EP.05

1273 Words
      กลุ่มควันสีขาวที่เกิดจากเปลวไฟกำลังเผาไหม้ร่างของพ่อ นั่นคือเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ อีกทั้งข่าวการตายของพ่อที่กระพือไปทั่วประเทศไทยและขจรไกลไปอีกฟากโลกก็ไม่อาจมีใครเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปอีกนานเท่าไร อีก 10 ปี 20 ปี หรืออีก 30 ปี โลกโซเชียลเน็ตเวิร์คที่ไวกว่าไฟลามทุ่งก็จะทำให้ข่าว...            ‘หม่อมเจ้าพงศกร วรเวชเดชากร ตายคาอกหม่อมเพราะใช้ไวอากร้าเกินขนาด’ จะยังถูกพูดถึงไปตลอดกาล            “คุณชายครับ เรื่องพินัยกรรมของท่าน”            ดวงตาคมเข้มของ ‘หม่อมราชวงศ์ธีรดนย์ วรเวชเดชากร’ มีแววกร้าวขึ้นเล็กน้อยก่อนจะปรับให้เป็นปกติดังเดิม เขาไม่ได้อยากฟังเรื่องพินัยกรรมในเวลานี้ เพราะร่างของพ่อยังเผาไม่หมดซะด้วยซ้ำ แต่เพราะทนายวีระเดชนั้นเป็นทนายประจำตระกูลและเป็นเพื่อนสนิทของพ่อ เขาจึงไม่ควรแสดงกิริยาไม่เหมาะสมออกไป อีกทั้งฐานันดรที่แบกอยู่บนบ่าตั้งแต่เกิดก็สอนสั่งให้เขาเก็บอารมณ์            “ไว้คุยกันวันอื่นได้มั้ยครับคุณลุง”            ทนายวีระเดชชำเลืองมองใบหน้าเคร่งขรึม นึกเห็นใจคุณชายธีรดนย์ที่สุด เพราะคุณชายไม่ควรต้องมาพบเจอกับเรื่องราวแบบนี้เลย เขารับรู้เรื่องราวในวงศ์สกุลนี้เป็นอย่างดี เพราะเป็นทนายประจำตระกูลและเป็นเพื่อนร่วมเรียนหนังสือกับหม่อมเจ้าพงศกร ครั้งที่ท่านไปเรียนต่อปริญญาตรีที่อังกฤษ จนได้พบรักกับหม่อมคัทรียา จนถึงวันที่หม่อมเจ้าพงศกร พาสาวงามจากบ้านป่ามาสู่วัง ไม่นานหลังจากนั้นหม่อมคัทรียาก็หอบคุณชายธีรดนย์บินลัดฟ้าจากไป            จากวันนั้นจนถึงวันนี้ คุณชายธีรดนย์ได้กลับมาเยือนเมืองไทยในฐานะของทายาทวรเวชเดชากร ก็คือวันที่ท่านสิ้นแล้ว และท่านก็จากไปอย่างไม่ปกติ คนเป็นลูก แม้จะไม่ได้ผูกพันกันสักเท่าไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ยากที่จะยอมรับได้โดยง่าย และจากสายตาคมเข้มที่พุ่งตรงไปยังศาลาด้านในก็ทำให้เขาเดาได้ว่าคุณชายธีรดนย์อยู่ในห้วงอารมณ์ใด            เพราะเธอคนนั้นนั่งหน้าเศร้าและถือผ้าเช็ดหน้าไว้ซับน้ำตาตลอดเวลา น้ำตาจะมีจริงไหมเขาไม่รู้ รู้แต่ว่าภายใต้ใบหน้าสวยงามที่สวมแว่นตาดำบดบังไว้จนเกือบครึ่งหนึ่งของใบหน้านั้น เขาไม่อาจเห็นสายตาของเธอ บางทีเธออาจกำลังสมใจอยู่ก็ได้ใครจะรู้ เพราะวันเปิดพินัยกรรมถูกกำหนดไว้แล้ว นั่นคือ หลังฌาปนกิจศพและตามดุลพินิจของทนาย ซึ่งนั่นคือตัวเขาเอง            “เขารีบเหรอครับ” ธีรดนย์ถามพลางหันมาสบสายตาทนายสูงวัย และสายตาที่ตอบกลับมาก็หมายความตามนั้น            “จะรอให้ศพไหม้หมดก่อนไม่ได้เชียวเหรอครับ ทำไมต้องรีบมากขนาดนั้น ในเมื่อเขาก็เป็นภรรยาของท่านอย่างถูกต้องตามกฎหมายอยู่แล้ว ผมสิ คือคนที่ต้องรีบ ใช่ไหมครับคุณลุง”            น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยถาม แต่คนฟังก็รู้ว่านั่นคือการแสดงออกที่มากสุดแล้ว เพราะคุณชายธีรดนย์ขึ้นชื่อเรื่องความเคร่งขรึม เมื่อไม่พอใจก็มีเพียงสายตาเท่านั้นที่จะแสดงออก และสำหรับเขา หากไม่เพราะหม่อมสุดาวดีเร่งเร้า เขาก็จะไม่ทำแบบนี้เด็ดขาด            “มีเรื่องคดีความน่ะครับ หม่อมท่านเลยอยากให้คุณชายกำหนดวันเปิดพินัยกรรมให้เรียบร้อย หม่อมท่านจะได้รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไป เพราะตอนนี้ข่าวก็ดังไปทั่วประเทศ เอ่อ... หม่อมท่านก็ทำตัวลำบากน่ะครับ”            คำอธิบายของทนายประจำตระกูลไม่ต่างจากน้ำมันที่สาดใส่กองไฟ เพราะนั่นน่ะมันเกิดขึ้นจากเธอไม่ใช่เหรอ ความอัปยศที่เกิดแก่วงศ์ตระกูล ไม่ต่างจากโคลนตมที่เปื้อนเปรอะผ้าขาว แม้จะซักออกไม่ทิ้งรอย แต่ก็อาจทิ้งกลิ่น และแม้ไม่มีกลิ่น แต่ผ้าก็ถูกขยี้จนใยแห่งความบริสุทธิ์เสียหาย ไม่มีสิ่งใดจะล้างมลทินเหล่านั้นได้ ไม่มีใครจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว เช่น ร่างที่กำลังถูกเผาไหม้ให้มอดเหลือเพียงเถ้า ก็ไม่มีใครทำให้ท่านฟื้นคืนมาได้เช่นกัน            “แล้วใครใช้เขาทำแบบนั้นล่ะครับคุณลุง กลางวันก็ยัง... ไม่เว้น”            น้ำเสียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเปล่งออกไป เพราะความน่าอดสูนั้นมันฟ้องอยู่บนสภาพศพของพ่อ หลังจากได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากเมืองไทยว่าพ่อเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน เขาก็รีบมาอย่างเร่งด่วน! นึกสงสารเธอคนนั้นอยู่มากที่จู่ๆ ก็มาเป็นม่ายกะทันหัน แต่กลับกลายเป็นว่าข่าวอัปยศอดสูเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เขาจดฝ่าเท้าก้าวสู่ประเทศไทย            ความสงสารจึงแปรเปลี่ยนเป็นความแค้น แต่จะแค้นด้วยเรื่องอะไรล่ะ เรื่องนั้นเขาแค้นเธอได้เหรอ เรื่องความต้องการตามธรรมชาติของมนุษย์ ความต้องการจะได้รับการปลดเปลื้อง แต่หากมันมากไปล่ะ เธอหรือพ่อ ที่เป็นคนผิดกัน ใครกันแน่ที่ความมากล้นนั้นเติมเต็มไม่พอ จนทำให้พ่อต้องใช้ยา...            สภาพศพของพ่อที่เขามองผ่านจากบานกระจกของโลงเย็นดูเหมือนว่าพ่อจะแค่นอนหลับไปเฉยๆ เพราะร่างกายของท่านไม่มีบาดแผลใดๆ แต่สภาพศพที่ถ่ายจากสถานที่เกิดเหตุ รวมทั้งคำให้การจากพยานซึ่งก็คือคนงานในวังของพ่อ ทั้งหมดนั่นเขาแค้นเธอได้ไหม เพราะแม้จะพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครผิดใครถูก แต่ผู้ร่วมกระทำที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงคนเดียวก็คือผู้ต้องหาไม่ใช่เหรอ เธอควรต้องร่วมรับผิดชอบที่สร้างความอัปยศนั้นขึ้นมา            พ่อซึ่งเป็นหม่อมเจ้าผู้สูงศักดิ์แต่ต้องมาเสื่อมเสียชื่อเสียงเอาในวันตายเมื่อสาเหตุการตายนั้นคือ หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน จากการใช้ยาไวอากร้าร่วมกับยารักษาโรคหัวใจ ฤทธิ์ยาที่ไปเสริมกัน ไม่ต่างกับกินไวอากร้าเข้าไปหลายเม็ดพร้อมๆ กัน และหลักฐานที่พบเพิ่มเติมก็คือ ท่านมียาประเภทนี้อยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานหลายแผง            หลักฐานจากสถานที่บ่งชี้กิจกรรมของท่านกับเธอคนนั้น รวมพยานในที่เกิดเหตุที่ระบุว่าท่านกับหม่อมมีกิจกรรมเรื่องนี้กันตลอด ไม่ว่าจะเช้า สาย บ่าย เย็น หรือว่ากลางคืน จนคนงานทุกคนรู้กันดีว่า หากท่านอยู่กับหม่อม 2 ต่อ 2 เมื่อไร นั่นคือทุกคนจะถูกกันให้ห่างจากตัวตึก            ทว่าในวันเกิดเหตุ เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของหม่อมกลับทำให้คนงานทุกคนต่างวิ่งกรูเข้ามา และภาพที่เห็นก็คือ หม่อมซึ่งอยู่ในร่างเปล่าเปลือยกรีดร้องจนเป็นลม กับท่านที่ช็อคตาค้าง มือเท้าเกร็งไปทั้งร่าง ในสภาพเปลือยเปล่าไม่มีเสื้อผ้าติดกายสักชิ้นไม่ต่างจากหม่อม ภาพที่มองออกว่าคนทั้งคู่ร่วมกิจกรรมกันจนอีกฝ่ายหนึ่งหัวใจวาย และแม้จะเรียกรถพยาบาลมาก็ไม่ทันเสียแล้ว อย่างนี้เธอยังกล้ามาร่ำร้องให้เขานัดเปิดพินัยกรรมอีกเหรอ            “ผมไม่ต้องการอะไรจากท่าน พรุ่งนี้หลังจากเก็บกระดูกเสร็จ ผมจะบินกลับทันที รบกวนคุณลุงจัดการตามที่เธอต้องการด้วยนะครับ”            “ไม่ได้นะครับคุณชาย” 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD