บทที่4.2

2482 Words
“อืม” ฉันพยักหน้า “ก็อย่างที่นายเข้าใจนั่นแหละ” ในเมื่อเขารู้แล้ว ฉันเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะปิดบังหรือโกหก ตอนนั้นนัยน์ตาคิมดำมืดมากกว่าเดิม มือของเขาเย็นมาก “เย็นนี้ไม่ต้องไปกับมันนะ กลับไปนอนบ้าน” คิมแนะนำอย่างใจเย็น เขาปล่อยมือข้างนั้นเพื่อจะเอามาลูบศีรษะฉันสองสามที “ตัวก็ร้อน หน้าก็ซีด ความจริงไม่ต้องมาเรียนก็ได้” อีกแล้วนะ ไอ้นิสัยคนแก่แบบนี้ เรียนปีเดียวกันแท้ๆ แต่ชอบทำเหมือนตัวเองเป็นคุณปู่เวลาดุฉัน “ฉันไม่อยากขาดไง ไม่เป็นไรหรอกน่า เห็นฉันอ่อนแอนักหรือไง” ฉันเถียง “สบายดี ต่อยนายได้สบายเลยด้วย” “ยอม” คิมยิ้มมุมปากนิดๆ ขับให้ใบหน้าหล่อเหลานั่นดูร้ายกาจขึ้นอีกเท่าตัว “ไปเรียนกัน ถึงเวลาแล้ว” ฉันยังไม่ได้พูดอะไร ข้อมือก็ถูกคว้าไว้แบบหลวมๆ โดยที่เขาเป็นฝ่ายจูงและเดินนำไปยังตึกเรียน ฉันมองแผ่นหลังกว้างและส่วนสูงเหยียบร้อยแปดสิบเซนติเมตรของเขา ระหว่างนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่า ‘ถ้าแอลได้นิสัยคิมมาสักครึ่งหนึ่งก็คงดี’ แต่ลืมไป แอลก็คือแอล ผู้ชายสารเลวซึ่งเป็นได้แค่คนที่ฉันเคยรัก ตอนเย็น หลังเลิกเรียนฉันให้คิมขับรถมาส่งหน้าปากซอยบ้านเพราะไม่อยากให้พ่อเห็นว่ามีผู้ชายมาส่ง ท่านค่อนข้างดุและเป็นคนหวงลูกสาวพอตัว ฉันเลยเลี่ยงที่จะให้ท่านรู้ว่ากำลังคุยๆ กับคิม ความจริงท่านรู้เรื่องฉันกับแอลนะ แต่... เอาเหอะ ไม่อยากพูดถึงแล้ว ไม่มีประโยชน์ “ทำไมไม่โทรมาบอกก่อน” หลังจากกดออดหน้าบ้าน พ่อซึ่งเดินออกมารับก็ยิงคำถามด้วยน้ำเสียงดุๆ ทันที “พลัมเซอร์ไพรส์ไง อยากนอนกอดพ่ออ่ะคืนนี้” ฉันเดินเข้าไปกอดท่านด้วยความคิดถึง ไม่ลืมเอาแก้มถูไถอย่างออดอ้อนอีกด้วย ฝ่ามือหนาซึ่งยังคงอบอุ่นเสมอจึงวางทับเหนือศีรษะฉันเป็นการตอบรับ “ไม่สบายเหรอเรา ตัวร้อน หน้าซีด” ท่านถามอีก ฉันเลยพยักหน้ารับ ทำเสียงอู้อี้ “พลัมหิวด้วย อยากกินเกี๊ยวกุ้งฝีมือแม่” “แม่ก็ไม่สบาย” คำบอกกล่าวนั้นทั้งสั้นกระชับและห้วนจัด ท่านเป็นคนไม่ค่อยยิ้มและมีรังสีความน่ากลัวอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าได้รู้จัก ได้คลุกคลี จะรู้ว่าท่านอ่อนโยนแค่ไหน “พ่อทำให้ได้” ลืมบอกเลย พ่อฉันชื่อ 'อสูร' คนอื่นๆ ที่ไม่ค่อยสนิทมักเรียกพ่อสั้นๆ ว่า 'สูรย์' ส่วนเเม่มีชื่อว่า 'บุรินทร์' “อ่า แม่ป่วยอีกแล้วเหรอคะ?” ฉันถามอย่างเป็นห่วง พอดีแม่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว “กินข้าวให้อิ่มก่อนค่อยขึ้นไปหา เข้าใจไหม?” พ่อจูงมือฉันเข้าไปในห้องครัว ซึ่งใกล้ๆ กันนั้นมีโต๊ะทานข้าวที่ฉันมักมานั่งเล่นระหว่างรอพ่อและแม่ทำอาหารให้กิน ส่วนใหญ่จะคอยป่วนมากกว่า จนพ่อต้องดุ ต้องเอาทัพพีเคาะหัวอยู่บ่อยๆ “วันนี้วันที่เท่าไหร่?” “หืม... วันที่สิบเก้าค่ะ” ฉันตอบ พ่อที่หันหลังให้เพราะกำลังเตรียมเครื่องเคียงชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเอี้ยวหน้ามามองฉัน “ถุงร้อนของแม่ก็มี คืนนี้เอาไปประคบท้องด้วย” ฉันฉีกยิ้มกว้างตอบรับความห่วงใยแบบซึนๆ ของพ่อ ท่านจำได้เสมอว่าประจำเดือนฉันมาช่วงไหน หลายคนอาจมองว่ามันน่าอาย แต่ฉันไม่คิดแบบนั้นนะ เพราะฉันเคยปวดท้องประจำเดือนมากขนาดต้องเข้าโรงพยาบาล ท่านเลยเป็นห่วงไง ฉันนั่งแกว่งขาบนเก้าอี้ระหว่างรอเกี๊ยวกุ้งฝีมือพ่อ ผ่านไปพักใหญ่นั่นแหละ พ่อถึงเอามาวางไว้ตรงหน้าฉัน ฉันแอบเห็นพ่อตักแบ่งไว้อีกหม้อด้วย “ให้แม่เหรอคะนั่นน่ะ” ฉันถามด้วยความสงสัย ทำสีหน้ากรุ้มกริ่มไปให้เป็นการสำทับ “อืม ถ้าแม่ไม่กิน เดี๋ยวพ่อจะป้อนเอง” “ป้อนด้วยปากอ่ะเปล่า” ฉันแซว “เดี๋ยวตีตาย” พอได้ยินคำขู่สุดน่าขนลุก ฉันเลยก้มหน้าก้มตากินอาหารฝีมือพ่ออย่างเอร็ดอร่อย ระหว่างนั้นพ่อไม่ละสายตาไปจากฉันเลย ทำเอาฉันต้องเงยหน้าขึ้น เห็นท่านมองฉันเหมือนกำลังคลางแคลงใจในบางสิ่ง “เมื่อวานพ่อโทรไปถามป้าเพ็ญ เขาบอกพ่อว่าลูกไม่ได้อยู่หอแล้ว” “แค่กๆๆ” เจอคำถามของพ่อเข้าไป ฉันถึงกับสำลักจนหน้าแดง ให้ตายสิ... ป้าเพ็ญคือแม่บ้านของหอที่ฉันเคยพักไง พ่อขอเบอร์ท่านเอาไว้เพื่อถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของฉัน ลืมไปเลย ฉันลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย ไม่รู้ว่าป้าเพ็ญพูดเรื่องแอลหรือเปล่า ถ้าพูดนะ... แย่แน่ “ย้ายไปไหน ทำไมไม่บอกพ่อ” “อือๆ พลัมย้ายไปอยู่หลังมอค่ะพ่อ ราคาถูกกว่าด้วย” สาบานเลยนะว่าฉันแทบจะไม่เคยโกหกท่าน แต่ครั้งนี้มันจำเป็นจริงๆ “พ่อไม่ต้องห่วง พลัมสบายดี” “เดี๋ยวว่างๆ พาพ่อไปดูหน่อย” งะ งานเข้า! “คือ...” ฉันกำลังจะหาเรื่องมาห้ามไม่ให้พ่อไป “กินไปก่อน พ่อไปดูแม่แป๊บ” แต่พ่อไม่รอให้ฉันพูดจบก็เดินขึ้นห้อง ปล่อยให้ฉันอ้าปากพะงาบๆ อยู่ตรงนี้เพียงลำพัง ครืด... ระหว่างนั่งร้อนใจอยู่นั้น โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าก็สั่นเตือนอย่างรู้จังหวะ จะไม่สนใจก็ทำไม่ได้ด้วย รู้ตัวอีกทีจึงเอาขึ้นมาดู ถึงรู้ว่าเป็นข้อความจากสีเพลิง Seeplerng :: ลูกพลัมๆ มีเรื่องแล้ว Seeplerng :: แอลเกิดอุบัติเหตุ อยากจะส่งข้อความกลับไปถามว่า ‘ตายยัง?’ ก็ยังไงอยู่ ฉันเลยเลือกที่จะไม่ตอบและปิดเครื่องยัดใส่กระเป๋าเหมือนเดิม เอาจริงๆ ไหม ฉันรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับข้อความที่สีเพลิงส่งมาสุดๆ ก็เห็นอยู่ว่าเธอเข้าข้างฉัน พยายามทำให้ฉันอยู่ห่างจากแอลเท่าที่จะทำได้ แล้วนึกยังไงถึงส่งข้อความมาบอกว่าแอลเกิดอุบัติเหตุ ความจริงมีสองทาง หนึ่ง... นี่เป็นแผนของแอล เขาคงร่วมมือกับครามเพื่อตามตัวฉัน เรื่องบาดเจ็บหรือได้รับอันตรายก็คงจะเป็นเรื่องที่กุขึ้นมาเพื่อล่อลวงฉัน คิดว่าฉันกินหญ้าเป็นอาหารเหรอ ไม่ใช่ควายนะ แต่ถ้าคิดอีกมุมหนึ่ง มันก็เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะประสบอุบัติเหตุจริงๆ แต่แล้วไงล่ะ? นั่นมันตัวเขา ไม่เกี่ยวกับฉันเลยสักนิด จะมารายงานให้ฉันรับรู้ไปทำไม ไม่ใช่เรื่อง ตอนเช้า “ให้พ่อไปส่งดีกว่าไหม?” “โหย ไม่ต้องค่ะพ่อ พลัมบอกแล้วไงว่าจะนั่งรถเมล์กลับเองอ่ะ” ฉันปฏิเสธขณะที่พ่อเดินมาส่งตรงป้ายรถเมล์ ความจริงท่านถามแบบนี้มาประมาณสิบรอบได้แล้ว และมันก็จบตรงที่ฉันบอกว่าจะนั่งรถเมล์นั่นแหละ เข้าใจนะว่าท่านเป็นห่วง แต่ฉันจะให้ท่านรู้ไม่ได้ไงว่าข้าวของทั้งหมดตอนนี้อยู่ที่คอนโดฯ แอล พ่อมีหวังได้แปลงร่างเป็นปีศาจแน่ “ถึงแล้วโทรมาด้วยนะรู้ไหม” ท่านกำชับขณะยกมือลูบศีรษะฉันอย่างอ่อนโยน เป็นเวลาเดียวกันที่รถเมล์เคลื่อนมาจอดพอดี ฉันเลยหอมแก้มท่านไปทีหนึ่งแล้วก้าวเท้าขึ้นรถ เมื่อลับสายตาพ่อฉันจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ฉันไม่ชอบโกหกท่านหรอกนะ เเต่ทำไงได้ เพราะมันเกี่ยวกับแอลโดยตรง ทางเลือกเดียวคือต้องปิดบังไม่ให้ท่านรู้ เอาเหอะๆ ตอนนี้ฉันควรคิดได้แล้วว่าจะทำยังไงต่อไปดี ถ้าโทรหาสีเพลิงก็กลัวว่าเธอจะอยู่กับคราม และครามเอาเรื่องไปบอกแอล จะติดต่อหาคิมก็ไม่ได้อีก แอลลบเบอร์เขาทิ้งหมดเกลี้ยง เมื่อวานฉันก็ลืมขอใหม่ด้วย โชคไม่เข้าข้างฉันเลย! หลังจากนั่งคิดเรื่องนี้อยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ก็ถึงป้ายที่ฉันต้องลงพอดี แต่อย่าเข้าใจผิดว่าฉันจะกลับคอนโดฯ แอลนะ ฉันลงย่านการค้าใกล้มอซึ่งคนยังบางตาอยู่ ตั้งใจว่าจะหาที่นั่งเล่นเงียบๆ ระหว่างครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ไม่รู้สิ ฉันสัมผัสได้ถึงสายตาของใครบางคน เหมือนกำลังจ้องมองฉันจากตรงไหนสักที่ ฉันหันซ้ายหันขวา กระทั่งพบเข้ากับชายคนหนึ่งในชุดดำ สวมหมวกและแมสสีดำ โผล่มาแค่ลูกกะตาลึกลับที่เดาไม่ได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ รู้แค่ว่าเขากำลังมองฉันจากตรงนั้นซึ่งห่างจากจุดนี้หลายเมตร ฉันสงบสติอารมณ์ ไม่แตกตื่น ค่อยๆ หันหน้ากลับมาดังเดิม แต่จังหวะที่เริ่มก้าวเท้าหนี กลับมีใครบางคนมายืนขวางทางไว้ ครั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าเป็นผู้ชายอีกสองคน... แต่งกายโทนเดียวกันกับผู้ชายคนนั้นเป๊ะ พวกลักพาตัวเหรอ! เอาล่ะ ฉันเริ่มแตกตื่นและหวาดกลัว แต่ก่อนจะได้พูดหรือทำอะไรมากไปกว่านี้ เสียงกระซิบภายใต้แมสก็แว่วมาอย่างน่าขนลุก “จะยอมไปกับเราดีๆ หรืออยากไปแบบนองเลือด?” เชื่อเถอะว่าฉันกำลังจะส่งเสียงให้คนรอบข้างได้ยิน แต่ผิวหนังสัมผัสถึงวัตถุเย็นเฉียบที่จ่อลงมาอย่างแนบชิดซะก่อน มีด... ไม่ผิดแน่ บ้าเอ๊ย นี่มันเวรกรรมอะไรของฉันนักหนาเนี่ย “...” ฉันถูกลากมาที่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่หลังหนึ่ง แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่ปริปากถาม กระทั่งพวกมันทั้งหมดพาฉันเข้าไปในห้องๆ หนึ่งซึ่งทันทีที่ปลายเท้าเหยียบย่างเข้าไป... คำตอบทั้งหมดก็ถูกไขกระจ่าง “ทำเบาๆ ไม่เป็นเหรอ!” แอล... เขานั่งหน้ามุ่ยขณะถูกผู้ชายที่ดูจะอายุมากกว่าไม่กี่ปีทำแผลบริเวณแขนข้างซ้ายให้ เราสบตากันในจังหวะที่เขาหันกลับมา “ผมเอาตัวคุณลูกพลัมมาให้แล้วครับ” ผู้ชายท่าทางน่ากลัวที่ลากฉันเข้ามาเอ่ยเสียงสุภาพกับแอล ส่วนเขา... “กูบอกให้พามาดีๆ แล้วมึงไปบีบแขนเธอทำไม” “เธอค่อนข้าง...” จริงๆ ฉันแอบต่อต้านอยู่ตลอดก่อนจะมาถึงที่นี่ ก็เลยถูกกระทำรุนแรงเป็นสิ่งตอบแทน ช้ำเลยนะ เเขนฉันเนี่ย “โอ๊ย ไม่ต้องทำแล้ว โกรธไรกูเนี่ย” แอลสะบัดมือออกอย่างแรงเป็นการขับไล่ผู้ชายที่กำลังนั่งทำแผลให้เขา “พวกมึงออกไปให้หมด” พวกนั้นตอบรับคำสั่งแอลอย่างว่าง่าย ก่อนเสียง ‘ปึง’ ของประตูจะดังตามหลังมาเป็นสิ่งสุดท้าย ฉันมองสารรูปแอล ที่บอกว่าเกิดอุบัติเหตุนี่น่าจะจริง แต่เจ็บน้อยกว่าที่คิดนะ “ทำตัวเหมือนโจรขึ้นทุกวันเลยนะ” มาถึงตรงนี้ฉันถึงนึกออกว่าแอลเป็นหลานของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งค่อนข้างมีอิทธิพล ท่านคลุกคลีอยู่ในวงการสีเทา และใช่ ผู้ชายพวกนั้นเป็นคนของลุงเขาหมดเลย “เธอก็ใช่ย่อย รู้ว่าหนีไม่รอดก็ยังดันทุรัง” “ที่ฉันหนี นายก็ควรจะสำเหนียกไหมว่าคนเขาไม่อยากอยู่ด้วย จะตามรังควานไปถึงไหน” “จนกว่าเธอจะตาย” “ฉันเบื่อจะเถียงกับนายแล้วแอล” ขืนยังเถียงกับเขาต่อไป มีหวังแอลได้โมโหจนทำลายข้าวของแน่ ดีไม่ดีฉันอาจจะโดนลูกหลงกับความเกรี้ยวกราดของเขาอีก “เบื่อก็มาทำแผลให้ฉัน เจ็บจะตายห่าอยู่แล้ว” ฉันขมวดคิ้วทันทีเลยเชื่อไหม คนที่ทำท่าจะวอร์กับฉันให้ได้เมื่อกี้เปลี่ยนมากระฟัดกระเฟียดกับตัวเองแทน พร้อมทั้งยื่นแขนมาตรงหน้าเพื่อให้ฉันเห็นบาดแผลเต็มๆ ก็แค่รอยถลก ไกลหัวใจ “ฉันถูกลากมาที่พี่เพื่อทำแผลให้นายหรือไง?” “ถ้าไม่ทำแผลแล้วจะทำอะไร?” คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างร้ายกาจ “หรือมาเพื่อจะนอนกับฉัน” “แอล!” ฉันแทบจะปากระเป๋าใส่หน้าเขาให้สาแก่ใจ แต่ดีที่ยั้งมือทัน... กระเป๋าใบนี้จะมีมลทินเป็นครั้งที่สองไม่ได้ “มาทำแผลให้ฉันด้วย” พอรู้ว่าฉันเถียงสู้ไม่ได้ เจ้าตัวก็พยักพเยิดหน้าให้ฉันไปนั่งข้างๆ เขา แน่นอนว่าฉันไม่ใช่นางเอกนิยายที่จะยอมทำตามทุกอย่างทั้งๆ ที่ไม่อยากเข้าใกล้ ดังนั้นฉันจึงหมุนตัวกลับ เตรียมเปิดประตูออกไปจากห้องนี้ ติดแค่... มันถูกล็อกจากด้านนอก! ไม่สิ คาดว่าคงมีคนยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูแน่ๆ พับผ่า! “...” ฉันเม้มริมฝีปากขณะหันกลับไปหาไอ้ตัวต้นเหตุที่นั่งสูบบุหรี่สบายใจเฉิบอยู่บนโซฟาตัวเดิม นัยน์ตาคมกริบที่เหมือนจะสะกดทุกคนกำลังจดจ้องฉันผ่านกลุ่มควันซึ่งลอยคลุ้งอยู่รอบตัว คำว่า ‘เหนือกว่า’ ปรากฏอยู่ในแววตาเขา “มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกพลัม มานี่...” แอลกระซิบทั้งๆ ที่ยังคาบบุหรี่ มือหนาข้างขวาตบโซฟาสองสามทีเป็นการเชิญชวนให้ฉันไปนั่งใกล้ๆ ตัวเอง “ต้องให้ไปอุ้มไหม เผื่อขี้เกียจเดิน” “ไม่ต้อง!” ฉันกระชากเสียงอย่างหงุดหงิดก่อนกระทืบเท้าเข้าไปหา การนั่งบนโซฟาตัวเดียวกับเขาในครั้งนี้ ฉันรักษาระยะห่างเอาไว้พอสมควร น่าจะเอื้อมแขนเลยมั้ง “ไปนั่งตรงนั้นจะทำแผลได้ไง” “นายพิการเหรอ มีมือก็ทำเองสิ” แผลก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรขนาดนั้น มีแค่รอยถลอกนิดหน่อยเอง ทำเหมือนตัวเองถูกยิงเสียเลือดไปเป็นลิตรยังไงยังงั้น เอาไปเลย รางวัลคนตอเเหล2018 จะว่าไป... ตอนที่ฉันได้รับข้อความเมื่อวาน ดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่เลยนะ ถ้าฉันมีแผลแค่นั้นคงนั่งทำเองเงียบๆ ไม่ต้องป่าวประกาศหรือทำตัวสำออยเพื่อเรียกร้องความสนใจหรอก น่าสมเพชจะตาย “เธอต้องทำให้ฉันเท่านั้น” แอลมองสบตาฉัน “ทำไม?” ฉันถาม “นายพอใจจะสั่งให้ฉันทำตามที่ตัวเองต้องการ แต่นายไม่สนเลยว่าฉันเต็มใจหรือเปล่า” “จริงๆ เธอไม่เคยเต็มใจต่างหากพลัม” แอลปาบุหรี่ลงพื้น ก่อนใช้รองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังขยี้จนแทบจะไม่เหลือซาก “ไม่อยากทะเลาะกันก็แค่ทำแผลให้ฉัน” “...” “นิดเดียว... ไม่ได้เลย?”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD