อยู่กับพ่อแม่จนมืดค่ำฉันก็ยังไม่ยอมกลับบ้านนะคะ ไม่รู้ว่าควรทำหน้ายังไงตอนเจอพี่ติน ฉันกลัวน้ำตาจะล่วงลงมาซะก่อนมากกว่า ถ้าเขารักฉันอย่างที่ปากพูดจริงเขาควรหยุดก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหวและพาตัวเองหายไปจากชีวิตเขาแทน
"ไม่รับสายมันหน่อยเหรอ" คาถาเอ่ยพลางปรายตามองโทรศัพท์มือถือของฉันที่มีสายเข้าอยู่ตลอด
“ปล่อยไว้แบบนั้นแหละ”
“เฮ้อ...มานี่มา” พลางอ้าแขนกว้างรอรับฉัน แน่นอนว่าไม่ปฏิเสธอ้อมกอดนี้
หมับ!
สวมกอดมันจนแน่นฉันรู้ว่ามันเข้าใจความรู้สึกของฉัน เราโตมาแบบเพื่อนมากกว่าพี่น้องเสียอีก
“ผมให้พี่ร้องแค่วันนี้วันเดียวนะ”
“...” ฉันปล่อยน้ำตาให้ไหลรินลงมาตามความรู้สึกที่กำลังดิ่งอยู่ตอนนี้เพราะไม่สามารถพูดหรือเอ่ยกับใครได้เลย
“มนตร์ทำไมไม่รับสายพี่!! ถ้าพี่ไม่โทรหาแม่ก็คงไม่รู้สินะว่าอยู่ที่นี่ เป็นอะไรอะทำไมไม่คุยกันดี ๆ” เสียงพี่ตินโวยวายจากด้านหลัง ฉันจึงรีบเช็ดน้ำตาออกลวก ๆ ก่อนจะผละกอดจากคาถาแล้วหันไปเผชิญหน้ากับเขา
“คุยกันดี ๆ งั้นเหรอคะ เหอะ!” ฉันแค่นหัวเราะออกมาอย่างนึกสมเพชตัวเองที่ต้องทำเป็นโง่ไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย
"พี่ทำอะไรผิดไปหรือเปล่า" เมื่อเห็นคราบน้ำตาของฉันน้ำเสียงโวยวายจึงอ่อนลงแทบจะทันที
"วันนี้พี่ไปไหนมาเหรอครับ?"
"..."
เจอคำถามตรง ๆ ของคาถาเข้าไปเขาถึงกับเงียบค่ะ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะตอบว่ายังไงหรือมีท่าทีแบบไหน ฉันมองหน้าพี่ตินนิ่ง ๆ ความรักที่หอมหวานมันเริ่มขมขื่นลงไปทุกวันและเหมือนจะมีแค่ฉันที่เจ็บอยู่ฝ่ายเดียว
"ช่างเถอะ! ผมแค่ถามไปอย่างนั้นแหละ กินข้าวก่อนสิแล้วค่อยกลับ มีผลไม้ด้วยนะครับ" คาถาเอ่ยชวนตามมารยาทจากนั้นมันก็เดินผิวปากออกไปอย่างอารมณ์ดี ส่วนพ่อกับแม่ท่านไปบ้านคุณยายกันค่ะ ยังไม่กลับมาเลย
"พี่ขอโทษนะ"
“ขอโทษเรื่องอะไรเหรอคะ พี่ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่”
“แล้วถ้าพี่เผลอทำอะไรผิดไปล่ะ มนตร์จะให้อภัยพี่ไหม?”
“ผิดที่ว่านี่มันร้ายแรงแค่ไหนเหรอคะ มนตร์จะได้รับมือถูก” ฉันว่ายิ้ม ๆ เหมือนไม่ใส่ใจมากนัก แต่คนตรงหน้าสิเงียบไปเลยก่อนจะดึงฉันไปกอดและหอมเบา ๆ
ฉันหวังนะคะให้เขาสารภาพมันออกมาด้วยตัวเองอย่างน้อยมันก็ทำให้รู้ว่าเขายังรักฉันอยู่
กลางดึกฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่าคนข้าง ๆ ลุกออกไปจากที่นอน ภายในห้องปิดไฟจนมืดสนิทแต่ก็พอมองเห็นลาง ๆ อยู่บ้าง ฉันจึงแอบเดินตามเขาไปเงียบ ๆ จนมาหยุดอยู่ตรงมุมหนึ่งของบ้าน พี่ตินหยิบมือถือขึ้นมาก่อนจะโทรหาใครบางคน
“เป็นยังไงบ้าง”
(...)
“ฉันไปหาเธอไม่ได้หรอก”
(...)
“ไว้ว่าง ๆ แล้วกันนะดูแลตัวเองด้วย”
เมื่อเห็นเขาวางสายฉันจึงรีบพาตัวเองกลับมาที่ห้องนอนเหมือนเดิม ไม่นานพี่ตินก็กลับเข้ามาทิ้งตัวลงนอนแล้วดึงฉันไปกอดเหมือนเช่นทุกวัน กอดของเขามันอบอุ่นมากเลยนะคะ ...
เช้าอีกวันฉันตื่นก่อนเขาค่ะ วันนี้ตั้งใจจะเข้าร้านสักหน่อยหยิบผ้าเช็ดตัวกำลังจะเข้าห้องน้ำแต่เสียงมือถือพี่ตินดังขึ้นซะก่อน ฉันจึงกดรับสายอย่างเสียมารยาทปลายทางเป็นเบอร์แปลกค่ะ
“สวัสดีค่ะ”
(…)
หมับ!
“มนตร์คุณทำอะไรน่ะ” พี่ตินรีบลุกมาแย่งมือถือจากมือฉันอย่างรวดเร็ว ดูไม่มีพิรุธเลยนะคะ
“ทำไมอะ แค่รับสายเองพี่แปลกไปนะคะเมื่อก่อนไม่เห็นเป็นอย่างนี้เลย” จ้องหน้าเขาอย่างจับผิด “พี่มีอะไรอยากบอกมนตร์ไหมคะ?” ถ้าเขาสารภาพออกมาจริง ๆ ฉันก็รับฟังนะคะ ถึงจะรับไม่ได้ก็เถอะ
“คือพี่...”
“ตามสบายค่ะ เอาที่พี่สบายใจแล้วกัน”
สิ่งที่ฉันอยากฟังคือความจริงต่างหาก ไม่ใช่คำโกหกที่เขากำลังคิดจะพูดออกมา ปิดประตูห้องน้ำฉันทิ้งตัวลงกับพื้นทันทีเจ็บไปรักไปมันเป็นแบบนี้นี่เอง ฉันจะอดทนได้อีกนานแค่ไหนกันนะ
ทำธุระส่วนตัวเสร็จฉันรีบแต่งตัวออกจากบ้านทันที ส่วนพี่ตินเช้านี้เขามีประชุมค่ะ ใช้เวลาราวชั่วโมงก็มาถึงร้านแล้วค่ะเช็คบัญชีเช็คของเข้าร้านพยายามทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่าน ที่ร้านฉันมีพนักงานสองคนค่ะ ผู้หญิงกับผู้ชายคือมีอากับโมเดล เขาสองคนเป็นแฟนกันค่ะฉันเห็นพวกเขาขยันและมุ่งมั่นจึงรับไว้เป็นลูกน้องเท่านั้นเอง
มีอา : พี่มนตร์คะเค้กช็อคโกแลตหมดค่ะ
“นี่ไงพี่ทำเสร็จพอดี”
“ถ้างั้นให้ลูกค้ารอสักสิบนาทีเนอะ”
“จ้า”
ฉันรีบตัดเค้กทันทีเพื่อที่จะไปวางไว้หน้าร้าน แต่วันนี้คนเยอะกว่าทุกวันค่ะ ฉันจึงต้องลงมือขายด้วยตัวเอง
“คุณลูกค้ารับอะไรดีคะ”
... : เค้กช็อคโกแลตสองชิ้นค่ะ
“สักครู่นะคะ ขอโทษด้วยที่ทำให้รอ”
... : ไม่เป็นไรค่ะ หนูมาซื้อประจำเลยนะคะร้านนี้อร่อย
เธอว่าพลางฉีกยิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตร แล้วน่าจะยังเด็กอยู่นะคะสักยี่สิบถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้
“ลูกค้าวีไอพีนะคะเนี่ย”
... : มีน้องน่ะค่ะ กินมาหลายร้านแล้วไม่ถูกใจสักร้านเลย
“ขอบพระคุณมากค่ะ”
โมเดล : พี่มนตร์ครับ โน่น...
"..."
มองตามที่โมเดลชี้ไปพี่ตินค่ะ เขาหอบดอกไม้ช่อโตมาหาฉันถึงที่นี่เชียวจะใช้ของพวกนี้เยียวยาความรู้สึกฉันอย่างนั้นเหรอ
... : ฟะ แฟนพี่เหรอคะ
“สามีพี่เองค่ะ ทั้งหมดหนึ่งร้อยบาทส่วนชิ้นนี้พี่แถมนะคะ น้องจะได้กินอิ่ม”
... : ขอบคุณนะคะ
จังหวะที่พี่ตินเดินเข้ามาเธอคนนั้นก็เดินออกไปพอดี ฉันเห็นพี่ตินพูดอะไรบางอย่างกับเธอด้วย ก่อนจะเดินมาถึงตัวฉัน
"พูดอะไรกับเขาเหรอคะ"
"เขาไหน?"
“ผู้หญิงคนเมื่อกี้ไง”
“ตาฝาดแล้วพี่ยังไม่พูดอะไรเลย ขอโทษนะสำหรับเรื่องเมื่อเช้านี้พี่ไม่ได้ตั้งใจ”
“สัญญาไหมคะ ถ้ามีอะไรพี่จะบอกหนูเป็นคนแรก"
“มันไม่มีอะไรสักหน่อยคิดมากอีกแล้ว” เขาว่าพลางดึงฉันไปกอด ในเมื่อเขายืนกรานว่าไม่มีอะไรฉันจะแกล้งเชื่อก็แล้วกันนะ แต่ถ้าเมื่อไหร่มันถึงเวลาของฉัน ฉันก็ควรจะรักตัวเองให้มากกว่านี้