4

3329 Words
“ผมลืมโทรศัพท์” ภวินท์บอก ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากถามเขาด้วยซ้ำ แล้วถึงได้เห็นว่าเดินไปยังโต๊ะที่ใช้นั่งสนทนากันเมื่อตอนก่อนหน้า หยิบของที่วางไว้ตรงม้านั่งอย่างเอ้อระเหย เธอเองไม่ได้สนใจมองด้วยตอนเขาลุกจากไปว่ามีข้าวของอะไรหลงเหลืออยู่ ไม่อย่างนั้นต้องรีบเรียกเขาไว้แล้วว่าลืมของ นายแพทย์หนุ่มหยิบของเรียบร้อยแล้วถึงกลับมาตรงที่ฐิตตายืน ถามเขาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ลืมอะไรอีกไหมคะ” จนจบประโยค เป็นจังหวะเดียวกับที่รถของตาโชติ ที่มียายบุญมานั่งไปด้วย ขับโดยคนงานเข้ามาจอดในบริเวณบ้านพอดิบพอดี นายแพทย์หนุ่มหยุดมองแล้วยิ้ม ก่อนตรงเข้าไปรับตาโชติถึงที่รถ พร้อมยกมือไหว้ “สวัสดีครับ” ตาโชติรับไหว้ชายหนุ่มคราวหลาน แล้วถึงเชื้อเชิญด้วยไมตรีมิตร “สวัสดีครับคุณหมอ ไปยังไงมายังไงครับนี่ เข้าบ้านก่อนครับ” ฐิตตากำลังจะอ้าปากบอกว่าเขาคุยธุระเรียบร้อยแล้วและกำลังจะกลับ ก็พูดอะไรไม่ทันเพราะภวินท์ตอบรับคำเชิญของชายสูงวัย พร้อมทั้งเข้าไปประคองตาโชติเดินเข้าไปด้านในบ้านด้วยกัน เธอมองชายสองคนด้วยแววตาครุ่นคิด ทั้งสงสัย ทั้งระแวงระวัง ค่อยมองสบตากับติ๊บ สั่งงานเบาๆ พอให้ได้ยินกันแค่สองคน “พี่ติ๊บบอกแนนกับคนอื่นๆ เรื่องเด็กๆ ด้วยนะคะ แล้วพาสองแสบไปเล่นที่เรือนในสวนก่อน อย่าให้ออกมาเพ่นพ่านตรงนี้เด็ดขาด” ติ๊บรับคำเสร็จ เดินดุ่มๆ จากไปในทันที ฐิตตาตามหลังชายสองคนเข้ามาในบ้าน มองนายแพทย์ภวินท์ที่คุยอะไรตาของเธอก็ดูเหมือนจะถูกใจไปเสียหมด ไม่นึกแปลกใจอะไรที่เขาจะรู้จักตาของเธอ เนื่องจากฐิตตาเหลือท่านเป็นญาติเพียงคนเดียวเท่านั้นที่หวังดีต่อเธออย่างจริงใจ ช่วงที่เรียนพอปิดเทอมเธอไม่กลับบ้านก็จะมาพักอยู่กับท่านที่นี่ เรื่องนี้คนในบ้านรู้กันหมด เขาเองก็น่าจะรู้ นึกโล่งใจอยู่ไม่น้อยที่ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ของเล่นถูกเก็บลงหีบเอาไว้ เพราะเจ้าสองแสบเล่นแล้วไม่ยอมเก็บเข้าที่ เลยถูกเธอทำโทษด้วยการงดเล่นหนึ่งสัปดาห์ ส่วนรูปถ่ายของสองแสบถูกแม่อันนาตัวดีทำลายจนเกือบสิ้น ที่ใส่กรอบไว้ไม่หล่นแตก ก็ถูกปีนเอาลงมาระบายสีเสียเลอะเทอะไปหมด จนต้องเอาไปเก็บไว้ในหีบอีกเช่นกัน คิดไว้ว่าเมื่อเจ้าสองแสบของเธอโตมากพอ จะเล่าวีรกรรมเหล่านั้นให้ฟัง จึงไม่มีร่องรอยให้ภวินท์เห็นว่าที่นี่นอกจากตาโชติ ยายบุญมาและเธอกับเหล่าคนในบ้านแล้ว ก็ไม่มีใครพักอยู่อีก กระนั้นฐิตตาก็ยังหายใจได้ไม่โล่งเท่าไรนัก เธอมองไปรอบๆ บ้าน สำรวจอีกครั้งว่ามีของๆ ลูกหลงเหลืออยู่ตรงไหนหรือไม่ พบว่าไม่มีอะไรสะดุดตาค่อยเบาใจ แล้วอยู่รอว่าภวินท์จะกลับออกไปเมื่อไร แต่ดูท่าแล้วไม่เห็นเขาจะจากไปเสียทีก็ชักกระวนกระวายหนักขึ้น ชายสองวัยคุยกันถูกคออยู่นานจนล่วงเข้าเวลามื้อเย็น ตาโชติถึงได้ออกปากชวน “อยู่กินข้าวกันก่อนสิคุณหมอ” ภวินท์ยิ้มพร้อมตอบรับทันที ไม่มีอิดออดแต่ประการใด รอให้เด็กๆ ยกสำรับมาตั้งโต๊ะ ฐิตตาปลีกตัวจะไปทางสวนสมุนไพรหลังบ้าน ตาโชติรีบเรียกเอาไว้ “กินข้าวด้วยกันสิลูก” ฐิตตาลอบถอนหายใจ หลบมุมขยิบตาบอกท่าน “ถิงยังไม่ค่อยหิวค่ะ” แต่ดูเหมือนตาโชติจะไม่เข้าใจความหมายที่เธอส่งให้ หรือบางทีอาจเข้าใจ แต่แสร้งว่าไม่ แล้วสั่งอย่างที่ไม่เคยทำกับเธอเลยสักครั้ง “มากินด้วยกัน อย่าเสียมารยาทน่า...” มองสบตากับท่านควบคุมตัวเองไม่ให้ฟึดฟัดต่อหน้าคนอื่นที่จ้องมองเธออยู่ แล้วเลยต้องกลับมานั่งร่วมโต๊ะ “ไม่รู้ว่าเคยกินไหม กับข้าวบ้านๆ ทั้งนั้นล่ะค่ะคุณหมอ” ยายบุญมาว่าขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศอึดอัดบนโต๊ะหลังจากฐิตตานั่งลงเรียบร้อยแล้ว อีกนัยก็คล้ายจะหยั่งเชิงชายตรงหน้าไปในตัว นายแพทย์ภวินท์ตอบรับด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ไม่ค่อยได้กินแบบนี้ครับ เพราะผักปลอดสารจริงๆ ที่ไม่ใช้ยาเลยก็ไม่ใช่จะหากินได้ง่ายๆ แบบที่ปลูกตามบ้านเราหรอกครับคุณยาย” พอเริ่มกินกันไปได้ครู่หนึ่งแล้ว ยายบุญมาก็ว่า “ผัดถั่วฝักยาว เก็บเอาจากหลังบ้านนี่เองค่ะ ผัดใส่หอม ใส่กะปิมันจะยิ่งชวนกิน ลองดูค่ะคุณหมอว่าอร่อยไหม” นายแพทย์ภวินท์ตักมาใส่จานตามคำชวนเชิญ กินแล้วพยักหน้าตอบรับ ยิ้มๆ “สดมากเลยครับเลยทำให้มีรสหวาน อร่อยมากครับ” “แกงเลียงก็ผักตามท้องทุ่งเรานี่เองค่ะ มีอะไรก็เก็บๆ มาใส่ ปรุงรสตามใจชอบ ส่วนต้มจืดตำลึง ไปเด็ดจากรั้วบ้าน ไม่ได้ปลูกมันหรอก มันขึ้นเอง ฝนตกทีงี้งามเชียว เด็ดกินกันแทบไม่ทัน” ฐิตตามองดูยายบุญมาที่พยายามจะโชว์เหนือว่าบ้านนอกดีอย่างไร ว่าขัดขึ้นมาบ้าง “หมูเรายังต้องซื้อจ้ะยายมา เราไม่ได้เลี้ยงเอง อาหารมันเลยไม่ได้ต่างจากที่อื่นนักหรอก” เขากลืนอาหารลงคอแล้ว อมยิ้มเล็กน้อย ตอบ “ในความไม่ต่างก็ยังมีความต่างอยู่ดี แต่ยังไงผมก็ชอบอยู่ดีนั่นแหละครับ” บอกจบจ้องที่หลานสาวของตาโชตินิ่งๆ ฐิตตาเห็นแล้ว ได้แต่ทำเฉยเสีย ไม่ว่าอะไรจากนั้น “มีอีกไหมเด็กๆ ยกมาเติมอีกซิ” ตาโชติสั่งคนในบ้าน ราวกับต้องการเอาใจเขา “เอ่อ…” ฐิตตาอึกอักเพราะไม่รู้ว่าเด็กๆ ตักแบ่งไว้ให้สองแสบมากน้อยแค่ไหน อันดากับอันนากินจุอย่างกับอะไรดี แล้วมองหน้าติ๊บที่ยืนรอราวกับจะส่งสัญญาณถาม ยายบุญมายังมาเร่งถามอีก “ว่าไงแม่ติ๊บ มีอีกไหม ตักมาเติมซิ” “หมดแล้วค่ะ” ติ๊บปดในที่สุด นายแพทย์ภวินท์ลอบสังเกตท่าทีของฐิตตาที่ส่งให้ติ๊บ แล้วนึกเอะใจในสิ่งที่เธอแสดงออก คงไม่คิดทำตัวเสียมารยาทกับเขาด้วยการหวงของกินหรอกละมัง เพราะเขาไม่ได้เดือดร้อนนักกับอาหารการกิน เป็นคนกินยากก็จริง แต่ไม่ให้เขากินเลยก็ยังได้ แต่ท่าทีของฐิตตาดูกังวล ดูไม่เหมือนกับตอนแรกที่เขาพบเธอ นายแพทย์ภวินท์คิดแล้วอยากหาคำตอบให้ตัวเองว่าที่ฐิตตาเป็นอยู่นั่น สาเหตุมาจากอะไรกันแน่ พลันยายบุญมาเรียกตนเสียก่อน “คุณหมอ” “ครับ”                       “เสียดายกินข้าวกันแล้ว” “มีอะไรหรือครับ” ตาโชติเลยว่า “เห็นบ่นว่าเส้นตึง บุญมาเขาจับเส้นเก่งน่ะคุณหมอ ใช่ว่าใครก็จะได้นวดกับแกง่ายๆ นะ หมอนวดคนนี้เล่นตัวอย่างกับอะไร” ยายบุญมาค้อนควักใส่ตาโชติทันที มากล่าวหากันแบบนี้ได้อย่างไร นายแพทย์หนุ่มเงียบไปครู่ แล้วว่า “เห็นจะต้องรบกวนคุณยายแล้วล่ะครับ” “เอาอย่างนี้สิ หมอจะอยู่ที่นี่อีกกี่วัน” ภวินท์ยังไม่ทันได้ตอบ ยายบุญมาถามนำอีก “พรุ่งนี้ปะไร” คนที่นั่งเงียบอยู่คนเดียวในวงสนทนา ใจร่วงลงไปที่ตาตุ่มในตอนนั้นเอง ยังจะไปชวนให้เขามาบ้านอีกทำไมกัน เธอล่ะอยากไล่ให้เขาไปพ้นๆ ยิ่งได้ยินเสียงทุ้มตอบรับกลับมายิ่งหงุดหงิดไปใหญ่ “ได้ครับ พรุ่งนี้ให้ผมเตรียมตัวยังไงบ้างครับ” สนทนากันไปกินกันไปจวบจนอาหารตรงหน้าเริ่มบางตาลง ตาโชติให้เด็กยกผลไม้มาล้างปาก แล้วก็ท้องตึงอิ่มหนำรู้สึกได้เลยว่ามื้อนี้เป็นมื้อแรกในรอบสิบปีได้ละมัง ที่ภวินท์อิ่มถึงขนาดนี้ “พักที่ไหนล่ะคุณหมอ” ยายบุญมาถาม ดูท่าแกจะชอบนายแพทย์ภวินท์ขึ้นบ้างแล้ว หลังจากตอนแรกที่เฉยๆ เพียงเท่านั้น “ผมมากะทันหันไปหน่อย เลยยังไม่ได้จองห้องพักครับ” ภวินท์รอคำชวนจากอีกฝ่ายด้วยท่าทีสงบ แต่แล้วกลับไม่มีใครออกปากชวนให้เขาค้างที่นี่ด้วยเลยแม้แต่คนเดียว อันที่จริงเขาไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกขนาดนั้น แต่เพราะมีบางคนอยู่ที่นี่ด้วย เลยทำให้อยากเห็นเจ้าหล่อนนานๆ ขึ้นอีกหน่อยเท่านั้นเอง ร่ำลาทุกคนแล้ว นายแพทย์ภวินท์เดินกลับมาที่รถอย่างเชื่องช้า เกิดความรู้สึกไม่อยากขับรถจากที่นี่ไปเลยแม้แต่นิด พลันหูแว่วเสียงคนเดินตามหลังมา พร้อมคำท้วง “เดี๋ยวค่ะ” คุณหมอหนุ่มจุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก ก่อนหันหลังกลับไปสบตาเธอ ถามสั้นๆ “ครับ?” “ของของคุณ” ฐิตตาส่งโทรศัพท์ที่เขาวางไว้บนโต๊ะ คล้ายจงใจ รับมาถือแล้ว ถึงได้ยินเธอว่าคล้ายเหน็บ “กลัวจะลืมอีกน่ะค่ะ” ส่งของให้เขาแล้วหันหลังเข้าบ้านไปในทันที ภวินท์มองตามจนคล้อยหลังเธอไปแล้วนั่น ถึงได้กลับขึ้นรถ มุ่งสู่โรงแรมที่พักในตัวเมืองที่เขาจับจองเอาไว้แล้ว ตั้งใจว่าลาพักผ่อนครั้งแรกในรอบหกปีคราวนี้จะตักตวงความรู้สึกพองๆ ในใจให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ค่อยกลับไปลุยงานต่อ ส่วนเรื่องหย่าลืมไปเสียสนิทแล้ววินาทีนั้น   เช้านี้ฐิตตาเห็นเขานั่งอยู่ตรงซุ้มไม้หน้าบ้าน ไม่รู้ว่ามาตอนไหน คนอะไรไม่รู้จักเวล่ำเวลา ดีที่เขานั่งหันหลังให้เธออยู่เลยไม่เห็นกัน ฐิตตาจึงไม่ต้องเข้าไปทักทายเขา แล้วเลยเลี้ยวกลับเข้าไปยังห้องของสองแสบที่ตื่นพอดี จัดแจงให้เด็กแนนพาเดินลัดเลาะไปเล่นในสวนสมุนไพรที่ด้านหลังก่อน  ที่นั่นมีเรือนพักขนาดย่อมอยู่อีกหลัง ห่างจากบ้านพอสมควร ไม่ลืมกำชับว่าให้หาคนไปคุมอีกสามถึงสี่คน อันดาอาจไม่เท่าไร แต่แม่อันนานี่ฤทธิ์เดชจะเยอะหน่อย กลัวพี่เลี้ยงจะเอาไม่ไหวเสียก่อน ไม่ลืมเก็บของเล่นชิ้นหนึ่งที่หลงวางทิ้งไว้ตรงลานบ้านเข้าห้องไปด้วย คุณหมอหนุ่มยังไม่รับมื้อเช้าเมื่อยายบุญมาออกตัวว่าจะจับเส้นให้เขาก่อนตามที่ชักชวนแต่วานนี้ ท่าทางคุยกันสนุกครึกครื้นดีจนน่าหมั่นไส้อยู่ไม่น้อย แว่วเสียงหญิงสูงวัยคุยไปหัวเราะไปดังออกมาจากซุ้มเล็กๆ นั่น ไม่นานตาโชติเข้าไปร่วมวงสนทนาด้วย เสียงหัวเราะดังครืนกว่าเก่าเสียอีก ฐิตตาจึงปลีกตัวไปดูสองแสบที่เรือนด้านหลังในสวนสมุนไพร พอเห็นหน้าแม่ อันนาวิ่งเข้ามากอดขาเธอแน่น แล้วแหงนหน้าถาม “แม่จ๋า ทำไมต้องให้หนูเล่นแต่ที่บ้านเล็กนี่ด้วยล่ะจ๊ะ” ไม่เคยโกหกลูกสักครั้ง แต่ครั้งนี้เธอต้องทำ คิดว่าอีกประเดี๋ยวเขาคงไป ขอแค่ตอนนี้สองแสบของแม่ไม่ออกไปเพ่นพ่านข้างนอกให้ภวินท์เห็นเข้าก็น่าจะพอแล้ว “เพราะว่าเราดื้อน่ะซี้ แม่เลยให้พี่แนน พี่นก พี่เดียร์จับตาดูพวกเราเอาไว้ เป็นช่วงสังเกตความประพฤติ ถ้าเราไม่ซน ไม่ออกไปจากในสวน แม่จะพิจารณาลดโทษให้เราสองคน แล้วถึงออกไปเล่นได้ตามปกติ” วันก่อนไปนัดโยดา เพื่อนวัยเดียวกันเอาไว้ว่าจะแอบไปเล่นที่ท้ายสวน อย่างนี้ก็ไปไม่ได้แล้วสิ อันนาแม่ตัวดีคิดแล้วนึกหาทางเจรจากับแม่ โอดอ้อนๆ “แม่จ๋า แม่...” “ไม่มีข้อต่อรองใดๆ ทั้งนั้นนะอันนา” แกล้งทำหน้าขึงขังจริงจัง เท่านี้ก็ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของแม่แล้ว คุยด้วยกันอีกครู่ ฐิตตาสำทับ เน้นย้ำกติกากับสองแสบของเธออีกรอบ ไม่ลืมบอกเด็กๆ ว่าต้องคอยเฝ้าดูให้ดีๆ อย่าให้หลุดไปที่เรือนใหญ่เป็นอันขาด แล้วตั้งใจว่าจะรีบไปยังห้องครัวเพื่อเตรียมทำอาหารเช้า พร้อมกับตุนขนมมาให้สองแสบที่ต้องกักเอาไว้ในเรือนสมุนไพรไปพลางๆ ก่อน โชคดีที่ตาโชติทำเรือนเล็กหลังนี้เอาไว้อีกหลัง ไม่อย่างนั้นฐิตตาก็นึกสภาพไม่ออกเลย ว่าจะจัดการอย่างไรที่จะไม่ให้ภวินท์รู้เห็นเรื่องของฝาแฝดคู่นี้ เดิมทีเธอเคยใช้พักเมื่อตอนมาอยู่กับท่านใหม่ๆ จนคลอดก็อยู่ไฟที่นี่ แล้วถึงย้ายขึ้นเรือนใหญ่ไป ปิดบ้านเรียบร้อย ไม่ลืมกำชับกับพี่เลี้ยงเด็กๆ อีกรอบ แล้วเดินจนพ้นเขตของสวน ก็ให้เกือบชนเข้ากับร่างสูงใหญ่ตรงมุมทางเข้า “อุ๊!” ตกใจเล็กน้อย ก่อนปรับท่าทีให้สงบลง แต่กระนั้นภวินท์เห็นแล้วก็จับความรู้สึกของเธอได้ ทำไมขวัญอ่อนนัก นึกเอะใจยิ่งขึ้น อยากดูอาการของคนตรงหน้า เลยแสร้งว่า “ผมจะเข้าไปดูในสวนสมุนไพรของคุณตา” บอกจบ ทำท่าจะเดินเข้าไปดูข้างในทันที “อย่า!” ฐิตตาร้องห้ามเสียงหลง แล้วลืมตัวดึงแขนเขาไว้อีกต่างหาก ภวินท์หยุดในทันทีแล้วเหลือบมองลงมาที่มือของเธอตรงที่จับแขนของเขาเอาไว้ จึงต้องรีบปล่อยทันทีราวแตะโดนของร้อน แล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติ กระแอมไอบอก “หมายถึงว่าอย่าเพิ่งเข้าไป ตอนนี้เข้าไปไม่ได้ คุณตาท่านค่อนข้างจำกัดคนเข้าออกในสวนสมุนไพรน่ะค่ะ” “อย่างนั้นหรอกหรือ” ปากเขาถาม สายตาลอบสำรวจหญิงสาวตรงหน้าไปพลางก่อนทำเป็นไม่สนใจเพื่อให้เธอได้หายใจหายคอออกบ้าง แล้วหันหลังกลับไปยังเรือนใหญ่ที่ด้านหน้าอีกครั้ง พลันแว่วเสียงเล็กๆ คล้ายเสียงเด็กร้องกรี๊ดกร๊าดดังแว่วออกมาจากในสวนสมุนไพร นายแพทย์หนุ่มหยุดเดิน หันกลับไปมองในสวนอีกครั้ง ถามขึ้น “ข้างในมีคนอยู่ด้วยหรือ” “ก็...มีค่ะ เด็กแถวนี้ ชอบมุดรั้วเข้ามาเล่นในสวน” บอกเขาด้วยใบหน้าเฉยเมย ฝืนตาสบตอบทั้งที่หัวใจกระหน่ำเต้นแทบจะหลุดออกมานอกอกอยู่แล้ว แล้วค่อยเดินนำหน้าไปยังเรือนใหญ่ ภวินท์ไม่ได้เดินตามเธอไป เขายังคงสนใจ สายตามองเข้าไปในสวนสมุนไพรนั่นอีกครั้ง ค่อยตามหลังจนทัน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ไม่รู้ว่าคุณจำถ้อยความของสัญญาที่เราเซ็นในหน้าท้ายๆ ได้ไหม” ฐิตตาใจคอไม่อยู่กับเนื้อตัวเท่าไรนัก เพราะกำลังคิดว่าอาจต้องย้ายสองแสบไปไว้ที่ไหนก่อนชั่วคราว ถามเขากลับอย่างมึนงงเล็กน้อย “อะไรคะ” “ก็...ถ้าหากคุณให้กำเนิดบุตรที่เป็นของเราทั้งสองคน การหย่าจะต้องเป็นโมฆะทันทีน่ะสิ” นายแพทย์หนุ่มพูดช้าๆ ตามถ้อยคำในสัญญาแนบท้ายเป๊ะทุกตัวอักษร ชัดเจนทุกถ้อยคำ ราวกับสลักไว้อยู่ในหัวใจของเขาหมดทั้งสัญญา สายตาจับจ้องปฏิกิริยาของหญิงสาวที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาทั้งทางนิตินัยและพฤตินัย แต่ฐิตตาก็มีฝีมือมากพอที่จะปกปิดอาการตกใจในชั่วขณะนั้น ทั้งๆ ที่ใจหล่นลงไปที่ตาตุ่มแล้วตอนนี้ หยุดเดินก่อนหันมาขืนตาจ้องเขา ยิ้มแค่ปากแต่ไปไม่ถึงดวงตา กล่าวตอบอย่างพยายามรักษาอาการ “อย่างนั้นหรือคะ” แล้วนิ่งไป เพราะเธอไม่รู้เรื่องนี้เลย ว่าออกไปอย่างไม่ให้เป็นฝ่ายถูกเขาต้อนจนมุมมากนัก “เห็นสิ ฉันเห็นแล้ว” “อย่าลืมนะว่ายังมีเวลาเหลืออีกตั้งเดือน ระหว่างนี้ ถ้าเราเกิดมี...” ภวินท์ว่า ย่างเท้าเข้าหา จนฐิตตาหน้าซีดตกใจเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว ถอยหลังกรูด ยกมือเสมออกราวกับต้องการป้องกันตัวเอง หลุดเสียงแหวสั่งเขาอย่างลืมตัวด้วยอารามตกใจ “ไม่มีทาง! ออกไปให้ห่างจากฉันเดี๋ยวนี้เลย” คนถูกไล่แทนที่จะโกรธ กลับยิ้มยั่วใส่ที่เห็นฐิตตาในแบบที่เขาเคยคุ้น ไม่ใช่ฐิตตาที่แข็งเป็นหินอย่างในวันนี้ กล่าวเย้าแหย่ “ทำขรึมอยู่ได้ตั้งนานสองนาน ต้องแบบนี้สิถึงจะเป็นตัวของตัวเอง” “ฉันไม่ได้...” ในที่สุดเธอก็หลุดมาดขรึมเข้มต่อหน้าเขาเสียที ไม่เคยมีใครหรืออะไรจะป่วนหัวใจของเธอได้เท่ากับคนตรงหน้านี้อีกแล้ว ฐิตตาเองก็คงไม่รู้เช่นกันละมัง สำหรับนายแพทย์ภวินท์แล้วไม่มีใครหรืออะไรที่จะมาป่วนหัวใจเขาได้เท่าเธอเช่นกัน ฐิตตาจะแก้ต่างให้ตัวเอง แต่แล้วก็คิดว่ามันเปล่าประโยชน์สิ้นดี เลือกพูดกับเขาเท่าที่จำเป็นเท่านั้น “ถึงยังไงเราก็ต้องหย่ากันอยู่ดี คุณหยุดพูดเรื่องทำนองนี้เถอะ ฟังแล้วสะอิดสะเอียน” พยายามไม่โกรธเมื่อได้ยินเธอตอกกลับเขาแบบนี้ ถามเสียงขรึม หน้าเข้ม “ท่าทางคุณอยากหย่าจังเลยนะฐิตตา” “ใช่” ตอบรับสั้นๆ เท่านั้น ภวินท์นิ่งแล้วถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมถามได้ไหม ว่าทำไม” เธอจ้องหน้าเขาตรงๆ นานอึดใจ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งลง “เพราะเราไม่ได้รักกันยังไงล่ะคะ ฉันแต่งงานกับคุณเพราะคุณพ่อบีบบังคับฉัน สมองคุณเสื่อมไปแล้วหรือไง” แววตาของนายแพทย์หนุ่มไหววูบไปชั่วขณะทันทีที่ได้ยินคำตอบของเธอ ภวินท์เมินไปมองทางอื่นด้วยความรู้สึกดิ่งวูบในใจ ถึงค่อยหันกลับมายิ้มเพียงแค่ปากเท่านั้น ที่ไปไม่ถึงดวงตาของเขาแล้วกล่าวต่อ “เหลือเวลาอีกตั้งเป็นหลายเดือน อะไรๆ อาจเปลี่ยนแปลงไปก็ได้ตอนนั้น” บอกจบเขาผายมือให้เธอเดินนำหน้าก่อน คล้อยหลังหญิงสาวแล้ว ภวินท์อดไม่ได้ที่จะหันไปมองในสวนสมุนไพรอีกครั้ง สวนนี้ค่อนข้างเป็นสัดส่วน มิดชิด ไม่ใช่สถานที่ที่เด็กที่ไหนจะวิ่งเข้ามาเล่นได้ หากไม่ได้ยินยายบุญมาว่าให้ฟังก่อนเดินเข้ามาในนี้ เขาคงเชื่ออย่างที่ฐิตตาพูดมาทั้งหมดนั่น ไหนว่าสวนสมุนไพรจำกัดคนเข้าออก แล้วทำไมถึงปล่อยให้เด็กแถวนี้มุดเข้ามาเล่นได้เล่า คิดจะโกหก แต่ไม่เนียนเอาเสียเลย เมื่อครู่เขาเห็นมีเด็กวิ่งเล่นอยู่ในนั้นหนึ่งคน ไม่สิ เหมือนจะเห็นอีกคนในนั้นด้วย และนั่นจะไม่ดึงความสนใจของเขาเลย หากท่าทีของฐิตตาจะไม่ส่ออาการให้คนอย่างเขาสงสัยได้ขนาดนี้ เหมือนมีอะไรปกปิดเอาไว้ คล้ายกับว่าไม่อยากให้เขาเห็นอะไรข้างในสวน จะเกี่ยวกับเด็กสองคนในนั้นหรือไม่ หากมีโอกาส ภวินท์คิดว่าเขาคงต้องทำทีเป็นเดินหลงเข้าไปในสวนสมุนไพรดูสักครั้ง อาจเจอคำตอบที่ในนั้นก็เป็นได้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD