“เบียร์สักกระป๋องแล้วกัน”
ในขณะที่สมองบอกให้ประหยัด การกระทำกลับบอกให้หยิบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาหนึ่งกระป๋อง พร้อมของกินที่ส่วนใหญ่จะเป็นขนมปังเก็บได้หลายวัน แล้วก็น้ำดื่มสามขวด
เมื่อได้ของตามที่ต้องการ เธอก็นำไปชำระเงินตรงเคาน์เตอร์ เสร็จแล้วก็ถือถุงพะรุงพะรังออกมา ในหัวคิดว่า ครั้งหน้าต้องหยิบกระเป๋าเป้ลงมาด้วย เพราะน้ำสามลิตร ถ้าเทียบกับผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่หนักเพียงสี่สิบสาม คือหนักโคตร!!
ผลัก!
ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวขา ก็มีกลุ่มวัยรุ่นสามคนวิ่งมาชนร่างบางเข้าอย่างจัง จนของในมือกระเด็นไปตามแรง กระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ส่วนกระป๋องเบียร์ก็ถูกหนึ่งในสามคนนั้นเหยียบแบน แอลกอฮอล์แตกกระจายเต็มพื้นถนน
“เฮ้ย!”
เมรีถึงกับตะโกนท้วง แล้ววิ่งตามคนหลังสุด ที่กำลังสับตีนแตก วิ่งหนีอะไรสักอย่าง ดูจากการแต่งตัว ไม่น่าจะใช่พวกกุ๊ยข้างถนน เพราะแต่งตัวดีมาก แต่เรื่องชนแล้วหนี ยังไงคนพวกนี้ก็ต้องรับผิดชอบ ของกินไม่ใช่ถูกๆ มาเหยียบกันได้!
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ไอ้พวกบ้า!” อาหารก็ยังไม่ได้ตกถึงท้อง แต่ต้องมาใช้พลังงานวิ่งตามคนพวกนี้ แล้วดูความยาวของสองขานั่นสิ คนขาสั้นอย่างเธอจะไปตามทันได้ยังไงล่ะ!?
“ซวยชะมัดยาด ไอ้พวกบ้าเอ๊ย!”
เสียงหวานสบถด่าไล่หลัง พร้อมกับงอตัว ชันเข่า พักสูดลมหายใจเข้าปอด หลังจากกลับมาหายใจเป็นปกติ เธอก็ตัดใจที่จะถามหาความรับผิดชอบจากคนเหล่านั้น แล้วเดินกลับไปที่ร้านสะดวกซื้อ ทว่าอาหารของเธอทั้งหมดที่ซื้อมา กลับหายไปจากพื้นถนน มีเพียงกระป๋องเบียร์แบนแต๊ด ที่ทิ้งซากเอาไว้ให้ดูต่างหน้า ส่วนขนมปังกับน้ำเปล่า หายเกลี้ยง!
“ให้มันได้อย่างนี้สิวะ!”
นาทีไม่มีใครน่าสงสารเท่าอีเมรีอีกแล้ว โดนคนรักกับน้องสาวหักหลังยังไม่พอ ยังมาโดนคนขโมยของกินอีก แม่ง!!
“นี่คุณ”
เสียงทุ้มเข้มเอ่ยทักจากด้านหลัง พอหญิงสาวหันไปมองด้วยสายตาวีนเหวี่ยงปนโมโหหิว ก็พบเข้ากับชายหนุ่มเจ้าของแจ็กเก็ตสีดำ คนเดียวกันกับคนที่วิ่งสับตีนแตกไปเมื่อตะกี้นี้พอเห็นหน้าตาชัดๆ ดูเหมือนจะเป็นลูกครึ่งที่พูดไทยชัด
“นาย!”
พักเรื่องหน้าตากับสัญชาติเอาไว้ก่อน ตอนนี้ต้องให้เขารับผิดชอบ ค่าอาหารที่เธอโดนขโมยไป ไหนจะค่าเบียร์อีก
“นายต้องรับผิดชอบ!” เจ้าของใบหน้าหล่อเหลา มีรอยแผลบริเวณมุมปากผงกหัวรับรู้ในสิ่งที่เธอต้องการ ก่อนจะเอื้อมมือมาคว้าแขน อย่างถือวิสาสะ แล้วพาวิ่งไปทางเดิม
“นี่นายจะพาฉันวิ่งไปไหนเนี่ย...!?”
“นั่นไง! มันอยู่ตรงนั้น ไปจับตัวมันมา!”
เสียงโหวกเหวกโวยวายของชายฉกรรจ์นับสิบ ตะโกนไล่หลัง ก่อนที่คนเหล่านั้นจะวิ่งตามมา พร้อมท่อนเหล็กที่อยู่ในมือ ในคิดว่าในที่ ที่มีผู้คนพลุ่งพล่าน จะมีคนไล่ตีกันแบบนี้
“ฉะ ฉันวิ่งตามนายไม่ไหวแล้ว เอ็นขาจะขาด!”
คนตัวเล็กท้วงทันทีที่รู้ว่าตัวเองวิ่งต่อไปไม่ไหว คนตัวสูงจึงหันกลับมารวบร่างบอบบางขึ้นพาดไหล่แล้วพาวิ่งต่อไป
“อย่าหนีนะเว้ย!”
ชายฉกรรจ์หน้าตาโหดเหี้ยมที่วิ่งตามมา ชี้ปลายท่อนเหล็กมาทางเรา แล้ววิ่งสี่คูณร้อยเพื่อตามมาจับตัวคนที่กำลังวิ่งหนีในขณะนี้ เธอไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไรมา สงสัยเพียงแค่ว่าทำไมเธอต้องมาอยู่ในสถานการณ์นี้แทนที่จะกลับขึ้นห้องพัก
“ไอ้ไฟ ทางนี้เว้ย!” เสียงปริศนาดังมาจากซอกตึก ซึ่งเธอไม่เห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร เพราะกำลังถูกอุ้มพาดบ่า เห็นเพียงแค่กลุ่มชายฉกรรจ์ที่เริ่มวิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนจะจับได้ คนที่อุ้มเธอก็พาเข้าไปในบ้านหลังเล็กตรงซอกตึก ทะลุออกอีกทาง แล้วพาขึ้นบันได ไปยังตึกสูงติดไฟสีแดง
“แม่งเอ๊ย กูเกือบขาดใจตายเพราะวิ่งหนีพวกแม่ง แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก!” เสียงสบถผสมเสียงหอบ เป็นของชายหนุ่มหน้าคม ที่ทิ้งตัวลงนั่งทันทีที่ปิดประตูห้อง ร่างเล็กที่ยังอยู่บนบ่าแกร่งกร้าน จ้องมองชายแปลกหน้าสองคนที่กำลังหอบกิน
คนหนึ่ง หน้าคมเข้ม ดูก็รู้ว่าหนุ่มใต้ล้านเปอร์เซ็นต์
ส่วนอีกคน หน้าตี๋ หุ่นหมี เป็นคนเรียกให้เราเข้ามา
คนสุดท้าย หน้าตาหล่อเหลา เป็นคนที่อุ้มตัวเธออยู่
“แล้วนี่มึงไปหิ้วสาวมาจากที่ไหนวะเนี่ย ไอ้ไฟ?”
“แล้วนี่มึง ไปหิ้วสาวมาจากที่ไหนวะเนี่ย ไอ้ไฟ?”
เป็นคำถามที่เธออยากจะถามเขาเหมือนกัน ว่าจะหิ้วเธอมาด้วยทำไม แค่ควักเงินชดใช้ก็จบแล้ว เอามาด้วยทำไม!
“เขาบอกให้กูรับผิดชอบ”
“ฮะ! นี่มึงทำผู้หญิงท้องเหรอวะ?”
“ท้องบ้านเตี่ยมึงสิไอ้ตี๋หิด ก็พวกมึงวิ่งชนของของเขาเสียหาย” เออ ยังดี ที่ยังมีคนรู้ ว่าทำอะไรผิด จะได้ไม่ต้องพูด
แต่ว่า ‘ตี๋หิด' เนี่ย ใช่ชื่อคนจริงๆ ใช่ไหม?
“มึงเลยพามาด้วย?” คนที่ชื่อตี๋หิดถามต่อ
“เออ พามาเคลียร์ที่นี่ กูไม่มีเวลาคิดมาก”
เขาตอบ ก่อนจะวางตัวเธอลงจากบ่า บอกตามตรงว่าผู้ชายคนนี้สู้เอาเรื่อง เขาน่าจะสูงร้อยเก้าสิบ ส่วนสูงเธอนั้น...
ช่างมันเถอะ ตอนนี้รีบเอาเงินชดใช้ แล้วรีบกลับดีกว่า
“ขอเงินด้วย” แบมือขอเงินแบบนี้เลย ขี้เกียจพูดเยอะ
“เดี๋ยวให้ รอพวกมันไปก่อน” เขาตอบ พลางตีมือเธอ
“นี่นาย!”
“จะแหกปากให้คนพวกนั้นได้ยินหรือไง?”
เธอรีบหุบปาก แต่ไม่วายค้อนควักใส่คนตัวสูง
“ตัวเล็กไปนิด แต่หุ่นดีชะมัดเลยว่ะ” คนที่ชื่อตี๋หิดจ้องมองเธออย่างพิจารณา พอคนที่อุ้มมาเห็นสายตานั้น ก็หันกลับมาจับแขนเธอให้ไปนั่งตรงโซฟาสีดำ ข้างกายที่เขานั่งอยู่
“เฮ้ย แค่นี้ก็หวงแล้วเหรอวะไอ้ไฟ?”
“ไม่ให้หวงได้ยังไง มึงดูลายสัก นี่มันลายสักคู่รักชัดๆ”
คำพูดเชิงแซวของชายหนุ่มหน้าคม ดึงสายตาเราทั้งคู่ให้มองรอยสักลายผีเสื้อของอีกฝ่าย ที่เหมือนกันเป๊ะๆ จะต่างกันก็ตรงที่สักคนละตำแหน่ง เธอสักบนเนินอกข้างซ้าย ส่วนเขาสักบริเวณต้นคอ ซึ่งลายนี้ เธอเริ่มสักเมื่อสามปีที่แล้ว เพราะชื่นชอบนัยยะแฝงของผีเสื้อ จึงหาแบบให้พี่กูแล้วไปสัก
ก็ไม่คิดว่าจะมาเจอคนที่สักลายเดียวกันแบบนี้
“ตกลงเป็นแฟนมึงใช่ไหมวะ ไอ้ไฟ ยอมรับมาเถอะ”
คนที่ชื่อตี๋หิดหรี่ตาจับผิด ความสัมพันธ์ของเราสองคน เธอกับเขามองหน้ากัน แล้วถอนหายใจเพราะระหว่างเรา ไม่มีอะไรจริงๆ เพิ่งจะเจอกันเมื่อตะกี้ จะเป็นแฟนกันได้ยังไง!
“จ่ายเงินมา ฉันจะได้รีบไป” เมรีแบมือขอเงินอีกครั้ง เธอไม่อยากอยู่ที่นี่นานๆ เพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ที่ที่เธอควรอยู่
“ก็บอกว่าเดี๋ยวให้ไง”
เสียงทุ้มตอบกลับ พลางกวักมือขอบุหรี่จากเพื่อนมาจุดสูบ ก่อนจะพ่นควันสีเทาหม่นมาทางเธอในเชิงหยอกล้อ แต่ช่วยดูสีหน้า กับอารมณ์ในตอนนี้ด้วย ว่าเธอเล่นด้วยไหม?