はじめに บทนำ

1285 Words
はじめに บทนำ ณ ท่าน้ำโรงแรม วันซ์ ริวา เวลา 24.00 น. สายน้ำกระเพื่อมไหวสะท้อนแสงเหลืองนวลของโคมไฟริมแม่น้ำเจ้าพระยา สายลมแผ่วเบาเย็นสบายดูนุ่มนวลเป็นพิเศษ ราวกับมันต้องการปลอบประโลมหญิงสาวร่างเล็กที่กำลังนั่งกอดเข่าร่ำไห้ให้รู้สึกดีขึ้น แต่ความเงียบงันนี้ดูจะไม่ช่วยให้เอมมาลินรู้สึกดีขึ้นสักเท่าไร “เอม เราเข้ามาที่นี่ดึกๆ แบบนี้ โรงแรมเขาจะไม่ว่าเอาเหรอ” เสียงกระซิบแผ่วเบาอันคุ้นเคยดังขึ้นข้างตัว ทว่าเอมมาลินกลับไม่เงยหน้าขึ้นมาทักทายทั้งที่เธอเรียกให้อีกฝ่ายมาหา “เราไม่มีหน้าไปเจอใครแล้ว” คนพูดพยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น แต่ผลกลับตรงกันข้ามเพราะน้ำตากลับไหลออกมามากกว่าเดิม เธอส่ายหน้าไปมาเหมือนไม่ต้องการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น “ลิซ...ไม่มีใครเชื่อเราเลย ทั้งอาจารย์ ทั้งที่บ้าน ไม่มีใครเชื่อเราเลยสักคน” “เดี๋ยวเอม ใจเย็นๆ ก่อน เล่ามาก่อนว่ามันอะไรยังไง” การที่เอมมาลินยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา ทำให้อริสราเริ่มกังวล เอมมาลินกับอริสราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่อนุบาล ท่าน้ำนี้ใกล้กับร้านเค้กแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า ริวา คาเฟ่ ซึ่งอยู่ในโรงแรม บรรยากาศค่อนข้างสงบและวิวสวยปลอดโปร่ง ทุกครั้งที่ใครคนใดคนหนึ่งไม่สบายใจก็จะมานั่งรับลมเย็นที่นี่ จนมันกลายเป็นที่ประจำของพวกเธอไปแล้ว ในที่สุดคนที่กำลังร้องไห้ก็เงยหน้าขึ้นมา “มี...มีคนพรีเซนต์งานหัวข้อเดียวกันกับเราเป๊ะ เราพรีเซนต์ทีหลัง อาจารย์ก็เลยบอกว่าเราลอกงานคนอื่นมา” สาวร่างเล็กเว้นจังหวะเพื่อมองหน้าอริสรา ความจุกแน่นในลำคอเนื่องจากร้องไห้มาเป็นเวลานานทำให้เสียงแผ่วเบามากกว่าเดิม “แต่เราไม่ได้ลอกคนอื่นมาจริงๆ นะลิซ” เอมมาลินพูดจบก็เปิดกระเป๋าเป้ พร้อมกับหยิบหนังสือภาพที่มีอยู่แค่เล่มเดียวในโลกออกมาทั้งที่มือยังสั่น เธอเปิดมันออกอย่างลนๆ ราวกับต้องการยืนยันว่าไม่ได้ลอกงานมาอย่างที่คนอื่นพูด “เราทุ่มเท นอนดึกมาเป็นเดือนเพื่อหาข้อมูลของ โมริ อคิระ แต่ตอนนี้เรากลับถูกทุกคนมองว่าเป็นคนขี้ขโมย” อริสรามองสีหน้าเศร้าสร้อยของเอมมาลินอย่างสงสาร ตัดสินใจเอนตัวลงมาเกาะท่อนแขนของเธอพร้อมกับแนบแก้มลงกับแขนเรียวบางของเอมมาลิน วิธีการนี้เธอใช้มาตั้งแต่เด็ก และมันก็ทำให้เพื่อนสนิทคนนี้รู้สึกดีขึ้นได้เสมอ “อาจารย์ไล่ให้เราไปดรอปกลางเซกฯ เราจะมีหน้ากลับไปเรียนได้ยังไง ถ้าเราไป ม. แล้วคนทั้งคณะจะมองเรายังไง เรา...เราอาย” “แต่ลิซเชื่อเอมนะ ลิซเชื่อใจเพื่อนของลิซ เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ ทำไมลิซจะไม่รู้ว่าเอมเป็นคนยังไง อย่าร้องเลยนะ ยังไงเอมก็ยังมีลิซที่เชื่อเอม ส่วนเรื่องนั้น...เอมลองคิดดูดีๆ ซิว่าเอมพลาดตรงไหน มีอะไรที่พลาดจนมีคนสวมรอยเอาของเอมไปได้” “เรา...เราคิดไม่ออกเลยลิซ” หลังจากที่ได้ร้องไห้แล้วเอมมาลินก็ดูสงบขึ้น แต่ต่อมาเธอก็เอาแต่ส่ายหน้าอย่างหมดหวัง “ตอนนี้เราไม่ อยากคิดอะไรเลย ไม่อยากกลับบ้านด้วย แม่บอกว่าอายชาวบ้านที่มีเราเป็นลูก” อริสราเห็นหญิงสาวร้องไห้ก็เริ่มร้องไห้ตาม เอมมาลินเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเธอ พอเห็นอีกฝ่ายเสียใจ เธอก็เสียใจไปด้วย “ถ้าเอมอยากร้องไห้ให้ถึงเช้า เอมก็ร้องเลย ลิซจะนั่งเป็นเพื่อนเอมเอง หรือถ้าเอมอยากไปร้องที่อื่น...ก็ได้นะ ลิซก็จะไปกับเอมด้วย” การกระทำของเพื่อนช่วยบรรเทาความผิดหวังให้เบาบางลง เอมมาลินสูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับหันมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ “ขอบใจลิซมากนะที่เชื่อเรา เรารู้สึกเหมือนในโลกนี้...เราไม่เหลือใครแล้วนอกจากลิซ” “เอมยังมีลิซเสมอนะ” อริสราพยักหน้าเพื่อยืนยันคำพูด ก่อนจะยกมือกอดอกแล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างคุณหนูผู้เอาแต่ใจ “ว่าแต่คนคนนั้นมันเป็นใคร มาทำอย่างแบบนี้กับเอมได้ไง ถ้าลิซจ่ายเงินให้เขา เขาจะยอมคืนหัวข้อพรีเซนต์ให้เอมรึเปล่า” “ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกลิซ” ปัญหามันอาจจะลุกลามไปใหญ่โตกว่าเดิมถ้าเธอดึงอริสราเข้ามาเกี่ยว พูดเสร็จเอมมาลินก็นั่งเงียบ ก่อนเธอจะมาที่นี่ก็เพิ่งทะเลาะกับที่บ้าน ถ้าจะให้กลับไปตอนนี้... คุณหนูอริสรารู้จักกับเอมมาลินมานาน เธอมองปราดเดียวก็ดูออกว่าเพื่อนของเธอคงไม่อยากกลับบ้านตอนนี้ “ถ้าอย่างนั้นเอมไปนอนค้างบ้านลิซไหม วันนี้พ่อกับแม่ลิซไม่อยู่ ไปยุโรป อีกตั้งสองอาทิตย์แน่ะกว่าจะกลับ เอมจะได้ไม่ต้องอยู่เหงาคนเดียวไง” เธอเสนอความคิดขึ้นมา จากนั้นแป๊บเดียวก็มีความคิดใหม่แทรกเข้ามาอีก “เฮ้ย! ลิซคิดออกแล้ว เอมจำวันนั้นได้ไหม ที่เราไปหาแม่หมอชื่อดังสุดอลังวังเว่อร์ของเอมไง เขาบอกว่าให้เราขอพรได้ในคืนพระจันทร์ทรงกลม เราขอพรกันไหม เอมจะได้มีเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจไง” หญิงสาวร่างเล็กเงยหน้าเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืน เห็นว่ามีพระจันทร์ทรงกลดอยู่จริง “เขาเรียกกันว่าทรงกลดต่างหาก” จากตอนแรกร้องไห้อยู่ ก็พูดเสียงกลั้วหัวเราะเมื่อได้ยินชื่อใหม่ที่อริสราตั้งให้ “อ้าว จำผิดหรอกเหรอเนี่ย” สุดท้ายเอมมาลินก็หลุดหัวเราะออกมาพรืดใหญ่ รอยยิ้มบางเบาระบายอยู่บนมุมปาก “แม่หมอเขายังบอกด้วยว่าน้ำจะเป็นตัวนำโชคให้เรา” “ถ้าอย่างนั้น ลิซขอเลยละกัน” คนรีบร้อนยกสองมือขึ้นประสานเข้าที่กลางอก “อะแฮ่ม พระจันทร์เจ้าขา อลิซขอให้ได้...” “เดี๋ยวก่อนลิซ แม่หมอบอกว่าให้อธิษฐานในใจนะ ถ้าพูดออกมาเดี๋ยวจะไม่สมหวัง” เอมมาลินท้วงขึ้นมาอย่างเป็นห่วง อริสราจึงรีบเม้มปาก กะพริบตาปริบๆ ทำท่ารูดซิปปากพร้อมกับหลับตาลง เอมมาลินเห็นแบบนั้นจึงหลับตาลงพร้อมกับอธิษฐานในใจบ้าง ‘พระจันทร์เจ้าขา ชั่วชีวิตหนูรู้สึกมาตลอดว่าไม่เป็นที่ต้องการของครอบครัว พวกเขาไม่เคยมองหนูอย่างอบอุ่น เวลาหนูพูดคุยด้วยก็มักจะชักสีหน้ารำคาญใส่ หากว่าเป็นไปได้ หนูขอให้ได้มีโอกาสสัมผัสความอบอุ่น...ความรัก และความห่วงใยอย่างนั้นสักครั้งด้วยเถิด!’ เอมมาลินตั้งใจอธิษฐานนานเป็นพิเศษจึงลืมตาขึ้นมาทีหลังเพื่อนพร้อมกับยันตัวลุกขึ้น แต่แล้วจู่ๆ ภาพเบื้องหน้าก็พร่าเลือนขึ้นมาอย่างกะทันหัน เธอรู้สึกหายใจไม่ออกจึงเอื้อมมือออกไปหมายจะหาที่ช่วยพยุงตัว หนังสือภาพหลุดออกจากมือกำลังจะร่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำเบื้องล่าง อริสราที่ลุกขึ้นยืนอยู่ก่อนแล้วเบิกตากว้าง เธอรู้ดีว่าหนังสือภาพเล่มนี้สำคัญต่อเพื่อนมากจึงรีบพุ่งตัวออกไปคว้าตามสัญชาตญาณ “ว้าก!!!” 24.00 น. ตูม!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD