‘เอมจะแต่งงานกับพี่รามค่ะ’
การตอบตกลงกลางวงมื้อเย็นของทั้งสองบ้านในวันนั้น กลายเป็นความวุ่นวายในวันนี้ ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ ดูยุ่งจนไม่สามารถเข้าไปทักได้ เว้นก็แต่ว่าที่เจ้าสาวอย่างอคิราห์ เธอดู... ไม่ค่อยอยากทำอะไรเลย แม้เจ้าก้อนแป้งซึ่งบวมยีสต์เต็มที่ เธอยังไม่อยากแตะ
“เฮ้ย! รอมันเข้าเตาอบเองหรือยังไง?” เสียงกวนประสาทแว่วมา เมื่อเปรยสายตาไปมอง จึงพบหญิงร่างสูงและปราดเปรียวยืนมองเธอจากทางเข้า ไม่แม้แต่จะก้าวเท้าเข้ามาในครัว เพราะกลัวมีดในมือเชฟประจำร้านจะลอยมาทางตัวเองเสียก่อน “ฉันไม่ได้เข้าไปนะ ยังอยู่ด้านนอกอยู่”
“เออ รู้แล้ว” เจ้าหล่อนถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันหลังไปหาผู้ช่วยอย่าง ‘กลอยใจ’ “กลอย ฉันฝากกรีดหน้าโดหน่อยนะ อย่าลึกมากล่ะ เดี๋ยวอบเสร็จมันจะยุบเกินไป”
“ค่ะ” กลอยใจเดินมารับมีดคมกริบจากมือเจ้าของร้านทันที “คุณเอม อยากได้รูปอะไรดีคะ? ดอกไม้ดีหรือเปล่า จะได้เข้ากับงานแต่งที่ใกล้จะถึง”
“แบบธรรมดาก็พอ” อคิราห์ทำเสียงแข็งใส่พนักงานรู้มากทันที ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ และถอดผ้ากันเปื้อน หมวกคลุมผมใส่ตะกร้าข้างเคาน์เตอร์ “มาคุยกันหน่อยเกี๊ยว”
“อะไร ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะเอม แกจะฆ่าฉันแล้วเหรอ?” งามรัมภาร้อนตัวอย่างบอกไม่ถูก จนกระทั่งคนหงุดหงิดไม่หายมาหยุดอยู่ตรงหน้า “ใจเย็น ๆ ฉันแค่...”
“ฉันไม่เข้าใจ แค่แต่งงานสะเดาะเคราะห์เอง ทำไมทั้งคุณป้า คุณย่า และคุณแม่ด้วย ถึงจริงจังนักนะ” ว่าที่เจ้าสาวขมวดคิ้วมุ่น กอดอกพร้อมกลอกสายตาไปมาด้วยใช้ความคิด
“อ่อ~ เรื่องนี้เอง” งามรัมภาถอนหายใจออกมายาว นึกว่าเพื่อนตนจะจับได้เสียแล้วว่าเธอทำยีสต์กลิ่นต้มยำแสนภาคภูมิใจของอคิราห์ตกแตก
“ทำไม คิดว่าฉันจะเอาเรื่องที่แกทำโหลยีสต์ของฉันแตกเหรอ?”
“ระ... รู้ได้ยังไงเนี่ย?” คนร้อนตัวตกใจหัวใจกระตุกวูบ พยายามไม่สบตากับเจ้าหล่อนตรง ๆ แม้มือเธอจะไม่มีมีดอยู่แล้ว แต่อคิราห์นวดแป้งทำขนมปังทุกวันนะ มือหนักอย่าบอกใครเชียว
แค่คิด... งามรัมภาคนนี้ก็ขนลุกไปทั้งตัว
“ในที่นี้ไม่มีใครซุ่มซ่ามเท่าแกแล้วเกี๊ยว แต่เอาเถอะ ตอนนี้ช่างเรื่องยีสต์สุดที่รักของฉันไปก่อน”
“ยังอุตส่าห์มีคำว่าสุดที่รักมาแดกดันฉันอีกนะ”
“ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ นะเกี๊ยว ฉันว่างานแต่งของฉันกับพี่รามมันดูจริงจังเกินไปหรือเปล่า จัดแค่เล็ก ๆ ก็พอนี่... ยังไงก็ต้องหย่าอยู่ดี” อคิราห์พึมพำอยู่ในลำคอ
“ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ที่ผู้ใหญ่เขาจริงจังขนาดนั้น มันหมายความว่าพวกท่านยินดีต้อนรับแกเป็นลูกสะใภ้นะ จะได้เอาไว้ตบปากพวกช่างนินทาด้วย” พอคิดถึงพวกคนมีปากแต่ไม่รู้จักพูดเรื่องดี ๆ งามรัมภาเลยเริ่มหงุดหงิดไปด้วยอีกคน
“อย่างนั้นเหรอ? ก็อาจจะจริงอย่างที่แกพูด มันเป็นเรื่องที่ดีใช่หรือเปล่า?” แต่ถึงอย่างนั้น อคิราห์เองยังรู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อย
“มันก็ต้องดีอยู่แล้ว แต่ถ้ารู้สึกคับข้องใจล่ะก็ โน่น~” งามรัมภาหันไปทางด้านหน้าร้าน “ไปถามพี่รามของแกก็แล้วกัน มารอสักพักแล้ว”
“อ้าว! นี่เพิ่งบ่ายเองนะ ทำไมมาเร็วจัง”
“สงสัยคิดถึงว่าที่เจ้าสาวล่ะม้างงงง~” เพราะเจ้าหล่อนรู้ดีว่ารามสูรรู้สึกอย่างไรกับเพื่อนตน มีหรือที่หล่อนจะไม่หยอดคำเล็กคำน้อยให้เพื่อนคนนี้ใจสั่นหน้าแดง
“ไอ้บ้า! ใช่ที่ไหนกันเล่า เดี๋ยวนี้แกชักเอาใหญ่แล้วนะเกี๊ยว” คนหน้าแดงพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกเขินอายทันที
“จ้า ๆ รีบไปเถอะ พี่รามรอแกมาสักพักแล้ว ฉันทนไม่ไหวเลยมาตามเนี่ย” งามรัมภาดึงเพื่อนตัวเองออกมาจากครัวได้สำเร็จ จนกระทั่งมาเจอกับชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ตอนนี้เขาจับจองหนังสือในร้านหนึ่งเล่ม อยากอ่านเรื่อย ๆ จนกว่าว่าที่เจ้าสาวจะออกมาเอง
ตั้งแต่รามสูรเช้าถึงเย็นถึงทุกวัน บ้างก็มานั่งเล่นอ่านหนังสือในร้าน เป็นคนว่างงานที่สร้างลูกค้าใหม่ให้ร้านบ้านเพื่อนอย่างไม่รู้ตัว แม้รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้มีเจ้าของแล้วก็ตาม แต่ยังมีลูกค้าสาว ๆ แวะมานั่งมองเขาเป็นอาหารตาอยู่บ่อยครั้ง
“เห็นว่าใกล้แต่งงานแล้ว กับเจ้าของร้านนี้” หนึ่งในลูกค้าสาวกระซิบกับเพื่อนตนเอง
“เสียดายจัง ฉันมาช้าไปเหรอ?” อีกคนทำหน้าเสียดายเต็มที่ ก่อนจะเหล่มองชายหนุ่มซึ่งยังนั่งอ่านหนังสือไม่ยอมขยับ
สำหรับรามสูรนั้น... ได้ยินทุกคำ นอกจากเครื่องชงกาแฟแล้ว แทบไม่มีเสียงอื่นแทรกเข้ามาเลย ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าพวกเธอกำลังพูดถึงเขาอย่างไร และแอบยิ้มอย่างภูมิใจทุกครั้ง เมื่อได้ยินแบบนี้
“พี่ราม” อคิราห์เดินมาพร้อมกระเป๋าใบเล็กสะพายข้างหนึ่งใบ วันนี้เจ้าหล่อนเองก็ใส่สุดสบายด้วยเสื้อยืดสีขาว และกระโปรงผ้าหนายาวคลุมเข่าสีเหลืองอ่อน ดูน่ารักและอ่อนหวานมาก... ในสายตาของว่าที่เจ้าบ่าวอย่างรามสูร “ทำไมมาเร็วจังคะ?”
“คุณแม่อยากให้เอมไปลองชุดในพิธีเช้าหน่อย” รามสูรพับหนังสือลง พร้อมส่งยิ้มให้หญิงตรงหน้า ก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูง ต่อให้เขาใส่เพียงเสื้อยืดแขนสั้นสีฟ้าอ่อน และกางเกงสีเบจขาสามส่วนก็ตาม อย่างไรเสีย คนหล่อยังไงก็เป็นที่ดึงดูดสายตาอยู่ดี เว้นก็แต่...
... ว่าที่เจ้าสาวของเขานั่นแหละ
“แบบนี้นี่เอง ที่จริงเอมไปเองก็ได้ บ้านก็อยู่ข้างกัน พี่รามไม่ต้องลำบากมารับเลย” เจ้าหล่อนออกเดินนำ ตามมาด้วยว่าที่เจ้าบ่าวของตน “โทร. มาบอกเอมก็ได้”
“ยังไงพี่ก็ว่างอยู่แล้ว แค่มารับเอมเอง ได้มาอ่านหนังสือที่ร้านด้วย สนุกออก” รามสูรผลักประตูกระจกบานใหญ่ให้เจ้าหล่อนเดินออกจากร้าน ตามมาด้วยตนเอง “อีกอย่าง เกี๊ยวเองก็อยากให้พี่มานั่งที่ร้านบ่อย ๆ เห็นว่าช่วงที่พี่มานั่ง ยอดขายสูงเชียว”
“อย่าไปฟังเกี๊ยวมันมากเลยค่ะพี่ราม” ไม่วายหันมาตำหนิเพื่อนของตนเองให้ชายหนุ่มฟัง “เมื่อวานนะคะ เกี๊ยวมันทำยีสต์ต้มยำของเอมแตกไปโหลหนึ่ง จะบ่นก็ไม่ได้ เพราะเอมเป็นคนใช้ให้เกี๊ยวไปเช็กปลั๊กไฟเอง เฮ้อ~ นึกว่าวันนี้จะได้ทำซาวโดวจ์กลิ่นต้มยำเสียอีก ต้องทำใหม่หมดเลย”
กลายเป็นเรื่องปกติที่อคิราห์จะบ่นเรื่องเล็กน้อย ที่ได้เจอในแต่ละวันให้รามสูรฟัง บางครั้งชายหนุ่มเองก็เป็นผู้ฟังที่ดี มีบ้างที่ออกความคิดเห็น แม้เจ้าหล่อนจะคิดมากเรื่องแต่งงานกับเขาอยู่ก็ตาม แต่เมื่อเห็นหน้า... กลับไม่รู้สึกเขินอายเลยสักนิด
บ้านหลังใหญ่ทรงไทยประยุกต์ วันนี้ก็เป็นอีกวันที่วุ่นวาย ไม่ว่าจะเสื้อผ้าของว่าที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวแล้ว บ้านหลังนี้ยังเป็นที่จัดงานในช่วงเช้าอีกต่างหาก แม้ตามธรรมเนียมจะต้องจัดบ้านของเจ้าสาวก็ตาม ด้วยพื้นที่บ้านมีขนาดเล็ก แถมพื้นที่ไม่ค่อยถูกใจแม่งานอย่างรจิตสักเท่าไหร่ จึงยอมยกธรรมเนียมนี้ออก เปลี่ยนเป็นจัดบ้านเจ้าบ่าวแทน เพราะอย่างไรเสีย บ้านหลังนี้มันก็ไม่ต่างจากของว่าที่เจ้าสาวนักหรอก
ทีวีจอใหญ่ กำลังฉายรายการเม้าท์วงการบันเทิงในช่วงบ่ายให้ได้รับชม แม้อยากจะเปิดเพื่อแก้เหงาหูก็ตาม แต่ข่าวที่กำลังนำเสนอตอนนี้ กำลังทำให้รจิตและลูกสะใภ้อย่างราตรีร้อนใจไม่น้อย
‘การกลับมารับงานอีกครั้งของคุณ ‘ศจี’ เป็นที่จับตามองมากทีเดียวค่ะ หายไปจากวงการถึงสามปีด้วยกัน ไม่รู้ว่าฝีมือของเธอจะตกลงหรือเปล่า?’ พิธีกรสาวพูดอย่างออกรส เพื่อให้รายการของตัวเองเป็นที่น่าสนใจมากขึ้น
‘มันจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรละคะ ขึ้นชื่อว่าคุณศจีทั้งที ไม่ว่าจะเล่นเรื่องไหน เรื่องนั้นก็ดังเป็นพลุแตกทั้งนั้น เห็นว่าเรื่องนี้ได้ผู้จัดมือทองมาเชียว รับรองว่าแซ่บถึงเครื่องแน่นอน’ พิธีกรเสียงแหลมอีกคนไม่น้อยหน้า อวยละครตั้งแต่ยังไม่เปิดกล้อง
‘แล้วข่าวลือที่ว่าแอบซุ่มคบกับหนุ่มนอกวงการนี่ยังไงคะ? เรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่องาน... ปิ๊ด!!’
“ไร้สาระ! ฉันขอสั่งว่าห้ามเปิดรายการบันเทิง หรือละครที่แม่นั่นเล่นที่บ้านของฉันอีก เข้าใจหรือเปล่า!?!” รจิตคำรามดังลั่น หลังจากลงมือกดรีโมตเพื่อปิดรายการไร้สาระด้วยตัวของเธอเอง
“คุณแม่ ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ รามกำลังจะแต่งงานอีกไม่กี่วันนี้แล้วนะคะ เรื่องของผู้หญิงคนนั้น... คงไม่มาวุ่นวายที่นี่หรอกค่ะ” ราตรีเดินเข้าไปใกล้แม่สามีของตน พร้อมบีบนวดไหล่ทั้งสองข้างอย่างเบามือ แต่กลับโดนหญิงสาววัยเกือบเจ็ดสิบปีสะบัดออก!
“แม่ราตรี! แม่คิดน้อยเรื่องแม่ดาวยั่วได้ที่ไหนกัน มันอยากได้ตารามจนตัวสั่น! ไม่รู้ว่าหลังจากรามแต่งงานไปแล้ว แม่นี่จะมาวุ่นวายอีกมั้ย!”
รจิตตัวสั่นด้วยความโกรธ และกังวลใจไม่น้อย ยังจำได้เมื่อวันที่ผู้หญิงคนนั้นมาที่บ้าน แม้เธอสวยงามสมกับเป็นดารา แต่คนซึ่งผ่านโลกมาจนเกือบจะเข้าโลงอยู่แล้วจะไม่รู้เชียวหรือ... ว่าผู้หญิงคนนี้ร้อนแค่ไหน!
“ใจแม่อยากแต่งตารามกับเอมตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ!”
“ใจเย็น ๆ ค่ะคุณแม่ คนของเราก็ไม่ได้ยุ่งกับเขาแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรหรอกนะคะ อีกอย่าง...” ราตรีหันซ้ายขวา ก่อนจะเข้าไปกระซิบข้างใบหูแม่สามีของตน “... รามเอง ก็ไม่ได้พูดถึงแม่คนนั้นไม่ใช่เหรอ เช้าถึงเย็นถึงหนูเอมขนาดนี้ ไม่มีอะไรต้องกังวลใจเลยสักนิด ถ้าคนของเราไม่เล่นด้วย ก็ไม่ต้องห่วงอะไรให้มันมากความใช่หรือเปล่าคะ?”
รจิตหายใจเข้าออกลึก ๆ หลายที รู้สึกเบาใจกับคำพูดของลูกสะใภ้ตน แต่อย่างไรเสีย “ห้ามใครพูดถึงเรื่องแม่คนนี้เด็ดขาด เข้าใจหรือเปล่า?”
“ขะ... เข้าใจแล้วค่ะคุณนายใหญ่”
เหล่าแม่บ้านซึ่งมาช่วยเตรียมงานต่างตอบรับกันอย่างพร้อมเพรียง ก่อนป้าสร้อยจะหันไปฟาดคนเด็กกว่าเบา ๆ เพราะเป็นตัวต้นเรื่อง อยากดูทีวีไปทำงานไป สุดท้ายเกือบทำบ้านระเบิดลง!
เพียงครู่ ทั้งว่าที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวก็เดินเข้ามาในบ้าน เมื่อเห็นบรรยากาศด้านในกำลังอึดอัด ทั้งคู่จึงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เหมือนมาผิดเวลา
“มีอะไรกันหรือเปล่าคะ? เงียบเชียว” อคิราห์ถามขึ้น
“เปล่าจ้ะหนูเอม มา ๆ มาลองชุดของปะ... แม่กันนะ” ราตรีรีบสร้างบรรยากาศชื่นมื่นทันที ทำให้ทุกคนเริ่มคล้อยตาม
“ค่ะ”
“ส่วนรามก็ไปลองชุดที่ห้องนะ แม่เตรียมเอาไว้แล้ว ขาดเหลืออะไรบอกป้าสร้อยก็แล้วกัน” ราตรีรีบโยนงานให้หัวหน้าแม่บ้านทันที
“คุณแม่ครับ นี่ผมยังเป็นลูกคุณแม่อยู่ใช่หรือเปล่า?” รามสูรส่ายศีรษะเบา ๆ เข้าใจว่าแม่ของตนเห่อว่าที่ลูกสะใภ้แค่ไหน
“ก็ยังเป็นสิ” คนเป็นแม่หันไปขึงตาใส่ลูกชายเบา ๆ ก่อนจะหันกลับมาโอบไหล่ว่าที่ลูกสะใภ้ตน “ขึ้นไปข้างบนกันเอม อาภากำลังเตรียมชุดให้หนูอยู่”
“คุณแม่กลับมาแล้วหรือคะ? เห็นว่าไปทำธุระ นึกว่าจะกลับเย็นเสียอีก” เจ้าหล่อนถามขึ้น ตั้งแต่เธอเอ่ยปากบอกว่าจะแต่งงานกับรามสูร ก็แทบไม่เห็นหน้าคนเป็นแม่เลย
“มาแล้ว ขึ้นไปกันเถอะเอม แม่อยากเห็นเอมใส่ชุดแม่จะแย่อยู่แล้วนะ” ราตรีดูดีใจที่ชุดแต่งงานของตน จะถูกประดับอยู่บนตัวของอคิราห์ที่สุด เพราะชุดของเธอสั่งตัดพิเศษ กว่าสามสิบปีแล้วที่เจ้าหล่อนแทบไม่เคยเอาออกมาจากตู้ ขนาดผ่านไปนานขนาดนั้น ทั้งเนื้อผ้าและลวดลายอันอ่อนช้อย ยังคงความสวยงามไม่เปลี่ยน
“เฮ้อ~” คนเป็นลูกตัวจริงถอนหายใจออกมายาว ก่อนจะเดินไปหาย่าของตน “คุณย่าครับ ตอนนี้ผมตกกระป๋องแล้วใช่หรือเปล่า?”
“ไม่ต้องมาทำเสียงอ้อนเลยนะราม” รจิตยังขุ่นมัวกับข่าวที่เห็นไม่หาย “แต่เอาเถอะ รีบไปลองชุด จะได้แก้ทัน ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ ย่าจะขึ้นไปดูเอม”
“ไหงเป็นอย่างนี้ล่ะครับ ไม่คิดจะมีใครมาช่วยผมเลยเหรอ?” รามสูรมุ่ยหน้าเป็นเด็ก มองหลังคนเป็นย่ากำลังเดินออกห่างไปเรื่อย ๆ
“คุณรามมีป้าอยู่นะคะ เดี๋ยวป้าช่วยเอง” ป้าสร้อยออกตัวช่วยเหลือชายหนุ่มทันที
“ผมคงมีแค่ป้าสร้อยแล้วสินะครับ” ชายหนุ่มถลาเข้าไปโอบกอดคนที่เป็นทั้งหัวหน้าแม่บ้าน และแม่นมของตนเองด้วยเช่นกัน