Lavender ลาเวนเดอร์ 1
“ตัวเล็กมากินข้าวกัน”
“เหมยกินข้าวครับ”
เสียงเรียกชื่อตัวเองดังมาจากหน้าห้องนอน เหลือบสายตามองนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้จะสองทุ่มแล้ว ฉันกลับมาที่บ้านหลังนี้ตั้งแต่สี่โมงเย็น มาถึงก็อยู่แต่ในห้องไม่ได้ออกไปไหน กระทั่งได้ยินเสียงเรียกทั้งสองครั้งเมื่อสักครู่ เสียงเรียกแรกน่าจะเป็นพี่ชายคนรอง ส่วนเสียงที่สองคงเป็นพี่คนโต แต่ว่าฉันน่ะไม่อยากจะออกไปเลยสักนิด จึงเลือกส่งข้อความเข้าไปยังไลน์กลุ่มที่มีสมาชิกทั้งหมดสามคน คือฉันและพี่ชายทั้งสองคน บอกเพียงแค่ว่ากินข้าวแล้วให้กินกันเลย ทั้งที่ความเป็นจริงฉันยังไม่ได้กินข้าวเย็น
ทุกครั้งที่อยู่ในห้องนอน ฉันจะทำความสะอาดห้องเก็บห้องให้เป็นระเบียบอยู่เสมอ เพราะหากกลับมาฉันมักจะใช้ชีวิตภายในห้องแห่งนี้อยู่ตลอด และถ้าจะถามว่าที่นี่คือที่ไหน ก็คงต้องบอกว่าที่นี่คือบ้านของพี่ชายคนโตที่ซื้อไว้ แล้วย้ายออกมาอยู่ที่นี่
ฉันอยากเช่าหอพักอยู่คนเดียว แต่พี่ชายทั้งสองคนไม่ยอมพี่คนโตเลยซื้อบ้านแล้วย้ายออกมาอยู่ด้วยกัน ท่ามกลางความไม่พอใจของที่บ้าน แล้วก็เหมือนเคยที่ฉันจะโดนด่าโดนเปรียบเทียบกับพี่ชายทั้งสองคน ตลกดี พวกเขาทำเหมือนฉันไม่ใช่ลูกหรือหลานเลยล่ะ
บ้านหลังนี้สวยมากเลยนะ ฉันมีโอกาสออกไปอยู่ข้างนอกห้องนอนบ้างหากพี่ชายทั้งสองคนไม่อยู่ แต่เมื่อไหร่ที่ทั้งคู่กลับมาฉันจะกลับเข้าห้องนอนตัวเอง ถามว่าทำแบบนี้ทำไม ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ใช่ไม่รักพี่ ๆ แต่เพราะกลัว กลัวจะโดนเปรียบเทียบ กลัวจะโดนคนอื่นด่าว่าทำให้พี่ชายเดือดร้อน ฉันเลยเลือกที่จะอยู่ห่างจากพี่ชายที่คอยช่วยเหลือฉันอยู่ทุกอย่าง
พวกเขาดีกับฉันมาก จนฉันไม่อยากเข้าใกล้พวกเขา เพราะความกลัวและความกังวล
“เหมย พี่ซื้อผลไม้มา มากินด้วยกันนะครับ” เสียงพี่ชายคนโตอย่างพี่มีนเอ่ยชวนและเคาะห้องสองสามที
“...” ฉันยังนั่งเงียบอยู่บนเตียงนอนมองไปยังประตูบานใหญ่ที่ขวางกั้นฉันและพี่ชายไว้
“ที่นี่มีแค่พี่สองคนกับเหมยนะ ไม่มีใครเลย ออกมากินข้าวกินขนมด้วยกันนะเหมย” และเป็นอีกครั้งที่พี่ชายคนรองอย่างพี่มาร์เอ่ยชวนฉัน
“...”
“หนูไม่สบายใจใช่ไหม? พี่เองก็ไม่สบายใจและเป็นห่วงหนูมาก ๆ เรามาคุยกันดีไหมเหมย พี่สองคนรักหนู มีแค่หนูแล้วนะ”
“ขอโทษนะที่ทำให้ไม่สบายใจ แต่พี่มีน้องสาวแค่คนเดียว พี่ไม่อยากให้เหมยเจ็บปวดเพราะคนพวกนั้นอีกแล้ว”
“...”
“เด็กดี เรามาคุยกันเถอะนะ”
“...”
“พวกพี่จะรออยู่ที่ห้องนั่งเล่นนะครับ”
เสียงทั้งสองคนเงียบไปแล้ว และมีเพียงฉันที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงนอนหลังใหญ่ กี่ปีแล้วนะ กี่ปีแล้วที่ระยะห่างของฉันและพี่ชายมันกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความกลัวของฉัน
สิ่งที่ฉันเจอมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะคำพูด สายตาหรือการกระทำ ทุกอย่างล้วนเกิดจากที่ฉันเกิดมาเป็นผู้หญิง แต่พี่ชายก็บอกว่าไม่เป็นอะไรยังไงฉันก็เป็นน้องสาวของพี่ ๆ แต่เมื่อช่วงสิบปีก่อนฉันไปเดินเล่นกับพี่ชายกลับบ้านมา ฉันโดนตีอย่างหนักโดยที่ทันตั้งตัว และทุกคนเอาแต่บอกว่าฉันพาพี่ชายเกเร คนพวกนั้นตีฉันด้วยความเกลียดจัง และไม่คิดฟังคำอธิบายจากฉันเลยสักครั้ง
ฉันจำความเจ็บปวดเหล่านั้นได้อย่างดี เพราะฉันเจ็บปวดมากจนสลบไป ตื่นมาอีกทีก็อยู่โรงพยาบาล และตั้งแต่วันนั้นฉันเองก็ไม่อยากเข้าใกล้พี่ชายแล้ว ฉันกลัว
กลัวว่าฉันจะสลบไปแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีก
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นเกือบห้าปี พี่ชายก็ชวนออกมาอยู่บ้านหลังนี้ บ้านที่พี่ชายฉันซื้อด้วยตัวเองและไม่ให้คนที่บ้านนั้นมายุ่งวุ่นวาย เราอยู่บ้านหลังนี้มาได้ห้าปีกว่าแล้วล่ะ เป็นระยะเวลาห้าปีที่ฉันกล้าหายใจแรงขึ้น แต่ยังคงไม่กล้าเข้าใกล้พี่ชาย
ระหว่างที่นั่งทบทวนความคิดกับตัวเองอยู่นั้น สักพักน้ำตาที่ไหลอาบแก้มถูกเช็ดออกเบา ๆ ก่อนจะตัดสินใจเดินไปใกล้ประตูแล้วเปิดออกช้า ๆ
แม้ตอนนี้จะยังรู้สึกกลัวแต่ก็ไม่อยากให้พี่ชายเสียใจไปมากกว่านี้แล้ว จังหวะที่ก้าวลงบันไดอย่างเชื่องช้านั้นก็ได้ยินเสียงของพี่ชายทั้งสองคนคุยกันอยู่แผ่วเบา
“ทำไมพี่ถึงไม่ได้เรื่องแบบนี้วะมาร์ แค่น้องสาวคนเดียวทำไมพี่ถึงดูแลน้องไม่ได้”
“พี่เก่งแล้วพี่มีน คนพวกนั้นต่างหากที่แย่”
“น้องเจออะไรมามากมาย แต่ตอนนั้นพี่กลับช่วยอะไรน้องไม่ได้เลย พี่มันโคตรแย่เลยว่ะ”
“ผมเองก็แย่เหมือนกัน น้องต้องการเราขนาดนั้น ตอนนั้นทำไมเราไม่ทำอะไรสักอย่าง ถึงตอนนี้หากน้องจะไม่เปิดใจให้เราผมก็ไม่โกรธน้องเลย เพราะเราเองที่ทำให้น้องไม่เชื่อใจ”
“ทำยังไงดีมาร์ พี่ไม่อยากให้น้องเจ็บปวดแบบนี้เลย”
เสียงพี่ชายที่นั่งคุยกันอยู่ห้องนั่งเล่นนั้นฟังดูสั่นเครือไม่น้อย ฉันทรุดนั่งที่ขั้นบันไดก่อนจะหลุดเสียงสะอื้นร้องไห้ เป็นเพราะฉันอีกแล้วใช่ไหมพี่ชายถึงได้เสียใจและไม่สบายใจอยู่แบบนี้
“ฮึก” แม้จะกลั้นเสียงสะอื้นไว้แต่ก็ไม่เป็นผลเท่าไหร่เมื่อพบว่าตัวเองนั้นร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างหนัก ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าพี่ชายทั้งสองคนเดินมาตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พี่ชายทั้งสองคนโอบกอดฉันไว้แล้วเราทั้งสามคนนั่งร้องไห้ด้วยกันที่บันได
ฉันร้องไห้สะอื้นจนรู้สึกแน่นหน้าอกไปหมด พี่ชายทั้งสองคนของฉันร้องไห้เช่นเดียวกัน เพียงแค่ไม่ได้สะอึกสะอื้นเหมือนอย่างที่ฉันเป็น แต่ตลอดเวลาที่ร้องไห้นับเป็นครั้งแรกที่มีคนโอบกอดฉันไว้ ไม่ใช่ฉันที่คอยโอบกอดตัวเองอย่างที่เคยเป็นมา
“เด็กดี คนเก่งของพี่ หนูเก่งมากเลยครับ”
“เหมยเหมยของพี่เก่งที่สุดแล้ว เก่งมากเลยนะ”
“เหมยยังมีพวกพี่อยู่นะ เรามาเริ่มต้นกันใหม่เถอะนะ พี่จะจับมือหนูไว้เองเหมย”
เสียงปลอบโยนของพี่ชายยิ่งทำให้ฉันร้องไห้หนักกว่าเดิม