มิติลึกลับ

1794 Words
จางเฟยอีพาน้อง ๆ กลับไปที่ห้อง แล้วก้มลงหยิบหีบไม้ใบหนึ่งที่วางไว้ใต้เตียงออกมา นางนำเงินออกจากหีบไม้เก่าใบนั้นออกมานับ จางเฟยอีคนเก่าไม่เคยเปิดดูเงินในหีบนี้มาก่อนเลยเพราะมารดาสั่งไว้ว่านี่เป็นสินเดิมที่ต้องใช้ยามออกเรือน ในหีบมีแต่เงินอีแปะนับรวมได้ 2 ตำลึงเงิน กับอีก 345 อีแปะ ซึ่งเป็นเงินที่มารดาของนางค่อยๆ สะสมมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา "ยังดีที่มีเงินก้อนนี้อยู่ คราวนี้ก็พอจะมีหนทางบอกกับผู้อื่นถึงที่มาของสิ่งต่างๆที่ฉันจะนำออกมาจากมิติได้" เมื่อคืนนอกจากจะได้สำรวจตัวเองกับคนรอบข้างโดยอาศัยความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมแล้ว ความหิวทำให้นางคิดถึงซาลาเปาที่นางซื้อมาจากร้านแผงลอยหน้าร้านขายยาหลายสิบลูก โดยตั้งใจจะนำมาแบ่งให้คุณลุงข้างบ้าน เขามีหลานอายุน้อยถึงห้าคนเลยเชียว เมื่อนึกถึงภาพของซาลาเปาลูกสีขาวอวบอ้วนที่วางอยู่ในถุงบนโต๊ะอาหาร ทันใดซาลาเปาลูกหนึ่งก็ออกมาปรากฏอยู่ในมือของนาง จางเฟยอีรีบกินซาลาเปาลูกนั้นทันทีด้วยความหิวจากนั้นก็ทดลองหยิบน้ำอัดลมที่อยู่ในตู้เย็นออกมาอีกหนึ่งกระป๋อง น้ำอัดลมก็ออกมาอยู่ในมือของนางอีกเช่นกัน เวลานั้นจางเฟยอีมั่นใจแล้วว่าตนเป็นคนที่ทะลุมิติมายังยุคโบราณ เหมือนดังนิยายที่เคยอ่านมาหลายเรื่อง นางทดลองนำของชิ้นเล็กใหญ่หลายขนาดออกมาและใส่กลับไปเก็บไว้ที่เดิมได้อย่างคล่องแคล่ว นางพบว่าภายในมิตินี้ไม่ใช่มีแต่พื้นที่บ้านของตนเพียงเท่านั้น แผงลอยซาลาเปา ร้านขายยา ร้านต้นไม้ ร้านเครื่องดินเผา ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านจำหน่ายอุปกรณ์ทางทหาร ต่างก็ปรากฏออกมาในความคิดของนาง ซึ่งทุกร้านเป็นร้านที่ตนเองได้ไปที่นั่นในวันเดียวกับที่นางเสียชีวิตนั่นเอง .......... “น้องรอง น้องเล็ก มากินซาลาเปานี่ก่อน” จางเฟยอีหยิบซาลาเปาลูกโตออกมาสองลูกยื่นให้น้องชายทั้งสองคน “พี่ใหญ่เอามาจากไหนขอรับ” จางเฟยหรงรับซาลาเปามาไว้ในมือแล้วเอ่ยปากถามพี่สาวอย่างร้อนรน เขากลัวว่าพี่สาวของเขาจะแอบขโมยอาหารของผู้อื่นมา “น้องรองเจ้ารีบกินเสีย ข้าไม่ได้ขโมยมาจากผู้ใดหรอก ไว้แยกบ้านแล้วข้าจะเล่าให้เจ้าฟังทั้งหมด เวลานี้อย่าเพิ่งให้คนอื่นเห็นว่าพวกเรามีอาหารก็แล้วกัน” จางเฟยเทียนพยักหน้าแข็งขัน พี่สาวบอกไม่ให้พูดเขาก็จะไม่มีวันพูดออกมา รีบกัดกินซาลาเปาอย่างรวดเร็ว “พี่ใหญ่ เจ้าซาลาเปานี่มันอร่อยมากเลยขอรับ ข้าไม่เคยกินอาหารที่อร่อยเช่นนี้มาก่อนเลย” จางเฟยเทียนเบะปากร้องไห้ไป เคี้ยวซาลาเปาในปากไป พี่สาวดีจริงๆ มีของอร่อยเก็บไว้ให้เขาด้วย “พี่ใหญ่มีอาหารอร่อยๆ ให้เจ้ากินอีกมากมายเลย แต่เจ้าจะบอกกับผู้ใดไม่ได้เด็ดขาดเลยนะเฟยเทียน หากผู้อื่นรู้เขาจะมาขโมยอาหารและทำร้ายพวกเรา” สองเด็กชายพยักหน้ารับคำหนักแน่น รีบกินซาลาเปาจนหมด จากนั้นทั้งสามพี่น้องก็พากันออกมาช่วยทำงานบ้าน ป้าสะใภ้รองที่ต้มข้าวเพิ่งจะเสร็จก็เรียกทุกคนให้ช่วยกันยกอาหารออกไป หากจะกล่าวว่าช่วยกันยกอาหารก็ออกจะผิดไปอยู่บ้างเพราะอาหารของคนทั้งบ้านนั้นมีเพียงสองอย่างก็คือผักป่า และมันเทศต้ม กับข้าวต้มที่มีน้ำมากกว่าข้าวอีกครึ่งหม้อ บ้านสกุลจางมีลูกหลานหลายคน ท่านลุงใหญ่มีบุตรสามคนคือ จางจื่อฉีบุตรชายอายุ 18 ปี จางจื่อเหมยบุตรสาวอายุ 16 ปี และจางจื่อเจี้ยนบุตรชายอายุ 14 ปี ท่านลุงรองมีบุตรสี่คนคือ จางลี่จิ่นบุตรชายอายุ 16 ปี จางลี่หมิงบุตรชายอายุ 8 ปี จางลี่เจี๋ยบุตรสาวอายุ 5 ปี และจางลี่หลินอายุ 3 ปี รวมบ้านสามเข้าไปด้วยเท่ากับว่ามีหลานชายทั้งหมด 6 คน และหลานสาว 4 คน “เห้อ….หลานสิบคน ผู้ใหญ่ห้าคน หากท่านพ่อท่านแม่ยังอยู่เท่ากับว่าบ้านสกุลจางนี้มีสมาชิกทั้งหมด 17 คน เฉพาะอาหารการกินในแต่ละวันหากจะกินให้อิ่มท้องก็มากมายมหาศาลแล้ว ไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะยากจน” สามพี่น้องบ้านสามต่างก็กินซาลาเปาลูกโตกันอิ่มจนกินเพิ่มอีกไม่ได้แล้ว จางเฟยอีซึ่งปกตินอกจากที่ต้องดูแลน้องชายจางเฟยเทียนที่อายุ 5 ขวบแล้ว ก็มีจางลี่เจี๋ยและจางลี่หลินบุตรสาววัยเยาว์ของลุงรองอีกสองคนที่นางต้องคอยช่วยเลี้ยงอีกด้วย นางและจางเฟยเทียนแบ่งข้าวต้มส่วนของตัวเองให้กับน้องสาวทั้งสองคน ส่วนจางเฟยหรงก็เทข้าวต้มส่วนของตัวเองให้กับจางลี่หมิงที่สนิทสนมกันดีกับเขา “แล้วเจ้าไม่หิวหรือเฟยหรง” จางลี่หมิงมองไปยังญาติผู้พี่ที่วัยใกล้เคียงกันด้วยแววตาเศร้าหมอง เขาทั้งสองคนมักจะออกไปหาฝืนเก็บผักด้วยกันตลอด หลายครั้งที่เป็นลมหมดแรงไปด้วยความหิว ต้องผลัดกันพยุงผลัดกันลากตัวของอีกฝ่ายกลับมาบ้านเป็นประจำ “วันนี้ข้าตื่นเต้นจนไม่หิวน่ะ พวกเราจะย้ายไปอยู่บ้านเดิมของท่านย่าแล้ว ข้าจะมีห้องนอนส่วนตัวของข้าเองเลยนะลี่หมิง หากเจ้าอยากไปเที่ยวเล่นบ้านข้าก็ไปนอนกับข้าได้เลย” จางเฟยหรงคิดอย่างที่พูดจริงๆ เขาตื่นเต้นมากเมื่อนึกถึงห้องนอนที่จะเป็นของเขาเพียงคนเดียว เขาเคยเข้าไปดูบ้านเก่าของท่านย่ามาแล้ว ถึงแม้จะเก่าทรุดโทรม แต่ก็ยังดีกว่าต้องนอนรวมกันสามคนในห้องเล็กๆ ที่บ้านใหญ่ของท่านปู่มากนัก นางไป๋ซื่อสะใภ้รองมองดูเหตุการณ์อยู่แล้ว แม้จะพอใจที่บุตรทั้งสามคนของตนเองจะได้มีข้าวเพิ่มมาอีกส่วนหนึ่ง แต่ก็อดเบ้ปากเหน็บแนมตามประสาคนปากมากไม่ได้ “เหอะ!! นับว่าพวกเจ้ายังรู้ความ กินอยู่สุขสบายในบ้านสกุลจางมานานหลายปี คราวนี้ได้แสดงความกตัญญูออกมาเสียบ้างแล้ว” “พูดมากอะไรของเจ้า รีบกินๆ เข้าไปเสีย” จางอู่เกินตำหนิลูกสะใภ้คนรองอย่างรำคาญใจ “ข้าพูดเรื่องจริงอยู่ต่างหากล่ะเจ้าคะ สี่ปีแล้วที่พวกเราทุกคนต่างก็ต้องออกไปทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ แม่หลานสาวคนดีของพวกท่านแม้แต่ต้นข้าวก็ยังไม่รู้จักเลยกระมัง ข้าต้องมาทนเลี้ยงดูตัวไร้ประโยชน์ไว้ถึงสามคน ท่านจะไม่ให้ข้าเอ่ยปากบ้างเลยหรือไร” จางอู่เกินนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมา ไม่ใช่ว่าเขาจะเห็นด้วยกับนางไป๋ซื่อ แต่เป็นเพราะหากยิ่งพูดต่อคำต่อความกับนาง นางจะโวยวายตีโพยตีพายไม่ยอมหยุด พอถึงเวลานั้นมันจะกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญมาก คนในบ้านจึงมักจะปล่อยให้นางพร่ำวาจาไร้สาระตามใจนางทุกครั้งไป อีกเดี๋ยวนางก็จะหยุดไปเอง แต่ไม่ใช่กับจางเฟยอีคนนี้ นางในชีวิตก่อนหน้านี้เสียคนในครอบครัวทั้งหมดไปตั้งแต่อายุ 12 ปี สมบัติที่เธอได้รับนั้นมากมายจนดึงดูดให้มีญาติพี่น้องห่างๆ เข้ามาหาทางเอาเปรียบทุกวี่วัน คำพูดประจบเอาใจ มาดีมาร้าย นางเจอมาทุกรูปแบบ และรู้ดีว่าคนบางคนหากยอมให้ครั้งหนึ่งก็จะมีครั้งที่สองและที่สาม ตามมาอีกเรื่อย ๆ แม้ว่านางตั้งใจจะมีชีวิตอย่างสันติ ไม่งัดข้อกับญาติพี่น้องในสกุลเหมือนอย่างในนิยาย แต่สิ่งใดที่ควรกล่าวก็ต้องกล่าว เพื่อให้ป้าสะใภ้รองผู้นี้ได้รู้ว่านางไม่ได้ยอมคนเหมือนแต่ก่อนแล้ว “ความจริงที่ข้าจำได้ก็คงไม่ต่างจากท่านป้าสะใภ้รองเท่าใดหรอกเจ้าค่ะ ท่านพ่อออกไปทำงานตอนที่ข้าอายุ 2 ขวบ และส่งเงินมาให้ที่บ้านสกุลจางโดยตลอดรวมแล้วเป็นระยะเวลา 9 ปี ข้าและน้องๆ ใช้เงินของบ้านสกุลจางหลังจากที่ท่านพ่อท่านแม่เสียชีวิตไปแล้ว 4 ปี เช่นนั้นก็ให้บ้านใหญ่บ้านรอง คืนเงิน 9 ปีของท่านพ่อท่านแม่ข้ากลับมาให้หมด ข้าจะได้มีเงินมาคืนส่วนที่ท่านจ่ายให้ข้า 4 ปีดีหรือไม่เจ้าคะ” นางไป๋ซื่อตกใจจนทำตะเกียบในมือหล่นพื้น นางแต่งเข้าสกุลจางมาเกือบ 20 ปี คนเดียวที่เคยโต้เถียงกับนางคือแม่สามี หลังจากแม่สามีเสียชีวิตไปแล้วก็เป็นนางที่มีสิทธิ์มีเสียงดังที่สุดในบ้าน ไม่มีใครกล้าโต้แย้ง บัดนี้หลานสาวที่เคยก้มหน้าก้มตามองพื้นปากปิดสนิทอยู่ตลอดกลับเป็นผู้ที่คิดจะมาต่อคำกับนาง นางจึงคิดจะโต้กลับไปให้เจ็บแสบ “จ--------” “ข--------” นางไปซื่อคิดแล้วคิดอีก นางไม่ได้เรียนหนังสือพอได้ยินเรื่องตัวเลขสมองก็ช้าไปนิดคิดไม่ถูก คิดแล้วคิดอีก คิดซ้ำไปมาก็ดูเหมือนว่าทางนั้นเขาจะจ่ายมามากกว่าจริงๆ แล้วนางจะหาเงินจากที่ไหนมาคืนให้ล่ะ พี่ชายสามีพี่สะใภ้และสามีของนางก็เร่งออกจากบ้านกันไปหมดแล้ว หันไปทางไหนเวลานี้ก็ไม่มีใครจะออกหน้าแทนนางได้สักคน “ข้าคิดตัวเลขไม่เก่ง ต่อไปหลานสาวก็อย่าได้มาพูดถึงเรื่องนี้อีกเลยเข้าใจหรือไม่” นางไป๋ซื่อทำไม่รู้ไม่ชี้ สั่งทุกคนให้รีบกินข้าวจะได้รีบไปทำงาน จางอู่เกิน อมยิ้มมุมปากกระตุก เขาชอบหลานสาวที่รู้ความในเวลานี้เสียจริง นางเก่งกาจสามารถทำให้นางไป๋ซื่อหยุดปากไปได้ด้วยตัวเองทีเดียว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD