นายแพทย์ภวินท์เยี่ยมไข้เคสสำคัญของเขาบนวอร์ดเก่า
ภายในห้องพักผู้ป่วยขนาดใหญ่ตอนเช้าวันอาทิตย์ ในนั้นมีชายคนหนึ่งที่เป็นคนจากนามสกุลดังรักษาตัวอยู่
หลังดูแผล ซักถาม พูดคุยกันครู่เดียว จึงออกจากห้องแล้วตรงไปยังรถยนต์ส่วนตัว ขับออกถนนใหญ่สู่จุดหมายปลายทางในทันที
พิกัดของจุดหมายมีอยู่ในมือแล้วตอนนี้ มีมานาน มีมาตลอด แล้วก็มีหลากหลายสาเหตุที่ทำให้เขามาที่นี่ไม่ได้ในระยะหลังๆ
นายแพทย์หนุ่มบอกกับคะนึง เลขาสาวใหญ่คนสนิทว่าเขามีธุระต้องจัดการ โดยไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรทั้งนั้นว่าจะไปธุระเรื่องอะไร กับใคร และที่ไหน บอกเพียงระยะเวลาเท่านั้น
เรื่องของข้อตกลงหลังสัญญาแต่งงานระหว่างเขากับฐิตตาไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เขาต้องไปที่นี่ เพราะวันเดือนปีตามกำหนดในสัญญาเหลืออีกเป็นหลายเดือน ทนายสุนัยเตือนเขาให้ทราบแล้วครั้งหนึ่งเมื่อต้นปี และสอบถามความประสงค์ว่าต้องการให้เป็นไปตามข้อตกลงเลยหรือไม่ แต่ภวินท์กลับเงียบแล้วบอกกลับไปในตอนท้ายว่าเขาขอจัดการเรื่องนี้เอง
จากที่พยายามทำเป็นลืมเลือน แต่ก็ยังถูกมารดารบเร้า ท่านถามเขาทุกครั้งที่เจอ มันทำให้ภวินท์เบื่อหน่าย เขาอึดอัดที่มารดาพยายามเข้ามาวุ่นวายในเรื่องนี้ และในใจลึกๆ แล้วไม่มีคำว่า ‘หย่า’ อยู่ในหัวเขาเลย แต่แล้วได้ยินมารดาเหน็บแนมก็ให้อยู่เฉยไม่ได้อีก
‘ผ่านมาขนาดนี้ลูกคิดว่าเด็กนั่นมันจะไม่มีผัวใหม่ไปแล้วหรือไง อย่างน้อยยังไม่ถึงเวลาหย่า ลูกก็ไปดูน้ำหน้ามันหน่อยปะไร ถ้ามีผัวใหม่แล้วจริง ก็ฟ้องมันเลย’
นางอัมพรอาจเรียนอ่านเขียนมาไม่มาก แต่เรื่องได้เปรียบเสียเปรียบกันแบบนี้นางไม่เคยปล่อยปละละเลย นางถามทนายสุนัยมาจนหมดแล้วเลยรู้ข้อกำหนดในสัญญาเป็นอย่างดี
มีเขียนไว้ในสัญญาแนบท้ายหากว่าในระหว่างที่ยังจดทะเบียนสมรสกันนี้ ใครกระทำการเสื่อมเสีย มีเรื่องชู้ฉาวอีกฝ่ายก็สามารถฟ้องหย่าได้ทันที
ยังไม่หย่าแล้วไปมีใหม่อย่างนั้นหรือ เขายังไม่ทำแบบนั้นเลย หากเธอทำล่ะก็...นายแพทย์หนุ่มคิดมาถึงตรงนี้แล้วเผลอออกแรงบีบมือลงบนพวงมาลัยรถอย่างต้องการระบายโทสะที่พลุ่งพล่านขึ้นในเสี้ยววินาที
ภาพหญิงสาวจอมแสบยังคงปั่นป่วนอยู่ในหัวใจของนายแพทย์ภวินท์ มันติดอยู่ในความทรงจำของเขาเสมอ เพียงแต่ภวินท์ไม่ได้บอกกล่าวให้ใครได้รู้เท่านั้น
ความร้ายกาจของเธอ
วาจาดูหมิ่น สายตาที่ชอบมองเหยียดหยัน
ทั้งหมดที่เป็นฐิตตานั่นถือดี อวดดีไปเสียหมด
ทำให้เขาต้องหันไปทำแต่งาน บังคับให้ในหัวมีแต่เรื่องงาน โรงพยาบาลที่มีตัวเลขติดลบแบบนั้น เขาจะทำอย่างไรให้มันดีขึ้น รุ่งเรืองขึ้น ภายในระยะเวลาห้าถึงหกปีมานี้ เขาทุ่มตัวทำก็เพื่อสลายท่าทีผยองหยิ่งของฐิตตา
บัดนี้ เขาอยากเห็นนักว่าเธอยังจะทำท่าอวดดี ถือดีกับเขาอีกไหม
ขณะคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก็ต้องเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน เมื่อมีอะไรแวบผ่านตัดหน้ารถเขาไป ดีที่รถหรูสมรรถภาพสูงใช้ความเร็วไม่มาก เนื่องจากกำลังคลานอยู่ในถนนเส้นเล็กๆ เพียงรถสวนกันได้เท่านั้น
นายแพทย์ภวินท์จอดรถก่อนเปิดประตูลงมา พอเห็นว่าอะไรที่ตัดหน้ารถไปก็ให้ฉุนวูบขึ้น ใบหน้าฉายแววไม่พอใจในทันที แล้วหันไปมองรอบๆ ด้านด้วยสายตาเอือมๆ คันปากอยากจะว่าออกไปให้แรงๆ นัก แต่ก็ยั้งเอาไว้
“ว้าย!”
เสียงกรีดร้องของหญิงชาวบ้านที่วิ่งตามมาในภายหลังดังขึ้นตอนนั้นเอง คุณหมอหนุ่มจ้องเด็กตรงหน้าด้วยสายตาระอาใจ เนื้อตัวสกปรกมอมแมม ผมเผ้ามีแต่เศษหญ้าเศษใบไม้เกรอะกรังไปหมด
แต่แล้วก็ให้สะดุดตา เมื่อเห็นร่างเล็กนั่นหิ้วตุ๊กตาผมสีชมพูแปร๋น ใส่ชุดสีชมพูทั้งตัว ดูมอมไม่ต่างจากคนถือเท่าไรนัก จ้องอยู่ครู่ ถอนใจเฮือก หันไปทางหญิงชาวบ้านที่คาดว่าจะเป็นมารดาของเด็ก
“ดูลูกยังไงครับ ทำไมปล่อยให้ออกมาบนถนนแบบนี้ ถ้ารถมาเร็วๆ นี่อันตรายมากนะรู้ไหม”
ว่าจบ ภวินท์กำลังจะย่อตัวลงไปดูว่าอีกฝ่ายมีบาดแผลหรือได้รับอันตรายตรงไหนหรือไม่ เด็กนั่นกลับแลบลิ้นใส่เขา แล้ววิ่งหลบหายเข้าไปยังข้างทางที่โผล่ออกมาทันที
หญิงคนนั้นรีบขอโทษขอโพยเขายกใหญ่
“ขอโทษนะคะคุณ แม่ตัวดีนี่ซนกว่าลิงอีกค่ะ”
บอกจบก็วิ่งหายตามกันไป
ภวินท์มองจนลับตา ส่ายหน้าด้วยความระอาใจอีกรอบ ค่อยกลับขึ้นรถแล้วมุ่งสู่จุดหมายปลายทางต่อจากนั้น
สิ่งปลูกสร้างชั้นเดียวตรงหน้าคือจุดหมายของเขา
บ้านทรงไทยไม้ครึ่งปูนครึ่ง สร้างไว้ค่อนข้างใหญ่กินพื้นที่พอควร ตั้งเด่นอยู่กลางหมู่บ้านในอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ นายแพทย์ภวินท์ยังพิจารณาบ้านไม่ทันได้ครบถ้วนดี ก็มีเสียงถามดังจากทางด้านหลังของเขา
“มาพบใครหรือคะคุณ”
ไม่ได้ตอบในทันที หันกลับไปพิศหญิงที่ถามด้วยแววตาครุ่นคิด แล้วมองไปรอบบ้านอีกครั้ง เอ่ยขึ้น “ผม...”
เด็กสาววัยไม่เกินยี่สิบปีหอบตะกร้าสานใส่สมุนไพรอัดมาจนแน่นโผล่พรวดมาจากทางหลังเรือนไม้ ถามขัด
“ใครมาหรือพี่ติ๊บ”
พอเห็นคนมาเยือนเท่านั้น เด็กสาวปล่อยตะกร้าร่วงลงพื้นในทันที แล้วยกมือขึ้นปิดปาก ยกแข้งขาไปมาเกือบเป็นกระทืบเพราะตื่นเต้นอารมณ์คล้ายได้เจอศิลปินที่ชื่นชอบอย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียว แล้วอึกอักถามด้วยใบหน้าแดงก่ำออกอาการขวยเขินสุดฤทธิ์
“คุ...คุณหมอคนนั้น คุ...คุณหมอคนหล่อ มะ...มาหาใครคะ”
ภวินท์เลิกคิ้วหน่อยหนึ่ง ผุดยิ้มขึ้นที่มุมปาก ตอบ
“ผมมาหาคุณฐิตตาครับ”
เด็กแนนยิ้มเอียงอายเคอะเขิน จนติ๊บล่ะอยากจะบิดเนื้อให้เขียวนัก หันไปถามติ๊บ “ใครหรือพี่ติ๊บ คุณฐิตตาอะไรเนี่ย”
ติ๊บตอบอย่างเอือมๆ “ก็คุณถิงไง”
“อุ๊ย! คุณถิงแกชื่อฐิตตาหรือพี่ติ๊บ หนูเพิ่งรู้”
“ไปตามเร็วเข้า บอกว่า...” ติ๊บมองหน้าเด็กแนน แล้วงันไปในเสี้ยววินาที สั่งต่อ “บอกคุณหนูว่าคุณหมอภวินท์มาขอพบ”
เด็กแนนรับคำสั่งเสร็จ วิ่งปรู้ดไปทางหลังเรือนสมุนไพรในทันที
คล้อยหลังเด็กแนนไม่นาน ติ๊บหันมาลอบมองนายแพทย์หนุ่มหล่อด้วยสายตาสำรวจอึดใจ ค่อยเชื้อเชิญตามธรรมเนียม
“นั่งรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวยกน้ำมาให้ค่ะ”
“คุณฐิตตาขา มีคนมาหาค่ะ”
เสียงเด็กแนนตะโกนโหวกเหวกบอกตั้งแต่ตัวยังวิ่งมาไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ ฐิตตาได้ยินแล้ว แต่มือยังสาละวนกับการคัดเลือกสมุนไพร ปากถามสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ
“ใคร”
“คุณหมอค่ะ คนที่หล่อๆ” แนนบอกแค่นั้น แล้วหันมายิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย กำลังจะพูดต่อ แต่ฐิตตาถามกลับคล้ายไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไร
“หมอพอลหรือ”
เด็กแนนส่ายหน้าหวือ บอกปัด
“ไม่ใช่ค่ะ หมอพอลแนนก็รู้จักอยู่หรอกนะ หมอคนนี้ คนที่...”
ฐิตตาพยักหน้าน้อยๆ เป็นการตัดบท แล้วเดินไปล้างมือ ค่อยมุ่งหน้าไปยังลานโล่งที่ใช้สำหรับตากสมุนไพรของตาโชติต่อ ไม่มีทีท่าว่าจะไปยังด้านหน้าบ้านเพื่อพบแขกหนุ่มที่เป็นหมอคนหล่อๆ คนนั้นของแนนเสียที
จนคนมาตามชักร้อนใจ เข้าไปเมียงๆ มองๆ คอยถามเธออยู่นั่นว่าจะออกไปพบเขาหรือไม่ จะไปตอนไหน แต่ฐิตตาก็เงียบไม่ยอมพูดอะไร ยังคงทำงานต่อ ราวกับว่าไม่เสร็จ เธอก็จะไม่ออกไปไหนทั้งนั้น
นายแพทย์ภวินท์มองไปรอบๆ บ้านด้วยความสนใจ เขารู้ในภายหลัง หลังจ้างทีมให้ตามหาฐิตตา จากวันที่เธอออกจากบ้านมาได้ไม่กี่วัน ถึงค่อยพบว่าหญิงสาวมาพักอยู่กับคุณตาของเธอที่นี่
และคุณตาของฐิตตาก็คือเจ้าของตำรับยาสมุนไพรไทย ที่อาจารย์ของเขาเคยเล่าให้ฟังว่าแกเก่งพอตัว แต่เสียดายที่มีคนอีกฝ่ายพยายามออกมาต่อต้านคัดค้าน ด้วยว่าไม่มีคุณวุฒิ ไม่มีวุฒิบัตรรองรับความสามารถของตัวเอง รวมถึงคณาอาจารย์แพทย์หลายๆ ท่านก็กล่าวถึงตาโชติในแง่นั้นด้วย เป็นเรื่องถกเถียงกันทุกทีที่นำชื่อของตาโชติขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนา
แต่แล้วเขากลับสนใจ และหากมีโอกาส ก็น่าจะได้พูดคุยเรื่องต่อ ยอดเกี่ยวกับตำรับยาของท่านด้วย
บรรยากาศเย็นสบาย บวกกับการได้คิดอะไรไปเรื่อยๆ ทำให้นายแพทย์ภวินท์ลืมเสียสิ้นว่ารอนานอยู่ร่วมชั่วโมง
“คุณถิงมานู่นแล้วค่ะ สงสัยคงทำงานติดพัน ช้านิดนะคะ”
เสียงของหญิงคนที่นั่งเฝ้าเขาเอ่ยขัดความคิดของภวินท์
คุณหมอหนุ่มรับรู้ได้ถึงหัวใจที่เต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินว่าฐิตตามาแล้ว ก่อนจะค่อยๆ หันไปตามทิศทางเดียวกับสายตาของหญิงคนนั้น
ฐิตตาในวันนี้ ดูแปลกไปไม่น้อยสำหรับนายแพทย์ภวินท์
หญิงสาวในชุดเปรี้ยวเฉี่ยวที่เคยคุ้นตา บัดนี้สวมใส่เพียงเสื้อผ้าฝ้ายตัดเย็บแบบง่ายๆ เท่านั้น
ผิวพรรณดูคล้ำลงแต่ไม่ได้ทำให้เธอดูสวยน้อยลงเลยแม้เพียงนิดในความคิดของคนมอง ร่องรอยบางอย่างในแววตาและใบหน้าบอกให้ภวินท์รู้โดยสัญชาตญาณว่าเธอโตขึ้น
“สวัสดีค่ะ เด็กบอกว่าคุณมีธุระต้องการพบฉัน”
เสียงทักถามเป็นการเป็นงานเสียจนภวินท์ขัดหู ไม่เพียงขัดหูเท่านั้น แต่เขายังรู้สึกขัดไปถึงในหัวใจเลยด้วยซ้ำ นายแพทย์หนุ่มมองสำรวจครู่เดียว ออกปากบอกอย่างสงวนท่าที
“ธุระส่วนตัว คุณพอจะมีที่สำหรับคุย...”
ยังพูดไม่ทันจบ ฐิตตาบิดมุมปากลงคล้ายหยันอย่างที่ไม่ได้ทำท่าทีแบบนี้มานานหลายปีแล้ว เจ้าหล่อนหันไปสบตากับหญิงอีกคนที่นั่งเฝ้าเขากล่าวว่า
“พี่ติ๊บคะ ถิงวานที ช่วยดูคนงานที่หลังบ้านให้ถิงหน่อย”
หญิงคนนั้นพยักหน้าพร้อมรับคำ แล้วถึงจากไปอย่างไม่ใคร่เต็มใจเท่าไรนัก ฐิตตารอจนคนของเธอเดินลับหายไปแล้ว จึงหันมาสบตากับคนมาเยือนอีกครั้ง เอ่ยเสียงราบเรียบไม่ระบุอารมณ์ใดๆ
“พูด ‘ธุระส่วนตัว’ ของคุณมาเถอะค่ะ”
นายแพทย์ภวินท์มองฐิตตา หญิงสาวที่ครองสถานะภรรยาของเขามาตลอดหกปีด้วยสายตาเคลือบแคลงใจ เหตุใดจากหญิงสาวเอาแต่ใจในวันนั้น จึงเปลี่ยนแปลงมากมายราวกับคนละคนในวันนี้
หรือธรรมชาติของเธอเป็นอย่างที่เขาเห็นอยู่นี่มาแต่แรกแล้ว
ความตั้งใจที่จะลองมาถามเรื่องหย่า กลืนกลับหายลงคอไปในทันที เพราะอะไรบางอย่างข้างในลึกๆ บอกให้เขายืดเวลาออกไปอีกจนมันครบตามกำหนดสัญญาค่อยพูดคุยกันตอนนั้นก็ไม่น่าจะสายจนเกินไป หรือจะทำเป็นลืมเลือนเรื่องหย่าไปเสียเลยก็เห็นว่าเป็นการดีไม่น้อย เสียงที่ดังก้องอยู่ภายในหัวใจบอกเขาเช่นนั้น
“ผม...”
เป็นครั้งแรกที่นายแพทย์ภวินท์สูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง และขาดความมั่นใจได้ถึงขนาดนี้ นึกหาเรื่องราวมาถ่วงเวลาให้ยืดยาวออกไป และไม่ต้องการเอ่ยว่าที่เขามานี่ เพราะต้องการมาคุยเรื่องหย่า
แต่แล้วเป็นเธอเองที่เอ่ยออกมาราวกับคุยเรื่องดินฟ้าอากาศกัน
“คุณมาเรื่องหย่าใช่ไหม”
ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นทันทีที่ได้ยิน อกใจของนายแพทย์ภวินท์ราวถูกเหล็กขนาดยักษ์บดบีบอัดกันจนแทบแหลกสลายลงในวินาทีนั้น เหตุใดเธอถึงเอ่ยออกมาได้อย่างง่ายดาย เอ่ยด้วยสีหน้าท่าทีไม่ทุกข์ร้อนใดๆ เลยด้วย หรือเธอมีใครใหม่แล้วจริง ดังที่มารดาของเขาว่าไว้ ถึงได้รอคอยการหย่าอย่างใจจดใจจ่อแบบนี้
พอเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบ ฐิตตาก็ว่าขึ้นอีก
“ฉันเคยบอกแล้วว่าเราควรหย่ากันเสียตั้งแต่ตอนนั้น”
ยิ่งฟังเธอพูดเรื่องหย่ายิ่งฉุน แต่แล้วกลับใช้ความเงียบเข้ากลบ เอ่ยขัดเธอบ้าง โดยอ้างตามรูปการในตอนนั้น
“ที่ผมไม่หย่าให้ตอนนั้น เพราะไม่อยากผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับอาจารย์”
“อ้อ...” ฐิตตาครางรับด้วยน้ำเสียงติดหมิ่นไม่รู้ตัว ตอนนั้นไม่อยาก ตอนนี้คงอยากแล้วสินะ สูดหายใจเข้าจนลึกสุดปอด บอกตัวเองว่าอย่าหวั่นไหว อย่าเสียใจเป็นอันขาดกับเหตุผลของเขา เพราะมันไม่ได้ผิดไปจากที่เธอคาดไว้สักเท่าไร
ไม่ว่าจะเป็นการยินยอมแต่งงานกับเธอ
หรือแม้แต่คืนนั้นที่เขาปลุกปล้ำเธอ ก็คงถือสิทธิ์ตามหน้าที่ที่บิดาของเธอมอบหมายให้เขาด้วยละมัง เธอนำความไปปรึกษากับคุณอาทนายสุนัยมาแล้วเรื่องที่เขาขืนใจเธอ แต่ท่านคล้ายจะสนับสนุนเขา บอกว่าหากจริงยิ่งเป็นการดี ท่านจะเล่นงานนายแพทย์ภวินท์ให้หย่ากับเธอไม่ได้ไปเลย แล้วยังบอกว่าหากส่งเรื่องฟ้อง ศาลท่านคงให้พวกเธอไกล่เกลี่ยกันเท่านั้น เนื่องจากเป็นเรื่องของสามีภรรยา เธอเลยเดินหนีไปเพราะไม่ใช่ความต้องการของเธอ
“คุณพ่อก็จากไปนานแล้ว อีกอย่างคุณไม่ได้เป็นคนขอหย่าก่อนนี่ ไม่น่าผิดจากสัญญาอะไรมากมายนักหรอก”
ได้ยินฐิตตาว่ามาแบบนั้นแล้ว เอ่ยขัดเธอขึ้น ด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านอย่างที่ไม่เคยเกิดกับใคร ดูเหมือนเธอจะอยากหย่ากับเขาเสียเหลือเกิน
“เอาเป็นว่าเรื่องหย่าเราจะยังไม่ดำเนินการอะไรทั้งนั้น แต่ที่ผมมาวันนี้ผมต้องการมาบอกเรื่องผลประกอบการให้ทราบ ถ้าไม่อยากเข้าไปดูแลแล้วยังไง คุณจะขาย...”
อีกฝ่ายยังว่าไม่จบ เธอก็ขัดเขาบ้าง เพราะอยากจบการสนทนาแบบไวๆ มาบอกเรื่องผลประกอบการบ้าบออะไร ทุกๆ ปีเป็นคุณอาสุนัยที่มาแจ้งให้เธอรู้
“ฉันจะขายในส่วนที่เป็นของฉัน คุณอยากซื้อไว้ก็ได้ เดี๋ยวฉันแจ้งไปกับทางคุณอาสุนัย”
ฐิตตาว่าจบ มองเขาอย่างที่ภวินท์อ่านแววตาไม่ออก แล้วย้อนกลับมาคุยกันที่เรื่องเดิม “ส่วนเรื่องหย่า ฉันอยากจัดการให้เรียบร้อยไปเลย เพราะมันใกล้กำหนดเวลาแล้ว ที่ไม่ได้ติดต่อไป เพราะคิดว่าคุณเซ็นใบหย่าให้ฉันแล้วเสียอีก เรื่องกิจการอะไรก็แล้วแต่ที่คุณพ่อใส่ชื่อฉันเอาไว้ ฉันจะให้คุณอาสุนัยติดต่อหาคุณหลังจากนี้เพื่อจัดการเป็นธุระให้ทั้งหมด”
กล่าวให้เขารู้จนครบถ้วนแล้ว จบด้วยการไล่กลายๆ
“แค่นี้ใช่ไหมคะ ‘ธุระส่วนตัว’ ของคุณ”
ภวินท์เงียบเหมือนคนเป็นใบ้ เขาเคยถูกใครไล่แบบนี้มาก่อนที่ไหนกัน อัตตาพลุ่งพล่าน หน้าเลยเฉยชาในวินาทีนั้น เมื่อถูกไล่ซ้ำๆ คนอย่างเขาก็จะไม่อยู่อีกต่อไป แล้วเลยบอกว่าจะกลับ ลุกขึ้นยืนตรงไปที่รถของเขาจากนั้นแล้วขับออกไปในทันทีด้วยแรงอารมณ์
คล้อยหลังรถของภวินท์ไปไม่ถึงนาทีดีด้วยซ้ำ
สองร่างเล็กๆ วิ่งปร๋อเข้ามากอดขาฐิตตาเอาไว้เสียแน่น หญิงสาวใจหายแวบ มองไปทางหน้าบ้านอย่างระแวงระวังแล้วถึงพาสองร่างเล็กๆ นั่นเข้าไปในเรือนใหญ่ มองเจ้าของใบหน้ามอมแมมที่มือหิ้ว ‘ดอลล่า’ ตุ๊กตาผมสีชมพูแปร๋น มรดกตกทอดจากเธอให้แม่ตัวแสบ กำลังอ้าปาก จะถามว่าไปซนอะไรกันมาอีก แม่ตัวดีชิงถามเธอก่อน
“แม่จ๋า แม่คุยกับใครอยู่ตั้งนาน”
ฐิตตาถอนหายใจเฮือก คิดอย่างโล่งใจในวินาทีนั้นว่าเธอลืมนึกถึงเด็กสองคนนี้ไปสนิท
ดีแค่ไหนที่ไม่โผล่มาตอนที่ภวินท์ยังไม่กลับ ลอบผ่อนลมหายใจแล้วคิดไปถึงวันก่อน ก่อนหน้าที่เขาจะมา คุณอาสุนัย ทนายความของบิดาติดต่อหาเธอก่อนหน้านี้แล้ว ท่านว่าภวินท์อาจเข้ามาคุยเรื่องหย่ากับเธอในเร็ววันนี้
เพราะระยะเวลาที่ระบุเอาไว้มันใกล้ครบตามกำหนด
ฐิตตาลืมเรื่องนี้ไปจนสิ้นแล้วด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าเขาจัดแจงเซ็นหย่าให้แล้ว ตั้งแต่เมื่อตอนเธอออกมาจากบ้านคราวนั้น นั่นเลยเป็นสาเหตุให้ฐิตตาที่สงบนิ่งมาตลอดหกปีรู้สึกเดือดดาลขึ้นเมื่อตอนพบเขาอีกในวันนี้
ภวินท์ทำราวกับว่าเธอเป็นฝ่ายยื้อเรื่องหย่าเอาไว้ ทั้งๆ ที่ก็เซ็นใบหย่าให้เขาไปแล้ว
และตอนนี้ฐิตตาก็กำลังคิดหนัก หากเขารู้ว่าความสัมพันธ์ในคืนนั้น กำเนิดเป็นลูกแฝดชายหญิง เรื่องหย่าจะยุ่งยากกว่าเดิมไหม
ความสัมพันธ์ลึกซึ้งนั่นเกิดเพราะความต้องการเอาชนะคะคานกัน ไม่ได้มีความรักเป็นพื้นฐานเลยแม้แต่น้อย
ฐิตตารู้มาตลอดว่าเขาไม่ได้รักเธอ เธอเองก็เช่นกัน และการมีลูกในระหว่างที่ยังคาทะเบียนสมรสเอาไว้แบบนั้น เป็นการสุ่มเสี่ยงเกินไป ไม่รู้ว่านายแพทย์ภวินท์คิดอย่างไรหากเขารู้เรื่องลูก
พลันคำพูดขู่ของเขาก็วาบผ่านเข้ามาในหัวของฐิตตา
‘ถ้าคุณท้อง ผมนี่ล่ะยื่นฟ้องไม่ให้คุณมีสิทธิ์ในตัวลูก’
ไม่ได้กลัวหรอกคำขู่นั่น แต่แค่ไม่อยากให้เรื่องมันยุ่งยากไปกว่านี้ แค่นั้นเอง ทางที่ดีก็อย่าให้เขารู้เรื่องเด็กสองคนนี้เลยน่าจะเป็นการดีที่สุด เรื่องหย่ามันจะได้ง่ายขึ้น
เธอไม่ได้ใจร้าย แต่ขอจัดการเรื่องหย่าให้เสร็จสิ้นก่อน จากนั้นเธอจะบอกเขาเรื่องลูกในภายหลัง
อันดา และ อันนา เป็นฝาแฝดชายหญิงวัยห้าขวบที่ชอบอยู่เล่นที่บ้านมากกว่าจะไปโรงเรียน
มองใบหน้าเลอะเทอะ ผมเผ้าเสื้อผ้าเกรอะกรังเต็มไปด้วยใบไม้ เศษหญ้าแล้วก็ชอบหิ้วเจ้า ‘ดอลล่า’ ไปไหนมาไหนด้วยเสมอถอนใจถามเสียงดุเล็กน้อย
“ใครวิ่งออกไปที่ถนน จนเกือบถูกรถชน ยกมือบอกแม่มาดีๆ”
อันนา จอมซนราวกับเด็กผู้ชายบุ้ยบ้ายปากไปทางอันดา คนพี่ คล้ายจะโบ้ย แต่พอเห็นสายตาแกมดุของแม่ ก็ขมุบขมิบปาก ยกมือยอมรับ ก่อนจะใช้ไม้อ่อนอ้อนแม่ แหงนหน้ายิ้มตาหยีเป็นสระอิใส่แม่ บอก
“หนูไม่ได้ซนนะจ๊ะแม่ แค่ไปเก็บยอดตำลึงมาให้แม่ต้มเฉยๆ”
ฐิตตามองหน้าบุตรสาวที่ถอดแบบเธอออกมาแทบไม่ผิดเพี้ยนทั้งหน้าตาและนิสัยดื้อรั้น ก่อนยกเอาเหตุและผลมาอธิบายให้เจ้าตัวฟัง “อันนาไปเก็บยอดตำลึงมาให้แม่ถือว่าเป็นเรื่องดีมากจ้ะ แต่ที่แม่ต้องดุอันนา เพราะการเก็บตำลึงไม่ใช่หน้าที่ที่อันนาต้องทำใช่ไหมลูก”
จากใบหน้ายิ้มแย้มที่ถูกมารดากล่าวชมในคราแรกค่อยๆ หุบลง อ้ำอึ้งเพราะรู้ว่าประเดี๋ยวจะถูกลงโทษแบบไหน อึกอักหาข้อแก้ตัว ปากก็ออดแม่ไปพลาง
“แม่จ๋า แม่ฟังหนูก่อน...”
“แม่บอกไว้ว่ายังไงอันนา แล้วถ้ารอบนี้พี่คนไหนก็ตามมาฟ้องแม่ว่าเราซน เราดื้อ ไม่เชื่อ ไม่ฟังคำที่พี่เขาบอก ต้องเข้าไปช่วยกันคัดเมล็ดพันธ์ุกี่เมล็ด”
เด็กหญิงอันนาได้แต่ทำหน้ามุ่ย ก้มหน้างุดแต่แล้วก็ตอบรับมารดาเสียงอ่อย “หนึ่งอัน...”
กลั้นยิ้มเล็กน้อยแล้วทำเสียงขรึมถาม “หนึ่งอะไรนะ”
แม่ตัวแสบกอดดอลล่าแนบอกแน่น ใบหน้าเล็กหงอลงเล็กน้อย ตอบเสียงดังขึ้นมาอีกนิด “หนึ่งพันเม็ดจ้า” แล้วทำท่าจะผละหนีเมื่อตอบเสร็จ ฐิตตาเอื้อมมือไปดึงแขนเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนลูก ยังไปไม่ได้ แม่ยังพูดไม่จบ”
แม่หนูอันนาขมวดคิ้วแทบผูกกันเป็นโบมองหน้าเธอ ฐิตตาถอนใจเฮือกแล้วว่า
“เรื่องที่เราไปตีกับคนอื่น แม่ยังไม่ได้สะสางเลยนะ”
“แม่จ๋า…” เสียงเล็กๆ เรียกมารดาอย่างต้องการขอความเป็นธรรมกึ่งอ้อนวอน กำลังอ้าปากแก้ต่างให้ตนเอง แม่ก็กล่าวโทษต่อ
“ไปตีกันยังไม่พอ ยังแอบไปท้าพนันกันอีก แล้วยังแอบลงเล่นน้ำในคลอง รอบนี้ลูกโดนหนักแน่อันนา”
แม่หนูอันนาหน้าซีดหน้าเซียวลงทันที ใครดุ ใครแกล้ง กลัวที่ไหนกัน แต่กับแม่ อันนาไม่กล้าสู้ เห็นแบบนี้ก็เกือบจะใจอ่อน แต่ถ้าไม่กำราบจะยิ่งดื้อหนัก ลูกของเรา เราไม่ดุไม่ตักเตือน จะให้คนอื่นมาดุมาว่าแทนหรืออย่างไร ถอนใจเฮือกบ่นต่อท้ายอีกหน่อย
“ทำไมไม่อยู่สงบๆ แบบอันดาบ้างนะ”
คนถูกแม่ชม แอบแลบลิ้นใส่คนน้องที่ทำตัวก๋ากั่นมาตั้งแต่เริ่มเดินได้ แล้วก็ถูกอีกฝ่ายฟ้องแม่ทันที
“แม่จ๋า! อันดาแลบลิ้นใส่หนู”
ฐิตตาส่ายหน้า รู้ว่าสองแสบนี่ชอบขัดคอกันอยู่ร่ำไปแล้วจับทั้งแฝดพี่แฝดน้องไว้ บอกเสียงอ่อนลง
“ไม่เอาสิลูก เราต้องรักกันไว้ให้มากๆ นะ เราเป็นพี่น้องกัน จำที่แม่บอกได้ไหม เราไม่รักกันเอง...”
สองเสียงเล็กๆ ตอบขึ้นพร้อมกันในทันที “ใครจะมารักเรา”
“ใช่จ้ะ”
ยิ้มรับให้ทั้งสองแสบที่เธอรักจนสุดหัวใจ แล้วลากเข้ามากอดแนบอกพร้อมกันทั้งสามคนแม่ลูก บอกเสียงสั่น
“แม่รักพวกหนูนะ”
ยายตัวแสบบอกเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย “อันนาก็รักแม่”
คนพี่ไม่ยอมน้อยหน้าเบียดตัวในอ้อมกอดบอกบ้าง
“อันดาก็รักแม่ครับ”
“รักแม่ต้องไม่ซน รู้ไหม”
“จ้า / ครับ”
เสียงตอบรับดังขึ้นแทบพร้อมเพรียงกัน จุดรอยยิ้มบนใบหน้าของคุณแม่ได้ในทันที แล้วดันร่างเล็กๆ ทั้งสองไปทางเรือนหลังบ้าน เพื่อส่งให้พี่เลี้ยง
“อาบน้ำอาบท่าให้สะอาดเรียบร้อย แล้วเดี๋ยวแม่ทำต้มจืดตำลึงหมูสับให้”
“ไข่ตุ๋นด้วยได้ไหมจ๊ะ” แม่ตัวดีขอเพิ่มอีกเมนู
พ่อหนุ่มอันดาขอบ้าง กลัวแม่จะรักน้อยกว่าน้อง
“ผมอยากกินหมูทอดของแม่ครับ”
ฐิตตายิ้มอ่อนโยน ตอบรับ “ได้จ้ะ”
ติ๊บที่เดินเข้ามาพอดี มองออกไปทางหน้าบ้าน ขมวดคิ้วมุ่นทัก
“นั่น! รถใครขับเข้ามาอีกแล้วคะ”
ฐิตตาหันขวับไปมองก็ให้ใจหายหนักกว่าตอนที่สองแสบวิ่งมากอดขาเธอเสียอีก บอกติ๊บด้วยสีหน้ากังวลใจเล็กน้อย “พี่ติ๊บคะ พาเด็กๆ เข้าไปอาบน้ำก่อนเถอะค่ะ แล้ว...” นิ่งไปอึดใจ สั่งต่อ “ให้อยู่แต่ในห้อง อย่าออกมาข้างนอกเป็นอันขาดเลยนะคะ”
รถคันที่นายแพทย์ภวินท์ขับ กลับเข้ามาที่นี่อีกทำไม
ฐิตตาควบคุมสติและลมหายใจจนเป็นปกติดีแล้ว ค่อยเดินออกไปรับหน้าเขาที่รถหรูคันนั้นอีกครั้ง