“ลักษณ์จะไม่เอาเงินติดตัวไปสักหน่อยหรือลูก?”
“ไม่ต้องก็ได้ค่ะ เงินส่วนที่เหลือหนูให้แม่ไว้ใช้...ทั้งหมดเลยนะคะ”
“ลักษณ์...”
รัชนีจับมือบุตรสาวไว้แน่นและไม่ทันสังเกตเห็นอาการกระสับกระส่ายของลักษณ์นารา ไม่รู้เลยว่าในเวลานี้หญิงสาวเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นมากแค่ไหน รู้อย่างเดียวว่าแมทเทียสต้องพาเมียและลูกของเขากลับไป สำหรับรัชนีแล้วหลังจากนี้คือเวลาของการรอคอยและทำใจให้สงบเมื่อที่บ้านต้องเหลือเธออยู่แค่คนเดียว
ลักษณ์นาราเหม่อมองออกไปนอกบานกระจกหน้าต่างขณะนั่งบนเก้าอี้ภายในเครื่องบินส่วนตัวที่กำลังทะยานขึ้นสูงจนถึงระดับเพดานการบินปกติเหนือหมู่เมฆรูปทรงประหลาดหากเธอกลับไม่รู้สึกถึงความตื่นเต้นในการเดินทางกลับกรีซแบบกะทันหันแม้แต่น้อย หญิงสาวนั่งประสานมือที่กดเกร็งไว้ตลอดเวลาหลังพาลูกน้อยเข้าไปนอนในเคบิน เด็กแฝดทั้งคู่ต่างหากที่ตื่นเต้นและตื่นใจเมื่อได้นั่งเครื่องบินเป็นครั้งแรก
หนูน้อยทั้งสองนั่งมองก้อนเมฆที่เปลี่ยนรูปทรงตลอดเวลาขณะเครื่องบินพุ่งผ่านไปในชั้นบรรยากาศเหนือแผ่นดินบ้านเกิดที่กำลังเคลื่อนลับไปข้างหลังและนั่งอยู่นานหลังจากนั้นกระทั่งผลอยหลับไปในอ้อมกอดของแม่ซ้ายขวา ลักษมีหลับไปทั้งที่มือยังกุมตุ๊กตาไว้และลักษณ์ แฝดน้องก็หลับทั้งที่ยังดูดนมไม่ทันหมดขวด ลักษณ์นาราหันกลับไปมองประตูห้องที่ปิดสนิทและมีอาการกระสับกระส่ายเล็กน้อยก่อนจะรีบสงบความรู้สึกว้าวุ่นของตัวเองเมื่อร่างสูงใหญ่ในชุดลำลองก้าวเข้ามาและหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้าม ร่างเล็กบอบบางไม่กล้าหันกลับไปสบนัยน์ตาสีสนิมเหล็กคู่คมที่จับจ้องตัวเธอตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นเธอคงได้เห็นสายตาหยามเหยียดที่กวาดมองตัวเธอไปทั่วตังแต่หัวจรดเท้า
“คุณบอกลูกว่ายังไง?”
เขาตั้งคำถามสั้น ๆ ขณะกุมแก้วไวน์ในมืออย่างเยือกเย็น ลักษณ์นาราจำต้องหันกลับมาและจ้องหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ คิ้วโก่งเลิกขึ้นสูง
“คะ?...บอก...บอกอะไรเหรอคะ?”
“เรื่องของผม...เรื่องพ่อของพวกเขา”
เขาถามอย่างคาดคั้นขณะโน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย ทั้งสีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงและไม่ไว้วางใจ ลักษณ์นาราถอนหายใจเบา ๆ เพราะอึดอัดอย่างมากเมื่อต้องมาอยู่ต่อหน้าคนที่บัดนี้มองเธอด้วยแววตาปราศจากความเป็นมิตร
“ฉันไม่ได้บอกอะไรค่ะ”
“แล้วเรื่องดี๊ขาของลูก”
“ลูกต้องรู้ว่าตัวเองมีพ่อ ฉันแค่สอนให้ลูกเรียกพ่อว่า ดี๊”
“แดดดี๊?” เขาเลิกคิ้ว “คงไม่ได้หมายถึงผู้ชายคนอื่นที่คุณคบหาหลังกลับมาเมืองไทยใช่ไหม...ว่าไง!...ผมถามว่าใช่ไหม!”
ลักษณ์นาราสะดุ้งตกใจกับเสียงของแมทเทียสที่ลั่นใส่อย่างไร้เหตุผล หญิงสาวมือสั่นและเย็นวาบไปถึงสันหลัง
“แมท...ขอร้องนะคะ อย่าเสียงดังได้ไหมคะ เดี๋ยวลูกตื่น”
“ในเคบินเก็บเสียงอย่างดี ลูกจะไม่ได้ยินเสียงรบกวนไม่ว่าจะดังขนาดไหน แต่ตอนนี้คุณต้องตอบคำถามของผมเรื่องลูก”
“ฉันไม่มีใคร...อ๊ะ!”
หญิงสาวร้องขึ้นเมื่อพูดไม่ทันจบประโยคก็ต้องหน้าชาเมื่อไวน์ในมือของชายหนุ่มสาดเข้าไปเต็มใบหน้าตื่นตระหนก ร่างบางผงะนิ่งและก้มลงมองเสื้อที่เลอะคราบน้ำสีแดง ดวงตาเบิกกว้างและปากสั่นระริก
“แมท!”
แมทเทียสเหยียดปากขบกรามแน่น “แค่ความสะใจ ที่จริงผมอยากบีบคอคุณให้ตายคามือเลยด้วยซ้ำ!”
เขาโพล่งออกมาโดยไม่ยี่หระ ไม่สนใจความรู้สึกที่กำลังแตกสลายของลักษณ์นาราที่ถูกกระทำเหมือนเขาไม่เห็นค่าในตัวเธอเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวอยากร้องไห้ออกมาแต่สิ่งที่ทำได้ก็แค่จ้องหน้าเขาด้วยแววตาเจ็บปวด ความไร้เหตุผลของแมทเทียสเหมือนมีดนับหมื่นเล่มทิ่มแทงลงบนร่าง หญิงสาวรวบรวมสติและใช้ความพยายามอย่างหนักเตือนตัวเองว่าเธอต้องอดทนมากแค่ไหนก็เพื่อ
ลูก...
ลักษณ์นาราเลือกที่จะไม่ตอบโต้ทั้งที่ข้างในร่ำไห้อย่างบอบช้ำ เธอเม้มปากเข้าหากันแน่นสนิทก่อนลุกขึ้นแต่ก็ไม่วายถูกร่างใหญ่ลุกตามและดึงเธอกลับไป
“แมท...ปล่อย...”
“อย่าเลือกที่จะจบปัญหาด้วยการเดินหนีหรือหันหลังให้”
เสียงหนักถูกเค้นจากลำคอดังชิดใบหูเล็กขณะเขายื้อเธอไว้ด้วยการกอดร่างแน่งน้อยจากทางข้างหลัง แขนทรงพลังรัดร่างบอบบางไว้แน่น เธออึดอัดและรู้สึกเหมือนถูกรัดด้วยโซ่เส้นใหญ่จนกระดูกแทบป่น หญิงสาวทอดถอนหายใจขณะตัวสั่นเหมือนลูกนกท่ามกลางพายุหนาวเหน็บ ไม่ว่าจะอย่างไรเธอก็ไม่เคยลืมเลือนอ้อมแขนของแมทเทียสที่ครั้งหนึ่งนั้นช่างอบอุ่นหากบัดนี้เขาไม่ได้กอดเธอด้วยความรัก ยิ่งท่อนแขนหนารัดรึงมากเท่าไหร่หัวใจของเธอก็ยิ่งยะเยือกมากขึ้นเท่านั้น
“แมท...ฉันจะกลับไปหาลูก”
“เรายังคุยกันไม่จบ”
“ถึงคุยกันมากแค่ไหนคุณก็ไม่มีวันเข้าใจหรอกค่ะ...อะ...อา...”
ลักษณ์นาราส่งเสียงลึกในลำคอเมื่อรู้สึกเหมือนร่างตัวเองหดเล็กลงในวงแขนที่ยิ่งกดรัดมากขึ้นทุกที เธอหายใจไม่ออกแต่ไม่กล้ากรีดร้องเพราะกลัวว่าหากลักษมีตื่นขึ้นมาตอนนี้อาจตกใจกับสภาพที่เห็น ร่างเล็กจับแขนเขาไว้แน่นหากสัมผัสได้ถึงกล้ามเนื้อแขนของแมทเทียสที่ขมวดเกร็งด้วยแรงอารมณ์ของเขา
“แมท...ฉันเจ็บ”