไปประลองยุทธ์กับฟ่านหลี่เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกันทางด้านนอกเมือง ทว่าเพียงแค่ห้ากระบวนท่าฟ่านหลี่ก็พ่ายแพ้ต่อลั่วเหยียนเจิ้งทำให้รู้ว่าเทียบกันไม่ติดแม้แต่น้อย              “ขอบคุณพี่เหยียนเจิ้งที่ชี้แนะ สำนักเซียนโอสถวรยุทธ์สูงล้ำจริงๆ” ฟ่านหลี่ยกมือคารวะเคารพอย่างจริงใจ ทว่าคนฟังกลับยิ้มไม่ออกเพราะเขาไม่ได้มาจากเซียนโอสถจริงๆ ได้แต่กล่าวตอบอย่างนอบน้อม            “น้องฟ่านหลี่กล่าวชมไปแล้วข้ายังต้องฝึกอีกมาก”            “ฮ่าๆๆ ข้ารู้สึกชมชอบนิสัยท่านนัก นับแต่นี้ท่านมาเป็นสหายข้าได้หรือไม่” ฟ่านหลี่บอกด้วยรอยยิ้มเริงร่าไม่ได้รังเกียจใบหน้าอัปลักษณ์แม้แต่น้อย จอมยุทธ์มีคุณธรรมและเป็นคนดีย่อมนับถือที่ฝีมือใช่หน้าตา            “ตกลงน้องฟ่านหลี่ต่อไปนี้เจ้าคือสหายข้า”             ลั่วเหยียนเจิ้งตอบรับอย่างว่าง่าย ใช่ว่าเขาเชื่อใจคนอื่นแต่ทุกการกระทำของเขาย่อมมีเหตุผลหากได้มิตรที่ดีย่อมมีประโยชน์กับเขา แต่หากมิใช่คนที่จริงใจแค่ตัดทิ้งจะเป็นไรไปแม้กระทั่งสายเลือดเดียวกันเขายังสามารถสังหารได้ นับประสาอะไรกับสหายร่วมสาบานที่มิใช่สายโลหิตเดียวกัน            หลังจากนั้นฟ่านหลี่ก็ได้ขอตัวไปทำธุระให้อาจารย์ ลั่วเหยียนเจิ้งก็มิได้คัดค้านหากได้พบกันอีกครั้งก็นับว่ามีวาสนาต่อกัน ตกเย็นเขาจึงออกมาเดินเล่นเพื่อสืบข่าวจากฎีกาที่ใส่ไว้ในอกเสื้อมาด้วย ทว่าตอนนี้ช่วงเย็นทำให้ผู้คนพลุกพล่านจับจ่ายซื้อของกันเต็มไปหมด            หมับ!            ลั่วเหยียนเจิ้งคว้ามือขอทานน้อยที่กำลังฉกถุงเบี้ยของตน หรี่ตามองเด็กน้อยหน้าตามอมแมมซึ่ง จับไว้ได้ทันท่วงที มือเรียวเล็กสะบัดมือออกด้วยความแรงและเร็วจนหลุดมือ ร่างเล็กพุ่งหายไปตามฝูงชนอย่างว่องไว            “แม้แต่ขอทานเดี๋ยวนี้ก็มีวรยุทธ์แล้ว หรือว่าเป็นพรรคกระยาจก” ลั่วเหยียนเจิ้งพึมพำคนเดียวมองตามร่างเล็กที่หายไปอย่างสงสัยแต่เมื่อไม่มีสิ่งใดหายไปจึงไม่ได้สนใจอีก...            ร่างสูงเดินตามสำรวจร้านค้าต่างๆ อย่างใจเย็น โดยไม่ได้สนใจสายตาลึกลับที่มองตามมาหรือไม่ก็ยังไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกมอง ขณะเดียวกันเด็กน้อยที่เป็นขโมยกลับมายืนรายงานชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่มุมมืดของกำแพงบ้านหลังหนึ่งด้วยน้ำเสียงจริงจัง            “อาจารย์คนผู้นั้นวรยุทธ์ล้ำเลิศ เพียงแค่ข้าสัมผัสตัวคนผู้นั้นก็รู้ทันที ยังดีที่คนผู้นั้นไม่รู้ว่าข้ามีวรยุทธ์จึงทำให้หนีมาได้ขอรับ” เด็กน้อยวัยสิบขวบหน้าตามอมแมมกล่าวกับชายหนุ่มร่างสูงใบหน้างดงามทว่ากลับเย็นชาไร้ความรู้สึก            หลิ่วเหวินอี้เพียงแค่พยักหน้ารับรู้เท่านั้น สายตายังจับจ้องชายหนุ่มร่างสูงท่าทางสง่างามอย่างพิจารณาแม้ใบหน้าดูคล้ายคนอัปลักษณ์ แต่คนที่อยู่ในวงการสายลับมานานย่อมรู้ว่านั้นเป็นการปลอมตัว เพียงแต่ไม่คิดว่ายุคสมัยนี้จะมีการปลอมตัวเช่นนี้อยู่ แม้จะแนบเนียนแต่ก็มิอาจหลุดพ้นสายตาตนไปได้            “ขอบใจเจ้ามากโหลวหลัน เจ้าไปได้แล้วต่อจากนี้เดี๋ยวข้าจัดการเอง” หลวนซานผู้ติดตามและผู้ที่เข้าใจนายน้อยอย่างดีบอกเด็กน้อยที่อยู่ในกลุ่มวิหคดำพร้อมขยี้ศีรษะอย่างเอ็นดู เด็กน้อยก้มหน้าคารวะก่อนจะจากไปด้วยความเร็ว            “นายน้อยเหตุใดถึงสนใจคนผู้นั้นขอรับ” หลวนซานเอ่ยถามอย่างระวังมองใบหน้าเรียบนิ่งอย่างฉงน เพราะน้อยนักที่จะเห็นนายน้อยผู้เย็นชาจะสนใจสิ่งใด ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบงันเฉกเช่นทุกครั้ง ได้แต่ทำใจให้ชินและเฝ้ามองเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างสงบ            หลิ่วเหวินอี้ไม่ได้ตอบคำถาม ดวงตายังจับจ้องร่างสูงที่หายไปกับผู้คนที่จับจ่ายซื้อของในยามเย็น คราแรกก็ไม่ได้คิดที่จะสนใจแต่มีบางอย่างสะกิดใจเขา แม้จะมองจากที่ห่างไกลทว่ารัศมีการเดินกลับแปลกแยกออกไป ทำให้นึกไปถึงกิริยาที่คล้ายกับลู่เฟยซึ่งเขาเคยเจอเมื่อหลายปีก่อนพร้อมกับหมอเทวดาผู้นั้น            “ไปเถอะ”             หลิ่วเหวินอี้บอกพร้อมก้าวเดินไปยังหอบุปผาของเมือง ซึ่งเป็นแหล่งนางโลมและนายโลมให้เลือกสันมากมาย ทว่าจุดมุ่งหมายใช่ว่าจะมีจิตพิศวาสกับผู้ใด เพียงแต่หลายปีมานี้เขาเข้าออกหอนางโลมตามเมืองต่างๆ เพื่อปกปิดความจริงกับคนในครอบครัวและผู้คน            จากประสบการณ์การตายจากภพชาติที่ผ่านมาทำให้เขาต้องระวังมากขึ้น ไม่ทำตัวโดดเด่นเรื่องวรยุทธ์ ทำตัวไร้สมองเสเพลในวงเหล้าเคล้านารีและการพนันเท่านั้น ตอนนี้จึงเป็นเพียงขยะไร้ค่าผู้หนึ่งเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องการและพึงพอใจที่ผลลัพธ์ออกมาเช่นนี้            
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD