12
คีธเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นัยน์ตาเข้มกวาดมองไปทั่วห้องที่ควรมีใครบางคนนั่งหรือนอนรออยู่บนเตียง แต่ถึงห้องว่างเปล่าไร้ร่างผู้ครอบครอง ทว่ากลิ่นกายของเธอยังลอยอบอวลอยู่จนเต็ม กระตุ้นต่อความกระหายเสพสมในรสเสน่หากับอาหารคาวๆ ให้ลุกโชนทะยานไร้ขีดจำกัดและเกินความควบคุม
นัยน์ตาเข้มกวาดมองพร้อมเงี่ยหู ถึงได้รู้ว่าอาหารอันโอชะของเขานั้นกำลังเริงร่าอยู่ในห้องน้ำ ดึงดูดเขาให้ต้องรีบเดินไปหา...แง้มประตูที่ไม่ได้กดล็อก ทำให้เขาได้เห็นลำขานวลเนียนที่ยกขึ้นมาพร้อมสองมือไล้ลูบขึ้นลงจนเขาถึงกับกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก!
แม่เจ้า!
คีธร้องคำรามลั่น เมื่อเรือนกายกลมกลึงที่นอนเอนอยู่ขยับขึ้นนั่งจนบัวอิ่มลอยปริ่มน้ำ โดยมีสองมือเล็กลูบไล้ไปมาอย่างช้าๆ อย่างกับเธอรู้ว่ามีคนแอบมองอยู่ เลยยิ่งทำการนวด...คลึง เจ้าปลายยอดสีชมพูที่ชูสล้างยั่วยุให้เขายิ่งกระหายอยาก!
เท้าแกร่งรีบสาวถอยมาด้านหลังและปิดประตูอย่างเดิม เพราะคิดว่าสาวน้อยจอมยั่วคงรู้ถึงการมาของเขาแล้ว แลต้องเร่งรุดลูบไล้ทำความสะอาดเรือนกายให้เขาเชยชมและเชยชิมลิ้มเลือดรสหวาน
คีธพากายไปนั่งบนเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่ สองแขนเท้าบนต้นขากำยำ ฝ่ามือทาบทับและสอดปลายนิ้วตามช่อง พลางก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยครุ่นคิดในสิ่งที่ได้พูดคุยกับพี่ชายต่างสายเลือดที่ร่วมชะตากรรมเดียวกับเขา!
“มั่นใจหรือเปล่าคีธ...คนนี้ใช่!”
“ไม่รู้”
คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน สัญชาตญาณของเขาไวกว่าคีธหลายเท่านัก จึงได้รู้ว่าสาวคนนี้มีลักษณะพิเศษ แต่จะใช่คนที่ถูกกล่าวถึง...ช่วยให้คีธหลุดพ้นจากวงจรแห่งการมีชีวิตอย่างผีดิบ ที่ต้องดื่มกินเลือดคนอื่นเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอดได้หรือเปล่า นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องคอยลุ้นกันต่อไป
“ไหนนายบอกเองไม่ใช่หรือไง แค่เศษเสี้ยวแห่งความหวังที่มี ก็จะไม่กลัวยื่นมือไปคว้า แล้วนี่ทำไมถึงได้ทำเหมือนหนทางข้างหน้าคือหุบเขาเพลิงเสียได้ล่ะ”
คำพูดพี่ชายคนนี้ช่างแทงใจดำเขายิ่งนัก ทว่า...เมื่อกาลเวลาผ่านพ้น สิ่งที่ไขว่คว้ามากลับเป็นเพียงความหวังที่เลื่อนลอยและว่างเปล่า! ก็ทำให้ในหัวใจเริ่มมีความกลัวเกาะตัวอยู่
“คง...ไม่ใช่หรอก” โต้กลับเสียงเบา เขาคงชินกับการมีชีวิตเช่นนี้...ว่างเปล่า หาจุดหมายปลายทางแห่งความหวังไม่เจอ ต้องเหงาเศร้าก่อนหายไปจากโลกนี้ด้วยความเจ็บปวดเดียวดาย
“ปฏิเสธใครก็ได้นะคีธ แต่ลึกๆ ในใจของนายรู้ดี...ใช่หรือเปล่า”
เขาอยากให้การรับรู้ที่แวบขึ้นมานี้ผิด เพราะไม่อยากฝากความหวังไว้กับความว่างเปล่าเลื่อนลอยที่ถ้าใช่...แม้มีชีวิตเหมือนมนุษย์ปกติ แต่เขาก็ต้องทนอยู่กับความเดียวดายไร้คนคู่กายคู่ใจเคียงข้างคอยเติมกำลังใจและความสุขให้แก่กัน อีกทั้ง...ใครกันจะกล้าเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเหลือเขากันล่ะ ชีวิตทั้งชีวิตที่ควรได้อยู่ดูโลกอีกยาวนานกลับต้องจากไปอย่างนั้นหรือ
คีธเอนกายอิงขอบหน้าต่าง ทอดสายตามองออกไปด้านนอกอย่างไร้จุดหมายปลายทาง
ปาฏิหาริย์หรือ! ก็แค่คำพูดและความคิด ยังไงก็จับต้องไม่ได้ ปล่อยให้มันเป็นไปตามวิถีแล้วกัน
ถ้าเธอคนนั้นยอมเสียสละ...และใช่ คงเป็นโชคของเขาที่ก็หวังว่าเป็นปาฏิหาริย์...ที่ดี ไม่มีใครต้องมาสูญเสียกับเขาอีกก็เพียงพอแล้ว
“เสี่ยงอีกครั้งคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง ยังไงผลที่ได้รับถ้าดีนายก็...หลุดพ้น เหลือเพียงแค่ฉันและคนอื่นๆ ที่ยังต้องเฝ้าหาคนที่ใช่ต่อไป แต่ถ้าไม่ใช่นายก็ยังเป็นนาย...เป็นพี่น้องของฉันและทุกๆ คนยังไงเราก็ไม่ทิ้งนาย” เขาพูดไปก็เท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้วคนที่ตัดสินใจก็คือ...คีธ
“อือ...” คีธรับคำในลำคอและไม่เหลียวมองร่างหนาแกร่งที่เคลื่อนกายหายลับไปอย่างเร็วไว
“กลับมาได้แล้วหรือคะคุณคีธขา...” เพียงแค่เห็นร่างใหญ่นั่งอยู่บนเก้าอี้บุนวมอย่างดี ชมบุหลันก็อดเอ่ยถามอย่างประชดประชันไปไม่ได้
เธอว่าแล้วเชียวเมื่อกี้หูคล้ายได้ยินเสียงคนอยู่ในห้อง ก่อนตามติดมาด้วยเสียงเปิดประตู จึงต้องรีบจัดการตัวเองให้สะอาดสะอ้าน สวมชุดที่หมายตาอย่างไม่สนใจว่าจะทำให้ตัวเองดูเป็นยายอ้วนไม่เจียมสังขาร กล้าหาญใส่ชุด...เซ็กซี่!
สองขาสั่นจากความไม่เจียมของตัวเอง เลยเอนกายอวบอั๋นในชุดวาบหวามเอนอิงขอบประตู สาดสายตาไม่พอใจปนกระหายอยากมองคีธ
เหมือนสายตาถูกตรึงไว้ด้วยความเหงา เศร้า หม่นหมองและสูญสิ้นความหวังที่ตรงเข้ามากระแทกหัวใจอย่างรุนแรง จนเจ็บร้าวและปรารถนาจะยื่นมือไปโลมไล้จับต้องใบหน้าเข้ม ประโลมลูบให้เขาผ่อนคลาย พลางแบ่งปันความทุกข์ที่มีเติมความสุขให้เขา...จนยิ้มได้
แสงไฟสาดส่องให้เห็นใบหน้าคร้ามแกร่ง นัยน์ตาเข้มสีดำสนิทที่ไม่แวววาว จมูกโด่งขึ้นสันรับกับปากหนาที่ควรเป็นสีชมพูสดอย่างคนมีผิวขาว แต่กลับไม่ใช่...สิ่งที่ได้เห็นคือความขาวจนซีดไร้เลือดหล่อเลี้ยงไม่แพ้ส่วนอื่นๆ ของร่างกาย พานให้คิดไปถึงผีดิบดูดเลือด...ก็แว่วๆ เธอได้ยินเขาพูดขอดูดเลือดบ่อยๆ นี่น่า เลยทำให้คิดไปได้อย่างนั้น
ชมบุหลันกลบเกลื่อนความอายก้าวเท้าเดินไปหยุดยืนหน้าร่างหนาที่แหงนหน้าขึ้น
เหมือนเด็กหลงทาง!
ความช่วยเหลือที่อยากได้ แต่ไม่ยอมเอ่ยปากบอก
สองขากลมกลึงแยกออกเล็กน้อย ก่อนทรุดกายลงนั่งคร่อมตักกว้าง ยกมือลูบไล้ไปบนใบหน้าเย็นยะเยือกอย่างน่าตกใจแต่ก็ไม่ดึงมือหนี คลี่ยิ้มหวานละมุนเหมือนต้องการปลอบประโลมเด็กน้อยในร่างผู้ใหญ่
“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณคีธ” เอ่ยถามเสียงหวานและเบา
“เปล่า” เอ่ยปฏิเสธพร้อมกวาดสายตามองหุ่นที่ทำให้ไฟในกายพลุ่งพล่าน กลืนน้ำลายลงคอกับเสียงเลือดในกายเธอที่ไหลเวียนอย่างเร็วรวมตัวกันที่ใบหน้านวลผ่องจนแดงปลั่งยิ่งกว่าผลเชอร์รี่
“ไม่จริงหรอกค่ะ” โต้กลับด้วยความกระเง้ากระงอด
“ถึงเราสองคนจะเพิ่งเจอกัน แต่ไผ่หลิวกลับรู้สึกเหมือนคุ้นเคยกับคุณคีธ จนกล้าตามมาถึงบ้านอย่างไม่กลัวอันตราย” ขนาดคนเคยเห็นกันทุกวันยังทำร้ายกันได้ แต่นี่...เจอกันครั้งแรก ไม่ใช่คนที่คนรู้จักมักจี่เสียหน่อย
“ขึ้นอยู่กับนายนะคีธ จะปล่อยให้ความหวังหลุดมือไปหรือเปล่า”
แว่วคำของพี่ชายร่วมชะตากรรมเดียวกันดังเข้ามาในสมองอันว่างเปล่าของคีธ จนเผลอยิงฟันแยกเขี้ยวใส่ด้วยความโกรธ
“ออกไปจากความคิดฉันนะไลอ้อน”
“เอาน่า...คงเป็นแค่ครั้งนี้แหละ หลังจากนี้นายอาจเสียดายก็ได้ ที่ไม่ได้คุยกับฉันทางกระแสคลื่นนี้อีกแล้ว แต่เด็กใหม่นายนี่น่าหม่ำกินเลือดจริงๆ ว่ะ ถ้าเปลี่ยนใจ...งั้นฉันขอ”
“ไลอ้อน!!”
“เฮ้อ...จริงๆ เลยนะไอ้เด็กขี้เหนียว ไปก็ได้...รีบจัดการเร็วๆ ละ ช้ากว่านี้ความหวังนายก็หมดกลายเป็นหมันต้องรอไปอีกนาน” ไลอ้อนหัวเราะอย่างไม่สนใจความโกรธของหนุ่มรุ่นน้องที่ลอยมาหาแต่ไกล
ไม่ใช่แรงกระตุ้นจากไลอ้อน เคียว แต่เป็นแรงกระตุ้นจากในกายเขาเองที่สั่งให้...ดึงมือเล็กมา จับนวดคลึงจนปลายนิ้วยาวเรียวแดง สายตาจับจ้องเข้าไปในดวงตากลมใส แยกเขี้ยวและ...กด!
“อุ๊ย!” เจ็บจี๊ดแต่...เลือดในกายกลับอุ่นวาบและเสียวซ่านอีกต่างหาก
คีธดูดเลือดอย่างหิวกระหาย ฝ่ามือหนาร้อนลูบไล้ไปบนเลือดเนื้อกายสาวและหยุดที่ลำคอระหง นวดคลึงเส้นชีพจร
“ไม่กลัวหรือไงไผ่หลิว” เอ่ยถาม พลางมองสบเข้าไปในดวงตากลมโตด้วยความสับสน
“กลัวอะไรล่ะคะ” ชมบุหลันเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ ศีรษะทุยเอียงเล็กน้อย เหลือบสายตามองนิ้วเล็กในอุ้งปากที่ยังถูกดูดดุนเลือดอุ่นวาบไหวออกจากกาย แต่เสียวซ่านชะมัด...ถ้าเขาทำอย่างนี้กับจุดอื่นๆ บนกายเธอจะเป็นยังไงนะ สาวน้อยที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังกลายเป็นอาหารอันโอชะของหนุ่มมีชีวิตเพียงครึ่งคิดด้วยความครึ้มอกครึ้มใจ