และเป็นหนูน้อยดาต้าที่รีบดิ้นรนลงจากอ้อมแขนของเด็กหนุ่มตัวสูง แล้ววิ่งเข้าไปหาอ้อมกอดอันแข็งแกร่งแทน
“ไม่ยักรู้นะครับ ว่าพี่หนึ่งกับพี่สองจะมาหาเรื่องลูกเมียผม ตอนผมไม่อยู่”
“เอ่อ คุณเล็กกำลังเข้าใจผิดนะคะ พวกเราก็แค่เป็นห่วงหนูดาต้า เห็นวิ่งมาเล่นที่นี่คนเดียว” เอริตา ภรรยาของคุณหนึ่งรีบแก้ตัว
“ใช่ พวกเราแค่ไม่อยากให้ลูกสาวแกมาคลุกคลีอยู่กับพวกคนงาน”
คุณหนึ่งสนับสนุนคำพูดของเมียเต็มที่
“เมียกับลูกชายผมไม่ใช่คนงาน ผมอยู่ที่บ้านหลังนี้ในฐานะอะไร เมียกับลูกผมก็อยู่ในฐานะนั้น”
“เหรอ แล้วที่พวกฉันเห็นแกเอาแต่โอ๋ยัยดาต้าที่บ้านหลังใหญ่ ปล่อยลูกกับเมียอยู่กระต๊อบเล็กๆ นี่ล่ะ แกอย่ามาทำตัวเป็นพ่อพระไปหน่อยเลย หรือว่ารู้สึกผิดกับเมียแต่ง ที่ทำให้เขาเสียใจเพราะแกเอาแต่หลงเมียสาวใช้กันล่ะ” ประโยคยั่วยุถูกปล่อยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มเหยียดๆ
“หุบปากนะพี่สอง!” ชายหนุ่มผู้มาใหม่โกรธจนใบหน้าแดงเถือกกับคำพูดของคนเป็นพี่
แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไร เขาก็หันหน้ามาทางเมียและลูกชาย
“พาลูกเข้าบ้านไปก่อน”
หญิงสาวรีบเข้ามาอุ้มเอาสาวน้อยที่เริ่มตัวสั่นเพราะเสียงดังลั่นของผู้ใหญ่ ก่อนจะหันไปเรียกลูกชายของตน แล้วรีบพากันเดินเข้าไปในบ้านหลังเล็ก ปิดกั้นการรับรู้ที่จะเกิดขึ้นภายนอก
“ไสหัวออกไปจากบ้านของกูให้หมด”
“ไอ้เล็ก!” พี่ชายทั้งสองอุทานออกมาด้วยความคาดไม่ถึง
“พวกมึงเคยทำอะไรดีๆ บ้างตั้งแต่เกิดมา นอกจากกิน ขี้ ปี้ นอน”
“มึงจะมากไปแล้วนะ!” หนึ่ง หรือศุภชัยเดือดจัด เกือบจะเดินเข้าไปหาเพื่อชกหน้าไอ้น้องปากไม่ดี ถ้าเมียเขาไม่ดึงแขนไว้ อีกทั้งสำนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่เคยสู้อะไรคนตรงหน้าได้เลยสักอย่าง
“ลืมแล้วหรือไงว่าพ่อกับแม่ยกบ้านหลังนี้กับธุรกิจทั้งหมดให้ผม ธุรกิจที่กำลังจะพังพินาศเพราะพวกพี่ผลาญมัน ไม่เคยมาดูดำดูดี ผมจะให้พวกพี่คนละยี่สิบล้าน แล้วก็ออกไปจากบ้านหลังนี้ซะ”
“แกอย่ามาเห็นแก่ตัว จะฮุบสมบัติไว้กินคนเดียว คิดว่าพวกฉันรู้ไม่ทันหรือไง”
“งั้นพี่หนึ่งก็เข้าไปทำงาน ไปจัดการหนี้สินร้อยกว่าล้านของบริษัทแทนผมก็แล้วกัน แล้วผมจะเป็นฝ่ายออกไปจากบ้านหลังนี้เอง”
“......” คำว่าหนี้สินที่หลุดออกมา ทำเอาทุกคนนิ่งงันด้วยความคาดไม่ถึง แน่ล่ะ คนไม่เคยมีความรับผิดชอบจะมารับรู้อะไรได้ นอกจากเสวยสุขไปวันๆ
“ไม่นะคะคุณหนึ่ง เอไม่ยอมนะคะ เรื่องอะไรเราจะต้องมาแบกรับหนี้สินที่เราไม่ได้ก่อด้วย” เอริตาเขย่าแขนสามีขณะเอ่ย
สอง หรือ ศุภกร กับภรรยา นันทิณี เหยียดริมฝีปากใส่คู่ของพี่ชาย ก่อนจะมองหน้ากันด้วยความกังวล แล้วฝ่ายสามีจึงเอ่ยขึ้นเมื่อคิดทบทวนดีแล้ว
“ห้าสิบล้าน แล้วฉันจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก” พี่คนรองเอ่ย และนั่นทำให้คนฟังถึงกับกำหมัดแน่น
“ใช่ ขอเวลาแค่สักเดือนให้พวกเราจัดการเรื่องที่อยู่ใหม่ แต่เงินแกต้องจ่ายให้ฉันกับไอ้สองทันที” พี่คนโตสำทับมา
“ตกลง ผมจะให้พวกพี่คนละห้าสิบล้าน แล้วห้ามมาวุ่นวายกับครอบครัวผมอีก”
เขาเอ่ยแค่นั้น ก่อนจะรีบหันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้านหลังเล็กที่เมียและลูกชายลูกสาวรออยู่ข้างใน ปัดเรื่องความกังวลถึงหนี้สินท่วมหัวที่รอให้เขาสะสาง และเงินสดเพียงไม่กี่แสนในบัญชีที่จะเหลือหลังจากจ่ายส่วนแบ่งให้พี่ชายทั้งสองไปแล้ว...
“หนูจะไปค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาในค่ำคืนหนึ่งเมื่อตัดสินใจดีแล้วว่าจะเป็นฝ่ายไปจากเขา
“ว่าไงนะ”
“หนูจะพาลูกไปด้วย”
“จูน!” เสียงเหี้ยมๆ เรียบเย็นเอ่ยเหมือนพยายามระงับโทสะไว้เต็มที่ และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อของเธอ
“คุณสามรู้บ้างไหมคะว่าหนูกับลูกเจ็บปวดแค่ไหน ต้องเจอกับอะไรบ้างตอนที่คุณสามไม่อยู่ เคยรู้บ้างหรือเปล่า คุณสามอยากให้หนูกับลูกอยู่ด้วย แล้วตอนที่คุณสามไม่อยู่ หนูกับลูกถูกรังแก คุณสามเคยนึกถึงเราบ้างไหมคะ” เธอตัดพ้อเขายืดยาวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“อีกไม่นานทุกอย่างจะเรียบร้อย เชื่อใจกันหน่อยได้ไหม”
“หนูเชื่อใจคุณสามทุกอย่างค่ะ แต่หนูไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว”
ชายหนุ่มตั้งท่าจะปฏิเสธคำขอ ก่อนที่คำพูดต่างๆ จะถูกกลืนหายไปในลำคอเมื่อเห็นหยาดน้ำตาใสๆ ไหลออกมาจากดวงตาคู่งามโดยไร้เสียงสะอื้น
และความจริงเรื่องที่ธุรกิจกำลังจะไปไม่รอด ไหนจะเงินสดที่คงจะเหลืออยู่ไม่เท่าไหร่หลังจ่ายให้พี่ชายทั้งสอง และทรัพย์สินที่พอจะเปลี่ยนเป็นเงินได้อาจจะต้องนำออกขายเพื่อนำมาใช้หนี้ให้บริษัทเสียก่อน นั่นทำให้เขาเริ่มเห็นด้วยกับคำพูดของคนเป็นเมีย
“แล้วจะไปอยู่ที่ไหน”
“กลับบ้านที่ต่างจังหวัดค่ะ” เสียงตอบหนักแน่น
“เธอต้องการแบบนี้จริงๆ เหรอ” เขาถามเสียงเบา ขณะปลายนิ้วยังไล้เช็ดหยดน้ำตาออกจากใบหน้าหวาน
“ค่ะ”
“เงินที่เคยให้ ยังมีอยู่ไหม” เขาถามตามตรง หากเมียและลูกต้องไปเผชิญความลำบาก ก็คิดว่าจะบังคับให้เธออยู่ด้วยกันดีกว่า