Chapter 4
พี่ชายของญาตาวี (1)
ญาตาวีเดินมาหยุดยืนอยู่หลังนาวี ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้หลานชาย โชคดีที่ในรถของเขาเตรียมพร้อมอุปกรณ์สำหรับทำแผลพวกนี้ไว้เสมอ
"ยังอยู่อีกหรือครับ ผมคิดว่าเราคุยกันเข้าใจแล้วนะ"
ญาตาวีไม่พูดอะไร หญิงสาวถือวิสาสะเดินเข้าไปเปิดประตูรถทางตอนหลัง ก่อนพาร่างขึ้นไปนั่งอยู่ในนั้นหน้าตาเฉย ท่ามกลางความงุนงงของเจ้าของรถ
“หยุดเลยนะ ทำอะไรน่ะคุณ!”
“ถามแปลก ฉันก็จะไปด้วยน่ะสิ”
“ใครอนุญาตไม่ทราบครับ”
“ฉันอนุญาตตัวเอง และจะตามไปชดใช้ค่าเสียหายไม่ยอมให้ใครมาว่าหรอกนะ”
อีกคนก็อยากเอาชนะ อีกคนก็ไม่ยอมอ่อนข้อ ต่างฝ่ายต่างเถียงกันโดยลืมไปว่ามีดวงตาดำขลับจับจ้องอยู่
“ผมจ่ายได้ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาแสดงความรับผิดชอบ กรุณาลงมาจากรถด้วยครับ ผมรีบ”
ชายหนุ่มเหลือบไปมองหลานชายชั่วครู่ ธนัทเทพเอนร่างตะแคงพิงเบาะรถเอาไว้ ท่าทีเซื่องซึมไม่พูดไม่จาทำให้เขาคิดว่าคงต้องรีบทำอะไรสักอย่าง ถ้าขืนมัวทะเลาะกับหญิงสาวเบื้องหน้า มันหมายถึงว่าเขาจะต้องพาหลานชายไปพบแพทย์ช้าขึ้นเท่านั้น
“ฉันจะไป”
“ลงมาเลยนะ”
นาวีไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปในรถก่อนดึงแขนอีกฝ่ายอย่างแรง หวังให้เธอยอมลงมาจากรถ
“ไม่ ฉันจะไปด้วย ปล่อยนะ ฉันเจ็บ”
ญาตาวีจับเบาะรถเอาไว้แน่น พยายามขืนเอาไว้ไม่ให้ถูกลากลงมา ในขณะที่นาวีถือวิสาสะรวบร่างกลมกลึงเข้ามาไว้ในอ้อมกอด หวังอุ้มเธอลงมาจากรถให้ได้
“ไม่ลงใช่มั้ย”
“ปล่อยนะ ไอ้คนฉวยโอกาส ปล่อยฉัน”
ญาตาวีพยายามดิ้นรนขัดขืน เธอทั้งหยิกทั้งข่วนสารพัด เมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกลวนลาม ในขณะที่นาวีพยายามปัดป้องเมื่อรู้สึกเจ็บแสบไปทั่วท่อนแขนจากความคมของเล็บ ต่างฝ่ายต่างยื้อยุดกันไปมา
“ฮือๆ…”
เสียงสะอื้นดังเข้ามาในโสตประสาทของทั้งคู่ ส่งผลให้สองหนุ่มสาวหยุดการกระทำทั้งหมดราวถูกสาปไปชั่วขณะ ก่อนพากันหันไปมองยังเจ้าของเสียงอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อธนัทเทพเริ่มตกใจกับพฤติกรรมของผู้ใหญ่เมื่อสักครู่ ประกอบกับร่างกายที่กำลังบาดเจ็บ เลยร้องไห้ออกมาอีก
“อยากไปก็ตามใจ หาทางกลับเองก็แล้วกัน”
เนื่องจากความเป็นห่วงหลานชายมีมากกว่าที่จะเสียเวลาทะเลาะกับหญิงสาวเบื้องหน้าอีกต่อไป ชายหนุ่มเลยยอมปล่อยให้เธอเป็นอิสระ ก่อนถอยห่างออกมานอกรถแล้วปราดเข้าไปโอบกอดหลานชายเอาไว้เพื่อปลอบประโลม
"นิ่งนะครับ ขวัญเอ๊ยขวัญมา"
ชายหนุ่มลูบหลังหลานชายไปมา พลางคิดต่อว่าตัวเองอยู่ในใจ ว่าไม่น่าแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีออกมาให้เด็กได้รับรู้ เขากลัวหลานชายจะจำพฤติกรรมเมื่อสักครู่นี้แล้วนำไปบอกกับคุณพ่อของตัวเอง เนื่องจากหลานชายของเขานั้นกำลังอยู่ในวัยช่างพูดช่างเจรจา รับรู้อะไรมาก็มักจะเล่าให้ผู้ใหญ่ฟังเสมอ
“อ้าว ลงมานั่งข้างหน้านี่สิครับ อยากไปก็มาช่วยกันดูแลเด็กหน่อย”
นาวียื่นหน้าเข้าไปด้านหลังรถอีกครั้ง เมื่อเห็นหญิงสาวยังคงไม่ขยับกายตามลงมา ชายหนุ่มจับบานประตูรถเปิดอ้าเอาไว้เป็นการเชื้อเชิญเชิงบังคับให้อีกฝ่ายยอมทำตามคำสั่งเขา
“เรื่องมากจริง สาบานได้ว่าจะไม่ขอเจอหน้านายอีก”
ญาตาวีทำเสียงอุบอิบให้ได้ยินอยู่คนเดียวขณะยอมก้าวขาลงมาจากรถ สายตาสองคู่สบประสานกันนิ่งอย่างไม่มีใครคิดที่จะยอมหลบให้กันก่อน ในที่สุดญาตาวีก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้แววตาคมกล้านั่น หญิงสาวเป็นฝ่ายยอมจำนนด้วยไม่อยากให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ นาวีลอบยิ้มออกมาอย่างพึงใจขณะดันประตูรถให้ปิดลง
“เรย์ครับ หนูนั่งตักคุณป้านะครับ”
ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปในรถพลางกระซิบกระซาบกับหลานชาย ธนัทเทพมองใบหน้าคุณลุงนิ่งแต่ยังคงไม่พูดอะไร นาวีจึงอุ้มหลานชายเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ก่อนพยักพเยิดให้หญิงสาวเบื้องหน้าเข้าไปนั่งแทนที่ ญาตาวีถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ แต่ก็ยอมเข้าไปนั่งแต่โดยดี
“คอยกดแผลเอาไว้ด้วย อย่าให้เลือดซึมออกมามากกว่านี้”
ชายหนุ่มเอ่ยกำชับขณะค่อยๆ วางร่างหนูน้อยไว้บนตักของญาตาวีอย่างนิ่มนวล หญิงสาวโอบประคองร่างน้อยๆ เอาไว้ในอ้อมแขนหวังให้เด็กคลายความหวาดระแวงในตัวเธอที่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าในยามนี้
เพียงมือสัมผัสเข้ากับผ้าผันแผลที่ใช้กดห้ามเลือดเอาไว้ หัวใจของญาตาวีถึงกับไหววูบขึ้นมาในทันใด เมื่อรู้สึกว่าตนเองเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งต้องมาเจ็บตัวเพราะเธอ
มือนุ่มลูบแผ่นหลังน้อยๆ ด้วยความรู้สึกสงสารที่แล่นปราดเข้ามาในจิตใจ น่าแปลกที่ผ่านมาเธอเองไม่ค่อยถูกกับเด็กมากนัก แต่ร่างน้อยๆ ที่เอนกายพิงอ้อมอกอุ่นของเธอเอาไว้กำลังทำให้รู้สึกแปลกๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หญิงสาวคิดขณะที่รถกำลังแล่นฉิวไปบนท้องถนนด้วยความรวดเร็ว ตามอารมณ์ที่ร้อนรุ่มของคนขับ ด้วยใจอยากไปให้ถึงคลีนิกหรือโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดโดยเร็ว
“คุณแม่ค้าบ”
หนูน้อยครางออกมาเบาๆ เมื่อสัมผัสเมื่อสักครู่คล้ายสัมผัสจากมารดาที่เคยปลอบโยนยามตนเองหกล้มหัวเข่าเลือดแล้ววิ่งร้องไห้เข้าบ้าน ท่อนแขนน้อยๆ ยื่นมาโอบเอวญาตาวีเอาไว้แน่น
“คุณ ลูกคุณเรียกฉันว่าแม่”
“แล้วไงครับ”
นาวียังคงจับจ้องไปบนหนทางข้างหน้า คล้ายไม่สนใจกับคำบอกเล่านั้นสักเท่าใดนัก
“อ้าว บอกลูกหน่อยสิ ว่าไม่ใช่”
“เอาเถอะครับ ทนสวมรอยไปหน่อย เดี๋ยวก็ทางใครทางมันแล้ว นึกเสียว่าไถ่โทษก็แล้วกัน สงสัยลูกผมจะคิดถึงแม่มาก”
“คุณพ่อค้าบ ฮึกๆ”
“คุณ ลูกคุณเรียกหาพ่อ เหมือนสะอื้นขึ้นมาอีกแล้ว ทำยังไงดีล่ะ”
ญาตาวีชะงักมือที่กำลังลูบหลังหนูน้อยแทบจะในทันที เมื่อร่างในอ้อมกอดเริ่มร้องเรียกหาบุคคลคุ้นเคยที่ไม่ใช่เธอ
“คุณก็ปลอบสิ ปลอบเป็นมั้ยให้เด็กหยุดร้องน่ะ ผมกำลังขับรถอยู่เห็นมั้ย”
นาวีถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เมื่อหญิงสาวข้างกายยังคงเรียกเขาไม่เลิก เนื่องจากสายตาของเขากำลังสอดส่ายหาคลีนิกที่อาจพบเจอโดยบังเอิญแถวนั้น
“ฉันทำไม่เป็น ไม่เคย”
“ไม่เคยก็หัดสิครับ ให้ตายสิ ใครจะเอาไปทำเมียเนี่ย ถ้ามีลูกขึ้นมาจะเลี้ยงเป็นไหม”
“นี่! มันจะมากไปแล้วนะ มีก็แล้วกันคนที่อยากได้ฉันไปทำเมียน่ะ เยอะด้วย”
ใบหน้าสวยเริ่มงอง้ำเมื่อรู้สึกว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าไม่เคยมองเห็นสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ในตัวเธอเลยแม้สักนิด แม้กระทั่งความสวยสะพรั่งของวัยสาวก็มิอาจล่อหลอกให้เขาเดินเข้ามาติดกับดักได้ ช่างต่างจากผู้ชายคนอื่นๆ มากนัก หญิงสาวเม้มปากแน่นพลางคิดอยู่ในใจว่า ผู้ชายคนนี้ช่างเป็นผู้ชายที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เธอเคยพานพบมา
“ผู้ชายคนไหนกันนะที่ตาบอด ผมอยากจะเห็นหน้าจัง”
นาวีเสียงหัวเราะออกมาโดยไม่แคร์ความรู้สึกของคนฟังแม้สักนิดว่าจะรู้สึกเช่นไร ชายหนุ่มทำเหมือนกับว่าเมื่อสักครู่นี้เธอเล่าเรื่องตลกให้เขาฟัง ญาตาวีขบกรามแน่นก่อนเข่นเสียงออกไปหวังเอาคืน
“ฉันก็อยากจะเห็นหน้าเมียในอนาคตของคุณนัก ว่าใครจะตาถั่วมารักคนปากมอมแบบคุณ”
“พูดดีๆ นะ ผมปากมอมยังไง”
“หาคุณพ่อ ฮึกๆๆ”
“โอ๋ ๆๆ คุณพ่อขับรถนะคะ ทนเจ็บอีกนิดนะคะ เดี๋ยวก็ถึงหมอแล้ว”
ญาตาวีรีบปลอบประโลมพลางลูบหลังหนูน้อยเอาไว้ เมื่อร่างในอ้อมกอดเริ่มเรียกหาคุณพ่อมากขึ้น หญิงสาวหันไปทางนาวี คล้ายขอคำปรึกษาว่าจะทำอย่างไร นาวีส่งสายตาเป็นเชิงขอสงบศึกชั่วครู่ เนื่องจากสายตาชายหนุ่มมองไปเห็นคลีนิกที่อยู่เลยไปไม่ไกลมากนัก