ตอนที่ 4 : องครักษ์

3041 Words
เพ็ญมองดูชนาซึ่งมายืนรอที่หน้าบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ ไม่คิดว่าเรื่องที่คล้ายพูดกันเล่นๆ ชนาจะจริงจัง เจ้าบ้านจึงออกไปเปิดประตูรั้วเพื่อให้ชนาได้เข้ามาคอยอยู่ภายใน สาวเจ้าพนมมือไหว้ทักทายพร้อมด้วยรอยยิ้มอันแสนสดใส “ทานอะไรมาหรือยังล่ะ เรา” น้าเพ็ญถาม “รอทานขนมเป็นอาหารเช้าค่ะ” ชนาหัวเราะเล็กๆ “โตแล้วนะ ชนา เราน่ะ อาหารเช้าสำคัญ ไปเข้าไปข้างในมีข้าวต้มทานพร้อมกับน้าเสียก็ได้” ชนาเดินตามน้าเพ็ญเข้าไปในบ้าน แต่ ดูท่าทางจะยังไม่มีใครตื่นลงมา โดยเฉพาะลูกและหลานคนเดียวของบ้าน ชนาแอบคิดว่าน่าจะเป็นสาวนอนตื่นสาย คงเป็นเพราะหน้าที่การงานที่รับผิดชอบ “โอ้โห กลิ่นไข่เจียวหอมเข้าไปในห้องนอนเลยค่ะ แม่” เสียงที่ได้ยินทำเอาคนที่แอบนินทารู้สึกผิดขึ้นมาทันที แพรพรรณหยุดชะงักเล็กน้อยไม่คิดว่าจะมีแขกมาแต่เช้าตรู่ จึงพูดเสียงดังและวิ่งตึงๆ ลงบันไดมามองสบตากับชนาเล็กน้อยและแอบแลบลิ้นใส่ไม่ให้มารดาเห็น “ป้าพริ้งบ่นท้องไส้ไม่ค่อยดี แม่เลยทำข้าวต้มกุ๊ยเป็นมื้อเช้าจะได้ทานกันได้ทุกคน ว่าแต่เราเถอะยายแพร ไม่นอนพักต่อสักหน่อยล่ะ ได้ยินป้าพริ้งบอกว่าถ่ายละครดึกๆ มาหลายวันแล้วนี่นา” มารดาพูดด้วยความเป็นห่วงว่าลูกสาวจะเจ็บไข้ได้ป่วยไปอีกคน “สบายมากค่ะ ได้พลังข้าวเหนียวมูลของแม่กับมะม่วงอกร่องสุกแสนอร่อยของลุงคำเข้าไป หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย” แพรพรรณหัวเราะคิกคัก บางทีก็รู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนตะกละอยู่เหมือนกัน เมื่อได้พูดคุยถึงเรื่องอาหารการกิน “ลุงคำได้ยินเข้าคงยิ้มไปสามวันแปดวันเลยนะ” เพ็ญบอก “เดี๋ยวหนูไปบอกให้ค่ะ” ชนานิ่งฟังอยู่นาน อยากมีส่วนร่วมแต่สาวเจ้าท่าทางจะไม่ชอบขี้หน้าสักเท่าไร เพราะสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “อยากได้หน้าล่ะสิ” แพรพรรณพูดพึมพำ ชนาแอบยิ้ม เมื่อเห็นมารดาหันไปทำสายตาดุๆ ใส่ลูกสาว “ตกลงเป็นนางเอก หรือนางอิจฉากันนะ เราน่ะ ยายแพร” มารดาพูดคล้ายดุลูกสาวที่ทำหน้างออยู่ “แม่ลำเอียง ไปดูป้าพริ้งดีกว่า” แพรพรรณเข้าไปสวมกอดมารดาก่อนจะกลับขึ้นไปชั้นบน เพื่อตามป้าทั้งสามสาวมารับประทาน อาหารเช้า แต่เมื่อเห็นสองสาวที่พร้อมออกไปทำงานจึงทำให้ยิ่งเป็นห่วงคนที่ช่วยดูแลและไปไหนมาไหนด้วยมากขึ้นกว่าเดิม แพรพรรณยิ้มจางๆ เดินลงมาทำให้มารดาและป้าทั้งสองของเธอจ้องมองรวมถึงชนาด้วยที่มองเลยไปยังบริเวณชั้นบน เพราะไม่เห็นป้าพริ้งตามลงมาหรืออาจจะเจ็บป่วยไปจริงๆ “ป้าพริ้งท้องไม่ค่อยดีค่ะ บอกว่าขอไม่ลงมาทานอาหารเช้าด้วยให้เราทานกันก่อนได้เลย” แพรพรรณพูดเสียงอ่อยๆ เพราะปกติป้าพริ้งของเธอไม่ค่อยจะมีอาการเจ็บป่วยเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้จนป่านนี้แล้วยังคงนอนอยู่ “พาไปหาหมอดีกว่าไหม ปกติไม่เคยนอนแบบนี้นี่นา นะ ไป” เสียงของป้าพรซึ่งเป็นคุณครูดังขึ้นก่อน ชนาจึงพนมมือไหว้ทั้งสอง ซึ่งป้าพลับเดินตามกันลงมา “เอาน้ำไปเตรียมไว้เยอะๆ ค่อยๆ ดื่มน้ำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ดีขึ้นล้างของเสียออกจากร่างกาย เดี๋ยวก็หาย” ป้าพลับบอก “ไปทานอะไรกันมาล่ะ สองป้าหลานน่ะ” ป้าพรถาม คนเป็นหลาน จึงทำท่าคิด แต่คิดไม่ออก “กองถ่ายละครมีให้ทานเต็มไปหมดเลยค่ะ ป้าพริ้งอาจจะทานอะไรไปตอนท้องว่างมากกว่า แต่เมื่อวานไม่เห็นเป็นนะคะ” แพรพรรณบอก “อยู่บ้านก็ดูแลป้าด้วยก็แล้วกัน หาอะไรให้ทานเสียด้วย อย่ารสจัดมากนักนะ” มารดาพูดกำชับ “หนูตักให้ค่ะ” ชนารับอาสาตักข้าวต้มให้ ผู้ใหญ่ทั้งสามมองแล้วยิ้มๆ กับท่าทีที่ดูออกจะเรียบร้อย เพราะก่อนหน้าคิดว่าไปเรียนเมืองนอกเมืองนาตั้งแต่เด็กอาจจะกระโดกกระเดก แต่ดูจะเรียบร้อยกว่าแพรพรรณเสียอีก “นั่งลง กินเสียด้วยกัน” เสียงเรียบๆ ของป้าพรทำให้ชนาตกใจเล็กน้อย นึกขำตัวเองทำไมถึงต้องตกใจกับการเชื้อเชิญรับประทานอาหารด้วย ชนาถอนใจก่อนจะมานั่งที่เดิมข้างๆ แพรพรรณที่มองดูชามของตัวเอง แล้วหันไปมองสบตากับชนา ซึ่งตักข้าวต้มลงในชามของตัวเองก่อน โดยไม่ ได้สนใจคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่เอื้อมมือไปหยิกขาของชนา แต่เจ้าตัวทำเป็นนิ่งเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร แต่จริงๆ แล้วเจ็บเอาเรื่อง ร้ายกาจอยู่เหมือนกันนะ ไข่ในหินของบ้านหลังนี้ ชนาแอบคิด “ตักเองสิ เราน่ะ” ชนายิ้ม เมื่อเพ็ญบอกกับลูกสาวที่ทำหน้างอเล็กน้อยหันไปจ้องเขม็งยังคนที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ ป้าพลับกับป้าพรส่ายหน้าเพราะดูท่าทางสองสาวจะไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไรนัก “กลับมานานหรือยัง ชนา” ป้าพรชวนพูดคุย “กลับมาเมื่อวานค่ะ” ผู้ใหญ่ทั้งสามหันมามองสบตากัน “มาหาลุงคำเลย ไม่ได้กลับไปหาแม่ก่อนหรือ” ป้าพรถาม “กลับบ้านก่อน เดี๋ยวไม่ได้มาหาลุงคำค่ะ” ชนายิ้มจางๆ แต่ป้าทั้งสองรวมถึงมารดาของแพรพรรณพยักหน้าแสดงถึงความเข้าใจ เพราะพอจะรู้จักมารดาของชนาอยู่บ้าง โดยเฉพาะจากการบอกเล่าของคำรณที่มักเล่าถึงคนที่เป็นน้องสาว เรื่องการเอาแต่ใจตัวเองและชอบบังคับลูก แต่จะว่าไปผู้ใหญ่ทุกบ้านอาจจะคล้ายกัน เพราะแพรพรรณเองก็ดุจดั่งไข่ในหินสำหรับบ้านหลังนี้เช่นกัน “เห็นพี่คำเล่าว่าจะอยู่เที่ยวต่อ ไหงมาโผล่ที่บ้านนอกคอกนาได้ล่ะ” ป้าพรหัวเราะ “อยู่ที่นี่สบายดีออกค่ะ สนุกด้วย ของกินก็เยอะแยะ ไม่ต้องซื้อต้องหา น้าเพ็ญใจดีให้ขนมทานตั้งแต่เด็ก คนแถวนี้ก็น่ารักใจดีนะคะ” ชนายิ้มแต่ทำหน้ายุ่งๆ ให้กับแพรพรรณที่ยังเอื้อมมือหยิกเข้าให้อีกแถมยังแรงกว่าเมื่อสักครู่ แต่ชนาทำนิ่งเฉย เพราะผู้ใหญ่นั่งอยู่ด้วยถึงสามคน “เออยายแพร พรุ่งนี้จะทำอย่างไร ถ้าป้าพริ้งลุกไม่ไหวน่ะ เรามีงานเดินแบบไม่ใช่หรือ” ป้าพลับถามหลานสาวที่ยิ้มๆ “ฉายเดี่ยวสิคะ อันที่จริงแพรไม่อยากรบกวนป้าพริ้งเลยนะคะ ต้องไปนั่งอยู่ด้วยทั้งวัน เหนื่อยแย่ แต่ป้าพริ้งไม่ยอม” แพรพรรณพูดขึ้น “จะไปได้อย่างไรคนเดียว วงการมายาชื่อมันก็บอกอยู่แล้ว ป้าพริ้งยอมให้ไปทำงานก็เพราะคิดว่าจะตามไปดูแลเราได้ ไม่อย่างนั้นอย่าได้คิดเลยยายแพรเอ๊ย” ป้าพรหัวเราะกับสิ่งที่ได้ยินป้าพลับที่เพิ่งพูดไป เพราะฟังดูคล้ายกับคนที่หวงหลานมีเพียงป้าพริ้งคนเดียวเท่านั้น “พูดเหมือนไม่ห่วงยายแพรเลยนะ พี่พลับ” ป้าพรยิ้ม “ไม่ห่วง แต่หวงย่ะ ใครๆ ก็รู้ แล้วเธอล่ะยายพร ไม่หวงหรือไง” “ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ได้ดื้อดึงอะไร แต่อีกหน่อยจะดื้อไหมล่ะเราน่ะ ยายแพร” ป้าพรถามกึ่งพูดดักคอเอาไว้ เพราะหน้าตาสะสวยระดับนางเอกละครเรื่องหนุ่มๆ มาวอแวน่าจะมีไม่น้อย แต่เมื่อป้าพริ้งไปด้วยทุกคนก็หายห่วง แต่หากไปทำงานตามลำพังมีหวังไม่ได้กินไม่ได้นอนแน่ “โอ้โห ถามซะขนาดนี้” แพรพรรณยังพูดไม่ท่านจบ “ดื้อแน่นอนค่ะ” ชนาพูดแทรกขึ้นทำให้ทุกคนยิ้มและหัวเราะเล็กๆ เมื่อเห็นแพรพรรณหันไปทำหน้าดุใส่ชนา “ยายชาดำเย็น เดี๋ยวจะโดน” แพรพรรณพูดงึมงำเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่ชนาที่หัวเราะหึๆ และยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตักข้าวต้มใส่ปากเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เออว่าแต่ว่า เราน่ะ มากินข้าวเช้าบ้านเขาทำไม” แพรพรรณถาม “มาช่วยแม่ของนางเอกไง ช่วยขนของ ช่วยขับรถ ช่วยขายของด้วย” ชนาพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนเด็กรายงานผู้ใหญ่ทำเอาคนที่ได้ยินอดที่จะขำไม่ได้ เพราะปกติไม่ค่อยมีใครได้ต่อปากต่อคำกับแพรพรรณสักเท่าไรนัก ด้วยเพราะลูกอ้อนที่มีมากมายเสียจนผู้ใหญ่ทั้งบ้านตามใจ “เดี๋ยวจะไปฟ้องลุงคำให้ไล่กลับกรุงเทพฯ ไปเลย” แพรพรรณพูดแล้วทำหน้างอ “ทะเลาะกันเป็นเด็กเลยสองคนนี้ เวลาทานข้าวห้ามทะเลาะกันนะ เดี๋ยวได้โดนไม้เรียวทั้งสองคน” เพ็ญทำเสียงเข้มใส่ทั้งแพรพรรณและชนา แพรพรรณยิ้มชำเลืองมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เพราะท่าทางจะเอร็ด อร่อยกับอาหารง่ายๆ แต่เท่าที่ทราบมา ชนาเพิ่งกลับจากต่างประเทศคงจะโหยหาความอร่อยของอาหารบ้านเกิดเมืองนอน แพรพรรณยิ้มๆ ตักไข่เจียวใส่ให้ในชามข้าวต้ม เพราะจานไข่เจียวอยู่ไกลและไม่เห็นชนาตัก รอยยิ้มของคนที่เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยทำให้รู้สึกสุขใจ แพรพรรณรู้สึกอย่างนั้น “ขอบคุณค่ะ” ชนาพูดเสียงแผ่วเบา ผู้ใหญ่ที่นั่งร่วมรับประทานยิ้มกับความน่ารักของแพรพรรณ ถึงแม้จะช่างต่อปากต่อคำ แต่ยังคงทำหน้าที่เจ้าบ้านได้เป็นอย่างดี จะว่าไปแขกที่ร่วมโต๊ะอยู่ก็แสบไม่เบาอยู่เหมือนกัน “มันเป็นหน้าที่ของเจ้าบ้านค่ะ” แพรพรรณหัวเราะหึๆ เมื่อเห็นชนายิ้มด้วยรอยยิ้มกวนๆ ก่อนพยักหน้าเหมือนชวนท้ารบ “นึกว่ามีน้ำใจ เชอะ” ชนาอมยิ้ม แต่แพรพรรณหัวเราะออกมา “ดีกันได้ประเดี๋ยวเดียว ไปทำงานดีกว่า” ป้าพลับกับป้าพรยิ้มๆ ส่ายหน้ากับสองสาวที่ยิ้มให้และรีบพนมมือไหว้ในทันที ชนาเป็นคนรวดเร็วปรู๊ดปร๊าดรีบวิ่งตามไปเปิดประตูรั้วให้ “ขอบใจนะ ยายชาดำเย็น” ชนายืนหัวเราะ เพราะท่าทางชื่อชาดำเย็นอาจจะเหมาะกับตัวเธอ ป้าทั้งสองจึงเรียกตามหลานสาว ชนายืนมองดูรถยนต์สองคันที่ขับตามกันออกไป เมื่อผ่านบ้านของคำรณเสียงแตรรถยนต์ดังขึ้น พลับกับพรปฏิบัติเช่นเดียวกับเพ็ญด้วยการทักทายเพื่อนบ้านเพียงคนเดียวอย่างคำรณ “หล่อเลย ลุงคำ สาวๆ ทักทั้งเช้าทั้งเย็น” ชนารำพึงออกมาเบาๆ ก่อนหน้ารู้สึกกังวลระคนเป็นห่วงลุงคำ เพราะทราบว่า ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง มารดาของชนาพยายามชวนหลายครั้งหลายคราให้ไปอยู่ด้วยกัน แต่ปฏิเสธมาตลอดหลายสิบปี ภาพที่ได้เห็นทำให้ชนาเข้า ใจ เพราะไม่ใช่แค่ป้าพริ้งเท่านั้น แต่ลุงคำคงถือว่า มีน้องสาวอีกหลายคนเป็นเพื่อนบ้าน แถมหลานจอมแสบอีกหนึ่ง ชนาหัวเราะเมื่อนึกถึงความกวนและแสบของแพรพรรณ “เป็นบ้าเหรอ ยืนยิ้มคนเดียวมองทุ่งนาน่ะ” แพรพรรณถาม “เคยโดนคนบ้าบีบคอไหม ตำรวจไม่จับด้วยนะ” ชนาบอก “โห ด็อกเตอร์อะไรใช้กำลัง ขอบคุณนะที่มาเปิดประตูให้” “ตอนนี้เป็นคนขับรถ เลิกเป็นด็อกเตอร์ ไม่ได้อยากเป็นตลอดเวลาสักหน่อย ก็แค่หัวโขนเท่านั้นแหละ” ชนาบอก แพรพรรณยิ้มกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะพอจะดูออกว่า สาวที่เป็นหลานของเพื่อนบ้านนั้นคงไม่ได้จัดอยู่ในพวกคุยโวโอ้อวดเหมือนหนุ่มที่กำลังขับรถมาโน่น “บอกให้หน่อยว่า แพรไม่อยู่” แพรพรรณรีบเดินเข้าบ้านไป มารดามองดูอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่เมื่อเห็นรถสปอตสีแดงคันที่กำลังจอดหน้าบ้านทำให้พอเข้าใจในความรีบร้อนของลูกสาว ชนายืนมองดูชายหนุ่มที่ทำ ท่าเหมือนอยากให้เปิดประตูรั้วให้ แต่ชนากลับยืนเฉยรอฟังคำสั่งเจ้าบ้าน “ไอ้บ้าเอ๊ย คนงานบ้านนี้ยังไงกันนะ” ชายหนุ่มรีบลงมาจากรถหลังจากพูดบ่นและเดินไปพนมมือไหว้มารดาของแพรพรรณ “สวัสดีครับ แม่” พฤกษ์ คือ เจ้าของรถยนต์คันหรู ซึ่งหันมาจ้องมองชนาเพราะไม่ค่อยพอใจที่ไม่ยอมเปิดประตูรั้วให้ “ยายแพรต้องดูแลป้าพริ้ง เลยรีบเข้าบ้านไปก่อน พ่อหนุ่มมีอะไรหรือไม่ล่ะ” เพ็ญบอกกับพฤกษ์ ซึ่งมองเข้าไปในตัวบ้านก่อนจะมองสบตากับชนาที่จ้องเขม็งอยู่ “ถ้าอย่างนั้นผมฝากดอกไม้ไว้ให้ก็แล้วกันครับ เดี๋ยวผมโทรฯ คุยกับแพรเอง” ชายหนุ่มรีบวิ่งไปที่รถยนต์และกลับมาพร้อมดอกไม้ช่อใหญ่ “หล่อ รถหรู ดอกไม้ช่อยักษ์ จะวิ่งหนีทำไมกันนะ ยายตัวแสบ” ชนาคิดอยู่ในใจและเปิดประตูออกไปรับช่อดอกไม้แทนน้าเพ็ญ แต่ชายหนุ่มแสดงท่าทางกวนๆ โดยยื้อช่อดอกไม้เล็กน้อย พร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากซึ่งไม่น่าดูสักเท่าไรในความรู้สึกของชนา “ประคองดีๆ นะ เธอ ของมันแพง จับเบาๆ ด้วยล่ะ จะช้ำหมด” สิ่งที่ได้ยินทำเอาชนาถอนใจ “เดี๋ยวจะค่อยๆ เดินเบาๆ เอาไปให้นายหญิงนะคะ คุณ” ชนาพูดต่อปากต่อคำทำเอาเพ็ญต้องกลั้นหัวเราะเอาไว้ “ลาล่ะครับแม่ เอาไว้ผมจะมาขออนุญาตรับแพรไปทานข้าวนะครับ” ชายหนุ่มพูดจบก็พนมมือไหว้และรีบกลับไปขึ้นรถ ขับออกไปอย่างรวดเร็ว ชนามองตามแล้วส่ายหน้า “ยายตัวแสบเอ๊ย ถ้าชอบตาคนนี้เข้าล่ะก็ เฮ้อ” ชนารำพึงออกมาเบาๆ โดยลืมไปว่า เพ็ญมารดาของแพรพรรณยืนอยู่ใกล้ๆ และยิ้มๆ กับการพูดถึงลูกสาวของท่าน รวมถึงชายหนุ่มที่เพิ่งขับรถออกไป “ถ้ายายแพรสนใจคงไม่วิ่งหนีเข้าบ้านไปจนแทบจะชนน้าหรอกนะ ชนา” เพ็ญบอกและเดินกลับเข้าไปยกของนำมาใส่ในรถยนต์เพื่อเตรียมตัวไปขายขนมที่ตลาด “ดอกไม้ช่อยักษ์นี่ล่ะคะ น้าเพ็ญ” ชนาถาม มองดูช่อดอกไม้ไม่รู้ว่าต้องค่อยๆ ประคองเอาไปให้สาวเจ้าหรือไม่ “ทิ้งขยะหน้าบ้านนั่นแหละ” เพ็ญหัวเราะก่อนจะเดินเข้าบ้านไป “โอ้โห แม่บอกให้ทิ้งขยะ ลูกจะว่าอะไรหรือเปล่าว๊ะเนี่ย” ชนามอง ดูและรั้งรอเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงคนที่รีบวิ่งเข้าบ้านไปก่อนก็ยิ้มออกมา หากไปถามเรื่องช่อดอกไม้คงจะพูดแบบเดียวกับมารดา ชนาส่ายหน้าแอบเสีย ดายแทน ราคาค่าดอกไม้คงจะหลายสตางค์อยู่ ชนายิ้มและรีบเข้าไปช่วยเพ็ญยกของเพื่อเตรียมไปขาย ชนาถอนใจกับการจราจรของเมืองกรุง ถึงแม้จะไม่ใช่ช่วงเวลาเร่ง ด่วน แต่รถราใช่ว่าจะน้อย ถ้าหากต้องเดินทางไปกลับท่าทางน่าจะเหนื่อยสาหัสอยู่เหมือนกัน ชนาแอบมองคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง ซึ่งก่อนออกรถมาคิดว่าจะหลับ แต่กลับนั่งเงียบมาตลอดทาง ชนายิ้มน้อยๆ และหันไปตั้งใจขับรถเพราะอีกนิดเดียวก็จะถึงโรงแรมที่จัดงานแฟชั่นโชว์แล้ว “เฮ้ย กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” เสียงทักทายนั้นได้ทำเอาทั้งชนาและแพรพรรณรีบหันมา ชนาพนมมือไหว้และยิ้มแหยๆ ให้ “กลับมาได้สองวันแล้วค่ะ” ชนาพูดเหมือนรู้สึกผิด แพรพรรณยิ้มและพนมมือไหว้สาวเจ้าของโรงแรม ซึ่งท่าทางจะสนิทสนมกับชนา “แล้วทำไม” พระพายไม่เคยรู้มาก่อนว่า ชนาซึ่งเป็นรุ่นน้องที่สนิทและนับถือกันเป็นพี่เป็นน้องรู้จักกับแพรพรรณ ซึ่งนางแบบสาวที่ช่วงหลังๆ รับงานเดินแบบน้อย หลังจากได้ยินข่าวว่าไปเป็นนางเอกละคร “เรื่องยาวไว้จะเล่าให้ฟัง ขอไปทำตัวเป็นองครักษ์ เอ๊ะเด็กรับใช้ หรือผู้จัดการส่วนตัวดี อันหลังดูดีหน่อย” ชนาหัวเราะ เมื่อเห็นแพรพรรณทำหน้าเรียบนิ่งจ้องมองอยู่ พระพายยิ้มมองดูชนาที แพรพรรณทีที่ดูแปลกๆ “ต้องเป็นอะไรสักอย่างแหละ ใช่ไหมคะ แพร” พระพายยิ้มกว้างขึ้นเมื่อเห็นพิมพ์พลอยเดินเข้ามาสมทบ สองสาวจูบทักทายกันทำเอาสองสาวที่ยืนมองอยู่ยิ้มๆ กับท่าทางน่ารักของสองสาวรุ่นพี่ “แพรเข้าไปเตรียมตัวก่อน ชาดำ เอ๊ยไม่ใช่สิ ชนาคุยกับพี่ไต้ฝุ่นก่อนก็ได้นะ” แพรพรรณยิ้มน้อยๆ หันไปหยิบของใช้ส่วนตัว แต่ชนารีบหันไปก่อนและถือของเอาไว้ทั้งหมด พยักหน้าให้แพรพรรณเดินนำไป แต่เจ้าตัวออกท่าทางงอแง จนกระทั่งยอมให้ช่วยถือของ อีกสองสาวหันมายิ้มให้กันแล้วหันไปมองชนากับแพรพรรณ ซึ่งโค้งให้เล็กน้อยเป็นการขอตัว ชนาทำท่ายกไม้ยกมือคล้ายเป็นการบอกว่าจะโทรฯ หา “เปลี่ยนองค์รักษ์ ไม่ใช่ป้าพริ้ง แสดงว่าน้องชนาของไต้ฝุ่นต้องได้รับความไว้วางใจเป็นอย่างมากเลยนะ” พิมพ์พลอยยิ้มกุมมือพระพายเดินตามสองสาวเข้าไปภายใน “ก็ผู้หญิงด้วยกันนี่คะ” พระพายบอก “แล้วไง ที่ยื่นอยู่นี่ ก็ผู้หญิงด้วยกันหรือเปล่า” พิมพ์พลอยหัวเราะคิกคัก “อย่าบอกนะว่า คิดว่าไอ้สองคนนั้น” พระพายทำตาลุกวาว “พวกเดียวกัน ดูไม่ยาก” พิมพ์พลอยหัวเราะ จับมือพระพายเดินเข้าไปยังบริเวณห้องจัดงาน ซึ่งอีกไม่นานนักจะมีงานเดินแฟชั่นโชว์การกุศล และผู้จัดงาน ก็คือ มารดาของพระพาย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD