Chapter 4
พี่ชายของญาตาวี (2)
เมื่อหาร้านหมอได้แล้วญาตาวีได้โทรศัพท์ไปบอกให้คนที่ รีสอร์ทขับรถมารับเธอที่คลีนิกดังกล่าว เวลาผ่านไปพอสมควรทางด้านนาวีได้พบแพทย์และรับยาเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งชายหนุ่มไม่ยอมรับไมตรีที่หญิงสาวพยายามจะหยิบยื่นให้ ด้วยการออกค่ารักษาพยาบาลในวันนี้ให้ทั้งหมด แท้จริงแล้วนาวีเองก็เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นคงไม่ได้ตั้งใจ แต่ก่อนหน้านั้นที่เขาแสดงความโกรธเคืองออกไปเนื่องจากมัวเป็นห่วงหลานชาย จนลืมนึกไปถึงว่าเธอเองก็คงเจ็บอยู่เหมือนกัน
"ผมขอโทษด้วยละกันที่ไม่ได้ถามไถ่อาการคุณ และก็ขอบคุณที่มีจิตสำนึกจะพาเด็กไปประกาศหาพ่อ"
นาวีเอ่ยขึ้นขณะพากันเดินออกมาจากคลีนิกเพื่อเตรียมตัวที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน ซึ่งเขาเองเพิ่งนึกได้เธอเองก็มีบุญคุณกับเขาอยู่เหมือนกัน ถ้าหากหลานชายเขาไม่พบญาตาวี ป่านนี้อาจจะกำลังเดินตามหากันให้วุ่นก็เป็นได้
"ย่ะ มารู้สึกตัวก็ตอนฉันหายเจ็บแล้ว นี่ถ้าฉันโดนยิง ป่านนี้คงตายไปแล้ว"
น้ำเสียงเจือความประชดประชัน หญิงสาวเหลียวมองไปรอบกาย แต่ยังไม่พบคนของตนเองที่นัดให้มารอรับ
"แล้วไหนล่ะครับคนที่มารับ ผมไม่ใจดีไปส่งคุณหรอกนะ"
นาวีเอ่ยถามพร้อมกับลอบสังเกตเห็นความวิตกกังวลที่ฉายออกมาจากแววตาคู่นั้น
"จะกลับก็รีบกลับไปเลย อยู่นานเดี๋ยวจะมีเรื่อง ฉันไม่ง้อให้คุณไปส่งหรอกน่ะ"
"เอาละๆ ผมจะรอเป็นเพื่อนจนกว่าคนของคุณจะมา เพราะผมเองก็ไม่ใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้น”
นาวีเอ่ยตัดบท ขณะพยักพเยิดให้อีกฝ่ายเปิดประตูรถให้เพราะเขาอุ้มหลานชายอยู่ ก่อนที่จะสั่งเธอปรับเบาะด้านหน้าให้เอนราบลงไป จากนั้นจึงค่อยๆ วางร่างที่ผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียลงบนเบาะรถอย่างนุ่มนวลด้วยกลัวว่าจะตื่นขึ้นมา มือข้างหนึ่งเสยปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าผากให้พ้นไปจากใบหน้าอย่างแผ่วเบา ด้วยกลัวว่าหลานจะรำคาญจนนอนได้ไม่นาน
ขณะที่ญาตาวีกำลังยืนมองการกระทำของชายหนุ่มตรงหน้าอยู่นั้น รถยนต์คุ้นตาก็แล่นเข้ามาจอดหน้าคลีนิก ชายหนุ่ม ที่ลงมาจากรถมีท่าทีห่วงใยอยู่ไม่น้อย ก่อนทั้งสองจะสวมกอดและหอมแก้มทักทายกันเป็นเรื่องธรรมดา
‘พี่น้องเขาทักกันแบบนี้เหรอ’ นั่นคือความคิดของนาวี
“มาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นบอกพี่เลย”
วาคิมเอ่ยถามหญิงสาวข้างกายด้วยความแปลกใจ เนื่องจากญาตาวีมักอยู่แต่ในกรุงเทพฯ นานทีปีหนจึงจะพาร่างมาเหยียบรีสอร์ทของครอบครัว เนื่องจากเธอเองไม่ค่อยชอบป่าเขาลำเนาไพร แสงสีเสียงในเมืองหลวงคือสิ่งที่เธอต้องการ
"เพื่อนดรีมน่ะสิคะลากมา พาหลานมาเที่ยวสวนสัตว์ ดรีมก็เลยมาเป็นเพื่อน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ดรีมกะว่าจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนพี่คิมสักระยะ"
ญาตาวีเอ่ยขึ้นขณะแอบปรายตามองไปทางนาวีที่ยืนนิ่งจับจ้องพฤติกรรมของเธอและพี่ชายอยู่อย่างเงียบๆ
คล้ายวาคิมจะรู้ตัว ชายหนุ่มปรายตาไปทางนาวีชั่วครู่ ก่อนกระซิบกับหญิงสาวข้างกายให้ได้ยินกันแค่สองคน
“คนนี้เหรอครับ ที่น้องดรีมเล่าให้ฟัง”
“ค่ะ”
ญาตาวีพยักหน้าเล็กน้อย พลางคิดว่าเธอเองกำลังลืมอะไรไปบางอย่าง คิดได้ดังนั้นจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น
“คุณนาวี นี่พี่ชายฉัน พี่วาคิม กำลังจะมาบุกเบิกสร้างรีสอร์ทที่นี่”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
พร้อมกันนั้น วาคิมลอบสังเกตเห็นแววตาของน้องสาวที่มองชายหนุ่มแปลกหน้าอยู่นั้นมันแฝงอะไรบางอย่างเอาไว้ ญาตาวีน้องสาวเขาไม่เคยเผลอจับจ้องใครนานๆ แบบนี้มาก่อน
“เราน่าจะกลับกันได้แล้วนะ”
“ค่ะ”
ญาตาวีรีบดึงสติกลับคืนมา เมื่อหันไปทางวาคิมก็พบกับแววตาคมกล้าที่จับจ้องเธออยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวแสร้งทำเป็นไม่สนใจแววตาน่ากลัวนั่น รีบพาร่างเลี่ยงออกไปเพื่อที่จะตรงไปยังรถ
ของตน ไม่วายหันมาล่ำลานาวีที่กำลังจะหันหลังกลับเช่นกัน
“ฉันกลับนะ”
“เชิญครับ”
นาวียิ้มตอบไปตามมารยาท ก่อนหันไปยิ้มให้วาคิมเล็กน้อย จากนั้นชายหนุ่มจึงเดินอ้อมรถตนเองไปยังด้านคนขับ เนื่องจากเขาเองก็เห็นว่าเสียเวลามากแล้ว และเป็นห่วงหลานชายกลัวว่าจะกลับถึงบ้านดึก ในขณะที่วาคิมยืนนิ่งไม่ขยับกาย คล้ายกำลังไตร่ตรองอะไรบางอย่าง
“น้องดรีมไปรอพี่ที่รถก่อนนะครับ”
“อะไรครับ”
นาวีต้องขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความแปลกใจเล็กน้อย เมื่อมือข้างหนึ่งยื่นมาจับประตูรถของเขาเอาไว้โดยไม่ยอมให้ปิด ตามมาด้วยเงินปึกหนึ่งที่ถูกยื่นมาตรงหน้า ชายหนุ่มเหลือบตาขึ้นไปมองเจ้าของเงินด้วยความไม่พอใจ เขาก็พบกับรอยยิ้มคล้ายเย้ยหยันที่ถูกส่งออกมาจากริมฝีปากได้รูปของอีกฝ่าย
“ถือเสียว่า ผมชดใช้ค่าเสียหายให้เด็กก็แล้วกัน หวังว่าจะไม่ถูกแบล็คเมล์ทีหลังนะครับ”
นาวีขบกรามแน่น ความรู้สึกเหมือนกำลังโดนดูถูกทำให้ความโกรธแล่นพล่านไปทั่วร่าง ชายหนุ่มเผยยิ้มเย้ยหยันโต้กลับไป มือข้างหนึ่งยกขึ้นไปดันเงินที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายให้พ้นออกนอกตัวรถทันที
“ทำไมเหรอครับ น้อยไป?”
วาคิมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ พลางทำเสียง
คล้ายไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะกล้าปฏิเสธจริงๆ คำถามนั้นช่างเป็นคำถามที่ดูถูกศักดิ์ศรียิ่งนักในความรู้สึกของนาวี
“ขอโทษนะครับ หลานผมเป็นเด็กมีพ่อมีแม่ ไม่ใช่ตาสีตาสาที่ไหนที่จะให้ใครเอาเงินมาฟาดหัวเล่น ถ้าคุณพ่อของเด็กรู้ ผมคิดว่าเขาคงไม่ปลื้มแน่ๆ”
วาคิมหุบยิ้มในทันใด เมื่อเจอปฏิเสธและถูกยอกย้อนเอาซึ่งๆ หน้า มิหนำซ้ำ อีกฝ่ายยังจับจ้องใบหน้าเขากลับมาอย่างท้าทายอีกด้วย
“เก็บเงินของคุณไว้สร้างรีสอร์ทเถอะครับ หมดธุระแล้วใช่ไหม บังเอิญผมรีบ”
วาคิมไม่รอให้ถูกไล่ซ้ำสอง ชายหนุ่มขบกรามแน่นขณะเก็บเงินเข้ากระเป๋าตามเดิม ก่อนที่จะยอมปล่อยมือจากบานประตู ร่างสูงสง่าถอยห่างออกมาจากรถของนาวีอย่างช้าๆ ทว่าสายตาคู่คมของวาคิมยังคงจับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา
นาวีปิดประตูรถใส่หน้าชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยอารมณ์อันคุกรุ่น ก่อนที่เขาจะหยิบแว่นกันแดดสีดำขึ้นมาสวมประดับบนเครื่องหน้า ภายใต้แว่นกันแดดนั้น สายตาของชายหนุ่มไม่วายหันไปทางวาคิมที่ยังคงยืนจ้องมองมายังตน
วาคิม สกุลก้องเกียรติ หัวเรือใหญ่ของ “นิรันดร์รัก รีสอร์ท” อีกกิจการหนึ่งที่กำลังจะบุกเบิกในเครือสกุลก้องเกียรติกรุ๊ป พาร่างสูงสง่าเดินกลับไปที่รถอย่างคนหัวเสีย แต่ชายหนุ่มพยายามเก็บกดความคุกรุ่นเอาไว้อยู่ภายในใจ โดยซ่อนความรู้สึกนั้นเอาไว้ภายใต้เครื่องหน้าคมเข้ม และมาดสุขุมนุ่มลึก ชายหนุ่มลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนเปิดประตูขึ้นไปนั่งเคียงข้างน้องสาวที่รอเขาอยู่ภายในรถก่อนหน้านั้นแล้ว
“คุยอะไรคะ นานจัง”
“พี่แค่เข้าไปถามอาการของเด็กเฉยๆ กลัวจะเป็นหนัก ถ้าเขาเอาเรื่องเราขึ้นมา จะเสียหายไปถึงคุณพ่อด้วยน่ะสิ”
วาคิมให้เหตุผลตามที่นึกออกได้ในขณะนี้ ชายหนุ่มเผยยิ้มอบอุ่นกลับไปให้น้องสาว หวังกลบเกลื่อนความผิดปรกติเมื่อสักครู่
“พี่คิมดีกับคนอื่นเสมอเลยนะคะ”
ญาตาวีเผยยิ้มจริงใจออกมา ภาพวาคิมที่เธอรับรู้มาตลอดนับตั้งแต่เติบโตมานั้นก็คือ พี่ชายผู้แสนดีอันมีบุคลิกแสนอบอุ่นและอ่อนโยน
“อืม…”
ท่อนแขนกำยำโอบร่างเล็กข้างกายเข้ามาไว้ในอ้อมกอดยามคนขับรถกำลังนำพาทั้งสองกลับรีสอร์ท ความรู้สึกหวงแหนแล่นปราดเข้ามาในจิตใจที่กำลังร้อนรุ่มอยู่ในขณะนี้ เขาไม่ชอบแววตาของญาตาวีที่ส่งไปให้ชายหนุ่มแปลกหน้าเมื่อสักครู่ ซึ่งเขากำลังคิดด้วยความสังหรณ์ใจว่า ถ้าหากวันข้างหน้าญาตาวีต้องพบเจอใครสักคนมาดูแลหัวใจ เมื่อนั้นเขาจะทำเช่นไร