ตอนที่ 3 : ชาดำเย็น

3363 Words
ชนาเดินมาหยุดยืนอยู่บริเวณหน้าบ้าน ซึ่งไม่นานนักหนึ่งในเจ้าบ้านได้ออกมาเปิดประตูให้ รอยยิ้มน้อยๆ กับใบหน้าที่เรียบนิ่งรวมถึงแววตาที่ดูแข็งกร้าวทำให้ชนารีบพนมมือไหว้ หากเดาไม่ผิดน่าจะเป็นพี่สาวคนรองคนที่ได้รับเลือกเป็นกำนัน โดยมีการจัดการเลือกตั้งและเท่าที่ฟังจากลุงคำคงพอจะเดาได้ไม่ยากว่า ผู้หญิงที่ดูมีท่าทางสง่าผ่าเผยบุคลิกเรียบนิ่งท่านนี้น่า จะเป็นน้องคนรองที่ชื่อ พลับ “สวัสดีค่ะ ป้าพลับ” ชนาพนมมือไหว้ทักทาย “กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เห็นพี่คำบอกไปเรียนเมืองนอกเมืองนานึกว่าจะไม่กลับบ้านกลับช่องเสียแล้ว” น้ำเสียงที่ฟังดูแข็งๆ ได้ถามไถ่ ถึงแม้จะฟังดูแข็งกร้าว แต่ชนาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น โดยเฉพาะแววตาที่จ้องมองอยู่ดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อได้เห็นใกล้ๆ “เพิ่งกลับมาค่ะ ป้าพลับสบายดีนะคะ” ชนาถามและเดินตามเข้ามาในตัวบ้าน ซึ่งค่อนข้างเงียบ “ด็อกเตอร์แล้วสิเราน่ะ” พลับถามชนาที่ยกตะกร้ามะม่วงอกร่องสุกมาวางให้ที่โต๊ะรับประทานอาหาร “ค่ะ” “ลุกมานั่งข้างบน ไปนั่งทำอะไรข้างล่าง บ้านนี้ไม่ได้เจ้ายศเจ้าอย่างอะไรนะ ไปหาน้ำกินในตู้เย็นโน่นไป” พลับบอกและพยักพเยิด ไปทางตู้เย็นขนาดค่อนข้างใหญ่ ชนาเดินไปอย่างว่าง่าย นึกขำตัวเองอยู่เหมือนกันที่ทำตัวเหมือนเด็กๆ ที่ผู้ใหญ่ว่ากล่าวอะไรก็รีบปฏิบัติตาม ไม่รู้เพราะว่าเกรงกลัวเหมือนสมัยเมื่อตอนยังเด็กอยู่หรือไม่ ชอบมาเกาะรั้วชะเง้อชะแง้เข้ามาในบ้าน เพราะรู้ดีว่า บ้านหลังนี้มีเด็กซึ่งอาจจะเป็นเพื่อนเล่นด้วยได้เพราะบ้านอยู่ใกล้กันกับบ้านของลุงของเธอ ชนาพูดคุยกับพลับซึ่งเป็นพี่คนรองของบ้านเรือนไทยหลังงามแห่งนี้ ชนามองไปรอบๆ คิดว่าจะได้เห็นรูปถ่าย แต่กลับไม่มีให้เห็นเลยแม้แต่ภาพเดียว บ้านช่องดูสะอาดไม่มีข้าวของมากมายอะไรนัก ชนาพูดคุยกับพลับอยู่ครู่หนึ่ง เพ็ญซึ่งเป็นน้องสาวคนสุดท้องจึงเข้ามาร่วมสนทนาด้วย “แม่คนนี้อาสาจะช่วยเพ็ญขายขนมค่ะ” เพ็ญบอกกับพี่สาวซึ่งยิ้มและพยักหน้าให้เล็กน้อย “ว่างนักหรืออย่างไรเรา ไม่ไปหางานหาการทำหรือ” พลับถามทำเอาชนาหน้าจ๋อย เพ็ญส่ายหน้าและอดที่จะขำไม่ได้ “เพิ่งกลับมาถึงวันนี้ เลยยังไม่ได้ไปหางานเลยค่ะ ป้าพลับมีงานให้หนูทำบ้างไหมคะ ระหว่างที่รอหางานอยู่” ชนาพูดอ้อน “ฉันเป็นกำนัน จะไปหางานตำแหน่งใหญ่โตที่ไหนมาให้เธอได้ล่ะ กลับไปหาในกรุงเทพฯ โน่นเถอะ” พลับบอกด้วยน้ำเสียงคล้ายเอือมระอา “ผู้ช่วยกำนันก็ได้ค่ะ ป้าพลับ” ชนายิ้มแป้นให้กับพลับที่ทำหน้าเข้ม เพราะไม่ค่อยชอบการพูดจาหยอกล้อนัก “นักเรียนนอก อาสาเป็นผู้ช่วยกำนัน ว่างนักหรืออย่างไร” “ช่วงนี้ว่างค่ะ เรียกใช้ได้เลยค่ะ ป้าพลับ” ชนาหัวเราะเล็กๆ เสียงพูดคุยที่ดังแว่วๆ ทำให้แพรพรรณแปลกใจ เพราะปกติไม่ค่อยมี ใครเข้ามาในบ้านนัก ลูกบ้านที่มาหาป้าของเธอ ส่วนใหญ่จะพูดคุยอยู่ด้านนอกเสียมากกว่า จะมีเข้านอกออกในบ้านบ้างมีเพียงคำรณ ซึ่ง เข้ามาซ่อมแซมโน่นนี่ให้ หนุ่มใหญ่ไม่อยากให้เกิดคำครหาพอจะทราบมาตั้งแต่เด็ก เพราะที่บ้านมีเพียงผู้หญิงอยู่เท่านั้น “เหนื่อยนะ งานฉันน่ะ” ป้าพลับบอก “เรียกใช้ได้ตลอดเวลาเลยค่ะ ป้าพลับ หนูไม่กลัวเหนื่อย” “เด็กสมัยนี้ ดีแต่พูดล่ะสิ” “ต้องลองใช้งานดูก่อนค่ะ” ชนายังคงยิ้มแป้น เพ็ญอดขำไม่ได้นานๆ ทีจะมีคนกล้าพูดต่อปากต่อคำกับพี่สาวของตัวเอง เพราะท่าทางบุคลิกที่ดูนิ่งๆ เข้มๆ และเรื่องที่เล่าลือกันไปทั่วว่าพี่สาวของเพ็ญยิงปืนแม่นมาก เพ็ญไม่รู้เหมือนกันว่าไปเอาข่าวกันมาจากไหน หรือบางทีอาจจะเป็นตอนที่ออก ไปดูแลลูกบ้าน ซึ่งเพ็ญไม่ได้ไปด้วยและไม่มีโอกาสได้เห็นกับตา “โน่นเลย ไปให้ยายเพ็ญทดสอบหน้าเตาเสียก่อนเลยไป๊” น้ำเสียงที่ฟังดูคล้ายรำคาญทำให้ชนาอมยิ้ม “มาๆ มากับน้า เดี๋ยวกำนันจะเอาปืนมาไล่ยิ่งเอา” เพ็ญหัวเราะมอง ดูชนาที่รีบลุกตามมาทันที เมื่อได้ยินเรื่องปืนผาหน้าไม้ “ป้าพลับดูดุกว่าป้าพริ้งนะคะ หนูว่า” ชนาแอบกระซิบ “คนพูดน้อย ก็จะดูดุกว่าเป็นธรรมดา เราไม่ได้ทำอะไรผิดไม่เห็น ต้องกลัว ถ้าทำผิดผู้ใหญ่ก็ดุทุกคนนั่นแหละ” เพ็ญเดินกลับมาในครัว ซึ่งค่อนข้างโปร่งและถูกแยกส่วนออกมา กลิ่นของน้ำตาลปนกับมะพร้าวหอมกรุ่นในความรู้สึกของชนา “หิวแล้วค่ะ แม่” เสียงใสๆ ที่ได้ยินทำให้ชนารีบหันไปในทันที เพราะรู้สึกคุ้นๆ แต่ภาพของสาวเจ้าที่สะดุดอะไรสักอย่างกำลังจะล้ม ชนาจึงรีบเข้าไปคว้าตัวเอาไว้และโอบกอดเอาไว้แน่น โดยไม่ทันได้เห็นหน้าเห็นตา “ตายแล้ว ซุ่มซ่ามเสียจริงลูกสาวฉัน” มารดาหัวเราะ ส่ายหน้ามองดูลูกสาวที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของชนา แต่ไม่ทันเห็นว่าจมูกของชนากับแก้มของลูกสาวสัมผัสกัน แพรพรรณมองสบตากับชนาที่รีบคลายอ้อมกอดออกใน ทันที “สะดุดผ้าขี้ริ้วที่พื้นนิดเดียวเอง” แพรพรรณพูดเสียงอ่อยๆ “เขาเรียกซุ่มซ่ามจ้ะ แม่นางเอก” มารดาหัวเราะ เมื่อเห็นลูกสาวทำหน้ามุ่ยเดินไปชะเง้อชะแง้ดูว่ามารดากำลังทำอะไร “มีอะไรทานบ้างคะ” แพรพรรณพูดคุยโดยไม่ได้สนใจคนแปลกหน้า แต่อันที่จริงรู้สึกเขินอายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ มากกว่า “สนใจแขกหน่อยไหมเราน่ะ ชนาอุตส่าห์ช่วย ไม่คิดจะขอบอกขอบใจเขาสักหน่อยหรือ น่าตีนักนะ” มารดาทำท่าเงื้อมมือ “ขอบใจ” แพรพรรณพูดเพียงแค่นั้น ก่อนจะหยิบผลไม้และเดินออก ไปทางด้านนอกซึ่งพลับยังคงนั่งอยู่ ชนายิ้มๆ มองตาม กลิ่น หอมๆ จากการได้อยู่ใกล้ชิดทำให้หัวใจรู้สึกรวนๆ กว่าครั้งก่อนที่เจอกันตอนซื้อไอศกรีมไม่คิดว่าจะเป็นลูกสาวของน้าเพ็ญ แอบนึกถึงเด็ก ผู้หญิงผอมบางที่ยืนชะเง้อมองออกมาทางหน้าต่าง ชนาคิดว่าตอนนั้นคงอยากออกไปวิ่งเล่น แต่ด้วยความที่ผู้ใหญ่ในบ้านหวงแหน จึงไม่ค่อยยอมที่จะให้ออกไปไหนมาไหนแม้แต่วิ่งเล่นที่หน้าบ้านของตัวเองก็ตาม “อย่าไปถือสาเลยนะ” “ตัวหอมดีแท้” ชนารำพึงกึ่งเพ้อออกมาโดยไม่รู้ตัว “อะไรนะ ชนา” เสียงของน้าเพ็ญทำให้ชนาตื่นจากภวังค์ “กลิ่นขนมหอมดีแท้ค่ะ น้าเพ็ญ” ชนาเอานิ้วไขว้กันไว้ เพราะคำ พูดที่บอกออกไปถือเป็นการพูดโกหกซึ่งไม่ควร แต่หากพูดความจริงมีหวังได้โดนไล่ออกจากบ้าน อีกอย่างอาจจะได้เป็นเป้าให้กับกำนันสาวที่คุยอยู่กับหลานสาว เสียงหัวเราะดังอยู่แว่วๆ ต่างจากเสียงเข้มๆ ที่คุยกับชนาเมื่อสักครู่ ชนามองดูข้าวเหนียวที่ถูกจัดวางในจานใบใหญ่ ซึ่งมีใบตองรองเอาไว้ด้วย คนที่บ่นหิวเดินกลับเข้ามาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง เดินไปหยิบมีดบางๆ ที่เอาไว้ปอกผลไม้และหยิบผลมะม่วงอกร่องโดยเลือกลูกที่มีผิวเหี่ยวย่นค่อยๆ ปอกเปลือกและหั่นอย่างประณีตวางลงในจานข้าวเหนียว กิริยาท่าทางทำให้อดแปลกใจไมได้ เพราะความซุ่มซ่ามเมื่อก่อนหน้าที่เกือบจะทำให้ล้มลง ชนามองดูที่มือของสาวเจ้า ซึ่งค่อยๆ บรรจงปอกมะม่วงสุกที่แอบคิดว่า หากเป็นตัวเองล่ะก็คงเลอะเทอะ ไม่สวยเหมือนกับที่แพรพรรณกำลังปอกอยู่ “ชอบหวานมากหรือหวานน้อยล่ะ” แพรพรรณพูดขึ้นลอยๆ เมื่อไม่มีเสียงตอบใดๆ จึงเงยหน้ามามองสบตากับชนาที่ชี้นิ้วเข้าหาตัว เอง คนที่ถามเมื่อสักครู่จึงพยักหน้า “แล้วแต่จะกรุณาเลย” ชนาพูดเบาๆ เพราะเกรงใจเพ็ญที่ยังคงง่วนเรื่องเตรียมของสำหรับทำขนมขายในวันรุ่งขึ้น “กินเปลือกได้ป่ะล่ะ” แพรพรรณแอบยิ้ม ก่อนจะทำหน้านิ่งและหยิบมะม่วงอกร่องสุกมาอีกลูก แต่เป็นลูกที่ผิวยังคงสวยนวลอยู่ซึ่ง รสชาติจะไม่ออกหวานมากนัก “เปลือกกินได้จริงดิ โตจนป่านนี้เพิ่งจะรู้” ชนากลั้นหัวเราะ เมื่อเห็นแพรพรรณหันมาทำหน้ายักษ์ให้พร้อมกับขยับมือที่ถือมีดอยู่ ชนาแสร้งทำเป็นจ๋อยก้มหน้าให้เล็กน้อย “กวนนะเราน่ะ” แพรพรรณพูดพึมพำ หันกลับไปตั้งใจปอกมะม่วงและจัดลงในจาน ซึ่งแยกอยู่คนละด้านกับลูกแรก “รู้นานแล้ว” ชนานึกขำตัวเองอยู่เหมือนกันที่รีบพูดต่อปากต่อคำกับสาวเจ้าที่เลิกสนใจจะปะทะฝีปากด้วย แต่เมื่อได้ยินเสียงของ พริ้งเรียกหาหลานสาวทำให้ชนาคิดว่า น่าจะได้เวลากลับแล้ว แพรพรรณทำปากขมุบขมิบหันมาจ้องมองชนา ซึ่งแกล้งแลบลิ้นให้จนสาว เจ้าทำท่าเงื้อมมือ แต่เสียงกระแอมของมารดาทำให้ชนาอมยิ้มยักคิ้วล้อเล็กน้อย “ฝากไว้ก่อนเถอะ” แพรพรรณทำท่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่อนจะหันไปแอบยิ้มและรีบไปล้างไม้ล้างมือ โดยไม่ทันสังเกตว่าชนาเดินตามมา “มาช่วยล้างให้ จะได้ไม่ต้องเป็นบุญคุณ” ชนาพูดขึ้น แพรพรรณจึงวางมีดลงในอ่างล้างจาน แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชนาเปิดก๊อกน้ำและจับมือแพรพรรณที่ดึงมือเอาไว้เล็กน้อย แต่แววตาที่ชนามองมาทำให้ยอมโอนอ่อนผ่อนตามแต่โดยดี ชนาช่วยล้างมือและนำผ้ามาเช็ดให้จนแห้ง แพรพรรณยิ้มน้อยๆ นึกขอบคุณอยู่ในใจ “ขอบใจนะ ชนา เอ๊ะไม่ใช่สิ ชาดำเย็น” แพรพรรณหัวเราะแล้วรีบเดินหนีไป ปล่อยให้ชนายืนส่ายหน้านึกขำกับชื่อที่สาวเจ้าเรียก “ชาดำเย็น ยิ่งกว่าไอ้ชา ชื่อที่ลุงคำเรียกอีก หรือตัวดำไปว๊ะ” ชนามองดูที่แขนของตัวเอง ชนาเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กลับมาพร้อมกับข้าวเหนียวมูลจานใหญ่ ซึ่งมะม่วงอกร่องสุกถูกฝานและหั่นแบ่งเอาไว้สองด้าน ส่วนที่สุกและหวานมากสีจะเข้มอยู่สักหน่อย ส่วนของชนาซึ่งท่าทางสาวเจ้าจะเดาถูกสีจะออกเหลืองนวลและสีซีดกว่าซึ่งถูกจัดวางอยู่อีกด้านหนึ่ง เรียกได้ว่า ลุงกับหลานไม่มีทางทะเลาะกันเรื่องมะม่วง “ไม่โดนเอ็ดล่ะสิ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กลับมาทีเดียว” ลุงคำถามหลาน สาวที่วางจานข้าวเหนียวมะม่วงให้ตรงหน้า “ไม่โดนค่ะ ไปสมัครเป็นผู้ช่วยกำนันมาด้วยค่ะ” ชนาพูดยิ้มๆ “รับลูกปืน หรือแบกปืนล่ะ ท่านผู้ช่วยกำนัน” คำรณหัวเราะระหว่างเดินไปหยิบช้อนมาสองคัน ซึ่งยื่นให้กับชนาหนึ่งคัน ชนามองดู คำรณที่เริ่มตักข้าวเหนียวมะม่วงเข้าปากพร้อมด้วยรอยยิ้ม ความสุขที่เปร่งประกายอยู่บนใบหน้าทำให้รู้ได้เลยว่า รสชาติดีขนาดไหน ชนา จึงรีบตักเข้าปากบ้าง “อวยพรหลานซะแล้ว ลูกปืนไว้แจกว่าที่หลานเขยเถอะค่ะ” “ลูกชายนายอำเภอไง แต่ไม่น่าจะโดนลูกปืนนะ ข้าว่า” ลุงคำยิ้มมองสบตากับชนาที่ขมวดคิ้วเข้าหากัน เมื่อได้ยินเรื่องของคนที่ลุง คำเอ่ยถึงซึ่งน่าจะมีภาษีดีเพราะเป็นถึงลูกชายนายเภอเลยทีเดียว “หลานสวยขนาดนั้น หวงก็ไม่น่าจะแปลก” “คงไม่อยากให้เสียใจ เลยระมัดระวังมากขึ้น คงต้องเป็นผู้ชายที่ดีจริงๆ นั่นแหละ ถึงจะฝ่าด่านป้าสามใบเถาที่เอ็งว่าไปได้น่ะ” ลุง คำหัวเราะ เคยได้ยินการพูดถึงลูกชายของนายอำเภอ แต่ยังไม่เคยเห็นตัวจริงสักทีเคย แต่ได้ยินมีคนพูดให้ได้ยินบ้าง “ไม่มีใครรู้อนาคตนี่คะ ลุงคำ ไอ้ที่คิดว่าดีก็อาจจะทำให้เสียใจก็ได้หากแต่งงานกันไปน่ะ” ชนาเคยเห็นเพื่อนๆ หลายคนที่แต่งงานโดยให้เหตุผลเรื่องความเหมาะสมเป็นหลักใหญ่ ซึ่งสามารถเป็นหน้าเป็นตาให้ครอบครัว สุดท้ายก็ไปไม่รอดเลิกรากันไปหลายต่อหลายคู่อยู่เหมือนกัน “ก็จริงของเอ็ง แต่ยายหนูแพรก็ควรมีคนดูแลนะ ข้าว่า ไม่อย่างนั้นจะอยู่อย่างไร หากวันข้างหน้าไม่มีแม่และป้าแล้วน่ะ” ลุงคำออกจะห่วงใยในตัวของแพรพรรณอยู่ไม่น้อย “ไม่มีญาติคนอื่นๆ เลยหรือคะ” ชนาถาม เพราะเท่าที่จำได้เหมือนครอบครัวนี้มีกันอยู่เท่าที่เห็น ซึ่งวันนี้ไม่ได้พบป้าคนที่สาม ซึ่งเป็นคุณครูสอนหนังสืออยู่ในโรงเรียนประจำจังหวัด “ไม่เห็นมีนะ ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่น่ะ” ลุงคำบอก “มิน่า ลุงคำถึงอยากให้หนูช่วยดูแลบ้านโน้น โดยเอาสมบัติมาล่อ ลวงหลานให้อยู่ที่นี่หรือเปล่าน๊า” ชนาหัวเราะ ลุงคำก็เช่นกัน “ถ้าเป็นผู้ชาย ข้าจะยกทุกอย่างที่มีให้เป็นสินสอดเลยนะ ไอ้ชา” “ว๊า ทำไมไม่เกิดเป็นผู้ชายนะเรา ไอ้ชาของลุงคำเอ๊ย ดูสิเลยได้สมบัติไม่หมดเลย” ชนาหัวเราะคิกคัก “สมบัติมันก็ต้องเป็นของเอ็งอยู่แล้วไหม” ลุงคำถาม “ถ้าอยากไปขอ ลุงจะไปขอให้จริงๆ หรือคะ” ลุงคำมองสบตากับชนาหลังจากได้ยินคำถาม ซึ่งฟังดูออกจะแปลกๆ อยู่สักหน่อย “แน่สิ ข้าน่ะ อยากดองกับบ้านนั้นจะตายไป ไม่ใช่เพราะแค่เพียงแม่พริ้งหรอกนะ อยากดูแลให้มีความสุขทั้งครอบครัวเลย แต่ข้าก็ ทำเท่าที่ข้าทำได้แล้วล่ะ ถ้าเอ็งจะรับช่วงต่อก็จะดีมากนะ ไอ้ชา” ลุงคำยิ้มน้อยๆ ให้ชนาที่ถอนใจเบาๆ และมองไปทางบ้านเรือนไทยหลังงาม แพรพรรณนั่งยิ้ม นึกถึงความอ่อนโยนของคนที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายกับการพูดจากวนๆ บ้างในบางครั้ง แต่เมื่อยามได้ใกล้ชิดตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกันตอนซื้อไอศรีม ซึ่งชนาช่วยเช็ดปากเพราะตัวเองทานไอศกรีมจนเลอะ แถมยังมาช่วยล้างมือบอกว่า ไม่อยากให้เป็นบุญคุณที่ปอกมะม่วงให้ สัมผัสนั้นอ่อนโยนจนทำให้รู้สึกดีได้อย่างน่าประหลาด “พระเอกละคร หรือหนุ่มที่ไหนกัน ถึงทำให้หลานฉันมานั่งยิ้มคนเดียวอยู่อย่างนี้ได้” เสียงของป้าพรซึ่งเป็นครูทำให้แพรพรรณอมยิ้มและรีบลุกไปสวมกอดออกอาการอ้อนให้เห็นในทันที “คิดถึงป้าพรคนสวยมากกว่าค่ะ เหนื่อยไหมคะ แพรเอาน้ำเย็นๆ ให้ดื่มดีกว่า ป้าพรนั่งตรงนี้ก่อนนะคะ” แพรพรรณไม่รอฟังคำตอบใดๆ รีบวิ่งเข้าไปในครัว เตรียมน้ำส้มคั้นสดๆ มาให้ป้าพรของเธอทันที “อยากได้อะไรหรือเปล่านะ หลานฉัน” ป้าพรรำพึง “แพรมีครบทุกอย่างแล้วค่ะ แค่ป้าพรรักเพิ่มขึ้นอีกสักนิดก็พอแล้ว” แพรพรรณพูดเอาใจ จนป้าพรมีรอยยิ้มกว้างมากขึ้น เพราะไม่ เคยเลยที่จะไม่ยิ้มเมื่อได้เห็นหลานสาวอ้อน “ยายแพร เราน่ะ คือ ชีวิตของป้าเลยนะ รู้ตัวเอาไว้ด้วย” “ฮั่นแน่ ไม่ใช่ลูกศิษย์ที่โรงเรียนหรอกหรือคะ” แพรพรรณถาม “มันคนละแบบกัน ไปล่ะ ไปอาบน้ำอาบท่าก่อน หิวข้าวแล้ว” “มาค่ะ แพรหอบของไปไว้ที่ห้องให้ วันมะรืนมีเดินแบบใกล้ๆ ร้าน อาหารที่ป้าพรชอบด้วยนะคะ อยากทานอะไรจดรายการไว้ให้ แพรได้เลยรับรองได้ว่า จัดครบอิ่มกันทั้งบางแน่นอนเลย” แพรพรรณหัวเราะ เมื่อเห็น ป้าพรส่ายหน้าท่าทางคงจะเอื้อมระอากับความพูดมากของหลานสาว “หาของชอบของแม่เรามากินกันดีกว่าไหม รายนั้นทำขนมเหนื่อยมากกว่าใครเลย แถมยังทำกับข้าวให้กินทุกวันอีก ป้าเห็นแล้วยังเหนื่อยแทน ไอ้จะซื้ออาหารถุงมากิน แม่เราก็บ่นเอา” ป้าพรเอามือลูบศีรษะหลาน สาวและมองเลยเข้าไปทางห้องครัว ซึ่งส่วนใหญ่น้องสาวคนเล็กจะอยู่ที่นั่นแทบจะตลอดทั้งวัน หากไม่ได้ออกไปขายของ “งั้นก็ซื้อของชอบของทุกคนเลย คนล่ะอย่าง ยุติธรรมดี” แพรพรรณหัวเราะนำของที่ช่วยถือมาเข้าไปวางไว้ในห้องนอนของป้าพร ซึ่งพยักหน้าให้แสดงความเห็นด้วยกันสิ่งที่หลานสาวบอก “รักแม่ให้มากๆ นะ ยายแพร เพราะแม่เราน่ะ ต้องผ่านอะไรมาตั้งมากมาย ยิ่งตอนอุ้มท้องเรานั่นน่ะ” ป้าพรมักจะพูดเรื่องให้แพรพรรณรักคนที่เป็นมารดาให้มากอยู่เสมอ ไม่ใช่เฉพาะแต่ป้าพร แต่เป็นพี่สาวของมารดาทุกคนที่พูดคล้ายกัน “รักแม่ที่หนึ่ง รักป้าสามคนเป็นที่สองรองลงมา แพรบอกตั้งแต่เด็กแล้วมั้งคะ ป้าพร” แพรพรรณหอมแก้มป้าพรก่อนจะปล่อยตัวให้ไปอาบน้ำเตรียมตัวมารับประทานอาหารมื้อค่ำพร้อมหน้าพร้อมตา แพรพรรณเดินเข้าไปสวมกอดมารดาและหอมแก้มทั้งซ้ายและขวา มารดาขยับตัวหนีเล็ก น้อยคงเป็นเพราะเหงื่อที่ไหลรินอาบแก้มอยู่ “แม่ตัวเหม็นจะตายไปลูก” มารดาบอกกับลูกสาว “หอมจะตายไปค่ะ กลิ่นขนมน่ะ ซึมเข้าไปอยู่ในตัวแม่แล้วล่ะ หอมทีไรนึกว่าได้กลิ่นขนมทุกทีเลย” แพรพรรณยิ้มกว้างมากขึ้นและ กอดกระชับมารดาเอาไว้แน่น “แม่เตรียมมะพร้าวแก้วเอาไว้ให้ วันมะรืนเอาติดไปด้วยล่ะ เผื่อคนที่แพรทำงานด้วย” มารดาบอกกับลูกสาวที่หอมแก้มอีกครั้ง “ใครๆ ก็อยากเจอแม่เพ็ญของแพร เพราะไอ้เจ้าขนมอร่อยๆ ทั้ง หลายที่ฝากไป หลายคนอยากสั่งซื้อนะคะ แต่แพรกลัวแม่จะเหนื่อยเกินไป ขายแถวๆ บ้านเราไม่ต้องทำเยอะแยะมากมายนัก เน้นแจกเด็กเสียมากกว่า แม่จะได้ไม่เหนื่อยมาก อันที่จริงอ้อนให้เลิกทำก็ไม่ยอมนี่นา” แพรพรรณพูดเสียงอ่อยๆ เพราะมักจะโดนเอ็ดทุกครั้งเรื่องขอให้เลิกขายขนม “สงสารเด็กมันนะ บางคนสตุ้งสตางค์ไม่มีเหมือนคนอื่น วันนี้ชนาหลานลุงคำจ่ายค่าขนมไว้ให้หลายสตางค์อยู่ แม่เลยว่าจะเอาไว้เป็นทุนทำขนมแจกให้เด็กๆ” มารดายิ้มมองออกไปทางหน้าต่าง ซึ่งมองเห็นบ้านของเพื่อนบ้านได้อย่างชัดเจน “ยายชาดำเย็น ใจดีจังนะ” แพรพรรณหัวเราะ เมื่อเห็นมารดาทำหน้าดุและขมวดคิ้วก่อนที่จะส่ายหน้า เมื่อได้ยินลูกสาวตั้งสมญานามให้กับหลานของเพื่อนบ้าน “ดูดู๊ไปเรียกเขาอย่างนั้นได้อย่างไรกัน เราก็นะ” มารดายิ้มให้กับลูกสาวก่อนจะขอตัวไปอาบน้ำอาบท่า “แต่ก็น่ารักนะ แม่” แพรพรรณคิดอยู่ในใจ ไม่ได้พูดออกมาและมองไปทางบ้านของเพื่อนบ้าน ซึ่งแพรพรรณรู้สึกเหมือนเป็นญาติมากกว่า
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD