“ครับ...อีกสามวันผมจะกลับกรีซพร้อมกับ...ลิลลี่กับลูกของผมทั้งสองคน”
“คะ?...วะ...ว่ายังไงนะคะ...ทะ...ทำไมเหรอคะ...นี่คุณจะพาลักษณ์กับเด็ก ๆ กลับกรีซ...อีกสามวันอย่างนั้นเหรอคะ...ทะ...ทำไมถึงได้...”
“กะทันหัน...อย่างนั้นสินะครับมันอาจดูรวดเร็วแต่เชื่อเถอะครับว่ามันเป็นเวลาที่เหมาะสมอย่างที่สุด”
เขาอธิบายด้วยเสียงเยือกเย็นทว่าคนฟังมีสีหน้าตกใจ รัชนีหันไปมองหน้าลูกสาวที่ยืนนิ่งไม่พูดอะไร ขณะนั้นชายหนุ่มเดินเข้าไปประชิดร่างของลักษณ์นาราและโอบไหล่เธอไว้ แววตาดิบดันเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นอ่อนหวานและอ่อนโยนอย่างที่รัชนีจับสังเกตไม่ได้เลยว่าภายใต้ใบหน้าหล่อเหลานั้นกำลังเก็บงำความเดือดดาลและเคียดแค้นเอาไว้
“ผมคิดถึงเมียกับลูกครับคุณแม่...และคงทนไม่ได้ที่จะให้เมียกับลูกของผมอยู่ที่นี่ต่อไป ผมอยากพาลิลลี่กับลูกกลับกรีซให้เร็วที่สุด”
“มันจะไม่เร็วไปหน่อยเหรอคะ ในเมื่อคุณก็พึ่งมาถึง จะไม่นอนพักสัก...เอ้อ...อาทิตย์แล้วค่อยเดินทางดีกว่าไหมคะ”
“แมทเตรียมทุกอย่างไว้แล้วค่ะแม่ และหนูก็...ตอบตกลงเขาแล้วด้วยว่าเราจะเดินทางในอีกสามวัน”
ลักษณ์นารากล่าวเสริมทั้งที่ความจริงเธอผะอืดผะอมต่อคำโกหกของตัวเอง อัดอั้นจนอยากอาเจียนหากไม่เป็นเพราะต้องรักษาความรู้สึกที่ดีของมารดาไว้ เธอจะให้รัชนีรู้ไม่ได้อย่างเด็ดขาดว่าการเดินทางกลับประเทศกรีซครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายคุณยายจะได้เห็นหน้าหลานแฝดชายหญิงทั้งสอง และสำหรับรัชนีแม้จะรู้สึกแปลก ๆ ต่อการมาของแมทเทียสแต่เมื่อนึกถึงอดีตที่ผ่านมาทำให้ต้องสงบปากสงบคำเพราะนางรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องหนักหนาแม้ไม่รู้ว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของความแค้นฝังใจชายหนุ่ม หญิงวัยกลางคนเพียงพยักหน้าเป็นการรับรู้ก่อนเอ่ยถาม
“อ้า...เอ้อ...แล้วเรื่องเอกสารที่จะให้เด็ก ๆ กับลักษณ์เดินทางออกนอกประเทศ อาจจะต้องใช้เวลานานก็ได้นะคะ”
“ผมเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยหมดแล้วครับ เพราะผมมีเพื่อนที่สถานทูต เดี๋ยวนี้การดำเนินการรวดเร็วมาก จริง ๆ แล้วผมอยากพาเมียกับลูกกลับวันนี้ด้วยเครื่องบินส่วนตัวเลยด้วยซ้ำ”
“มี้ขา...เราจาไปไหน?”
ลักษมี แฝดหญิงผู้พี่เงยหน้าถามเพราะหันซ้ายหันขวาฟังผู้ใหญ่คุยกันอยู่นานแล้ว ลักษณ์นาราก้มลงและตอบเสียงแผ่ว
“มี้ขาจะพาปั๊บกับน้องไปประเทศกรีซนะคะ”
“ปะเทศกี๊ด? อยู่ไหนฮับมี้?” ลักษณ์ แฝดชายผู้น้องถามขึ้นบ้างด้วยความอยากรู้ ลักษณ์นาราต้องฝืนยิ้มอีกครั้ง
“อยู่ไกลมาก”
พ่อหนูเอียงคอพร้อมเกาหัว “มากแค่ไหนฮับ?”
“มาก ๆ...ไกลจากที่นี่...มากๆ”
“แล้วมี้ขาจะกลับมะไหร่คะ?” ลักษมีถามขึ้นบ้าง
“อ้า...เอ้อ...”
หญิงสาวอ้าปากค้างเพราะคำพูดมากมายจุกอยู่ที่ลำคอจนแน่นไปหมด เธอจะอธิบายลูกน้อยว่าอย่างไรดี แต่แล้วแมทเทียสกลับเป็นคนตอบ
“อาจจะนานสักหน่อย แต่หนูก็จะได้กลับมา”
“คุงลุงไปด้วยหราคะ?”
ลักษมีถาม แววตาใสแจ๋วเต็มไปด้วยความสงสัยราวกับน้ำเย็นละลายความรุ่มร้อนที่เก็บกลั้นในใจของแมทเทียสให้ดับได้ลงชั่วขณะ เขายิ้มละมุน
“ค่ะ...เราจะเดินทางไปพร้อมกันทั้งสี่คน”
คำตอบของเขามั่นคงแน่นหนักและมีอำนาจหยุดทุกความรู้สึกและความคิดของทุกคนในที่นั้น รัชนีไม่เอ่ยถามอะไรต่อแม้จะตกใจ ประหลาดใจและใจหาย ส่วนลักษณ์นาราก็แทบไม่แสดงความเห็นใด ๆ นอกจากรับฟังด้วยความสงบทั้งที่หัวใจของเธอกำลังร่ำไห้กับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งในชีวิต
“ถ้ายังไงอีกสามวันคุณจะกลับมารับพวกเราใช่ไหมคะแมท”
“วันนี้ผมจะพาคุณกับลูกไปทำหนังสือเดินทาง ทุกอย่างต้องเร่งด่วนที่สุดเพราะผมต้องรีบกลับไปสะสางงานต่อ”
“เอ้อ...”
“และไม่ต้อง...ไม่ต้องเอาอะไรไปทั้งนั้น” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเยือกเย็น “เสื้อผ้า ของใช้ของเด็ก อยากได้อะไรผมจะซื้อให้ใหม่...ทุกอย่าง”
“แต่ปุนต์...ต้องเอาอันนี้ไป” ลักษณ์ แฝดน้องผละจากมารดาแล้ววิ่งหายเข้าไปในบ้านสักครู่ก่อนวิ่งกลับออกมาพร้อมขวดนมป้อม ๆ กลมใหญ่และมีหูจับสองข้าง หนูน้อยยิ้มอวดฟันขาวกับชายแปลกหน้าและแววตาคู่นั้นเสมือนว่าอยากอวดสิ่งที่ตัวเองเห็นว่ามันสำคัญ ลักษมีเห็นแล้วก็นิ่วหน้า
“ปุนต์...หนายบอกมี๊ขาว่า...ปุนต์ม่ายดูดนมแล้วงาย”
“ปุนต์บอกมี๊ว่า...ปุนต์ม่ายดูดนมก่อนนอนน๊า”
“แต่ปุนต์โตแล้ว”
“เพื่อนปุนต์ก็ดูดได้นินา”
“โอเคค่ะ” ลักษณ์นาราเอ่ยขึ้นบ้างเมื่อเห็นลูกน้อยเถียงกันซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ลักษมีชอบแสดงความเป็นพี่และสอนน้องตามแบบอย่างของแม่
“ปั๊บลูก...น้องสัญญากับมี๊ว่าจะไม่ดูดนมก่อนนอนเท่านั้นค่ะ”
“จริงหราคะ?”
“ค่ะ แต่มี๊อนุญาตให้ปุนต์ดูดเวลาอื่นที่หิวได้”
“ก็ได้ๆ ค่ะ แต่ปั๊บก็ต้องเอาของปั๊บไปเหมือนกัน”
คราวนี้ลักษมีวิ่งกับเข้าไปในบ้านก่อนกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกระเป๋าใบเล็กที่ด้านในมีตุ๊กตาสาวน้อยสามสี่ตัวกับเสื้อผ้าหลากสี แมทเทียสมองพลางย่อตัวลงแล้วเอ่ยกับเด็กหญิง
“แบบนี้ลุงซื้อให้หนูได้ใหม่ ตุ๊กตาบาร์บี้มีชุดสวยเยอะแยะเลยรู้ไหม?”