9
“ฉันว่าคุณต้องรวยมากแน่เลย ถึงได้มีรถหรูขนาดนี้นั่ง” เอ่ยปรารภแผ่วเบา สิ่งที่เห็นเหมือนภาพมายาที่เธอไม่แน่ใจว่า เมื่อยื่นมือออกไปสัมผัสแล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะเลือนหายไปจากสายตา
“กลัวหรือ...คิดเปลี่ยนใจ”
“กลัวค่ะ” ชมบุหลันตอบกลับอย่างจริงใจและตรงใจเธอที่สุด กายอวบอั๋นเอนอิงกายแกร่ง ทาบมือเล็กบนมือใหญ่
“แต่เมื่อไผ่หลิวตัดสินใจแล้วก็ไม่คิดเปลี่ยน แล้วคิดว่าคนที่เปลี่ยนใจ อาจเป็นคุณ” ถึงยังไงเธอก็ไม่มั่นใจในรูปลักษณ์ภายนอกที่อีกฝ่ายได้เห็นและจับต้องได้
“เรียกแทนตัวเองอย่างนี้น่ารักจัง” นิ้วยาวลูบไล้ผิวเนื้อนวลเนียน เน้นหนักตรงจุดที่มีเส้นชีพจรเต้นเรื่อยขึ้นไปจับเอาเส้นผมนุ่มทัดไว้หลังใบหู นวดคลึงชมบุหลันถึงกับส่งเสียงครางออกมาด้วยความปั่นป่วน
“แล้วฉันก็เหมือนไผ่หลิวนั่นแหละ เมื่อตั้งใจทำอะไรแล้ว ต่อให้มีภูเขาสูงและทะเลเพลิงขวางหน้าก็จะไม่เปลี่ยนใจเป็นเด็ดขาด” เขาคงต้องเติมความมั่นใจให้กับแม่เนื้อนุ่ม
“ทุกคนเกิดมาในโลกนี้ด้วยความไม่เท่าเทียมกัน อย่ากดตัวเองให้ต่ำแล้วไปยกคนอื่นให้สูง อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร ทุกคนล้วนแล้วแต่มีจุดดี จุดเด่นและจุดอ่อน จุดด้อยด้วยกันทั้งนั้น บางสิ่งบางอย่างเราคิดว่าทำดีที่สุดแล้ว แต่คนอื่นอาจคิดว่าเป็นการกระทำที่ไร้สาระ ไม่ดีแล้วควรทำลายทิ้งด้วยซ้ำ”
“คุณพูดฟังแล้วดีจัง แต่ในความเป็นจริงแล้วทำได้ยากมาก”
“คนเราไม่ควรมองคนที่สูงกว่า เพราะจะทำให้เราพยายามไขว่คว้าทำให้ได้อย่างเขา ที่ผลสุดท้ายคือความพยายามสูญเปล่า แต่ให้มองคนที่ฐานะเท่าเทียมกันหรือลำบากกว่า ที่เขาต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตในสังคมที่เงินและอำนาจ ความกระหายอยากคือสิ่งสำคัญ จนบางครั้งลืมไปว่าสิ่งที่ไขว่คว้าคือความว่างเปล่า...แล้วความสุขแท้จริงของเราอยู่ที่ไหน” ประโยคสุดท้ายคีธเอ่ยเปรยๆ เป็นการถามตัวเองมากกว่า
นานจนเขาแทบจำไม่ได้ กับการดิ้นรนเพื่อหวนกลับมามีชีวิตอย่างเช่นคนปกติ เพียงแค่ความหวังแสนริบหรี่จากเชือกที่เปื่อยยุ่ย เขาก็พร้อมกระโจนเข้าไปอย่างไม่หวั่นเกรงแม้อุปสรรคขวางกั้นคือทะเลเพลิง ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาก็เป็นเพียงแค่ความว่างเปล่า...
วันเวลาพัดพาความหวังให้ค่อยๆ รางเลือนไปเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ที่เป็นคือการอยู่ไปวันๆ รอวันถูกเก็บกวาดลงหลุม!
แต่เมื่อยังต้องอยู่...กับความกระหายอยาก! เสพสมเลือดอุ่นระอุจากกายสาว เติมเต็มอีกส่วนของชีวิตที่วิญญาณส่วนหนึ่งหลุดหายไป
แม้เธอนั่งอยู่บนตักกว้าง แต่ความสูงยังไม่ถึง เขาจึงต้องเชยคางมนให้ใบหน้านวลผ่องแหงนขึ้น พลางก้มศีรษะทุยลงไปหา ปากอุ่นแนบบนหน้าผากไต่ลงไปทีละน้อย จากพวงแก้มข้างหนึ่งผ่านจมูกโด่งไปจรดแก้มนุ่มอีกฝั่ง
“ชีวิตแบบนี้มั้ง...คือความสุขที่ฉันมี” แต่ไม่ใช่ที่ใฝ่ฝันหา อยากมีชีวิตกับคนรักกับชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ต้องแก่งแย่งแข่งขันกับใคร ตื่นเช้ามาได้รับสัมผัสวาบหวามรัญจวนใจ ก่อนไปทำงานและกลับมาทานอาหาร พูดคุยหยอกล้อกันตามประสาครอบครัวแสนสุขที่...
ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ภาพมายาในความฝันที่เขานั้นสร้างขึ้นเองทั้งนั้น ไม่มีสิ่งใดเป็นความจริง!
ชมบุหลันดันศีรษะขึ้น เมื่อรอรับจุมพิตแสนหวานระคนวาบหวามแล้ว ทว่าชายหนุ่มกลับหยุดชะงักไม่ปฏิบัติการมอบความเสียวซ่านให้แล้วยังเคลื่อนถอยแปรเปลี่ยนการแนบชิด เพียงแค่โอบกระชับรอบกายกลมกลึง
“คิดอะไรอยู่หรือคะ” นิ้วยาวลูบไล้บนใบหน้าคมเข้ม นวดคลึงเอาความเคร่งเครียดออกจากผิวเนื้อหยาบกระด้าง
“เปล่า”
“นั่นแน่...เริ่มต้นก็หัดโกหกซะแล้ว ต่อไปจะหนักหนากว่านี้ใช่ไหมนี่...อย่างนี้มันต้องสั่งสอนซะก่อน” มือเล็กบีบจมูกโด่งขึ้นสันเบาๆ
ความรู้สึกอยากยิ้มไม่รู้มาจากไหนที่เขาบังคับตัวเองให้...ยิ้มกว้าง ทั้งปากและดวงตา
“อู๊ย!! ไม่เอานะ ห้ามยิ้ม”
“อ้าว!” ชายหนุ่มหน้าเหลอ
“ก็คุณยิ้มแล้วหล่อออร่าขึ้นจมเลยนะสิ จนหัวใจฉันเต้นแรงอย่างกับจะหลุดแล้ว” กลัวอีกฝ่ายไม่เชื่อจึงรีบจับมือใหญ่มาทาบบนทรวงด้านที่มีก้อนเนื้อหัวใจกระหน่ำเต้นตุบๆ อยู่
“แล้วฉันก็...หวงด้วย”
“ยิ้มให้เธอคนเดียว” คำตอบตรงใจเขาที่สุด ด้วยไม่อยากยิ้มให้ใครจริงๆ ในรอบหลายร้อยปีมานี้คงมีเพียงแค่เธอคนนี้ที่ได้เห็น!
“จริงนะ”
“อือ” คีธรับคำในลำคอ
“จริงสิ ฉันยังไม่ได้ถามเลย คุณจะพาฉันไปไหนหรือ”
“บ้าน” คำเดียวสั้นๆ อาคารทรงยุโรปหรูกลางท้องทุ่งดอกไม้ ล้อมด้วยพื้นไพรเขียวขจีกว้างขวาง ปราการด่านแรกที่ถูกสร้างไว้ป้องกันศัตรูผู้บุกรุกหวังทำลายล้างให้สิ้น!
“อยู่ไกลหรือเปล่า แล้วบ้านคุณสวยไหม อยู่กันกี่คนล่ะ คนอื่นๆ เห็นคุณพาฉันไปด้วย เขาจะว่าอะไรหรือเปล่า”
“ทีละคำถามก็ได้” เบรกหญิงสาวที่เอ่ยถามยาวเป็นหางว่าว พาผู้หญิงคนอื่นไปย่ำยีทางอารมณ์มอบความสุขสมก่อนดูดกลืนเอาความทรงจำให้จางหายไปพร้อมมอบความทรงจำใหม่ที่เต็มไปด้วยฝันร้าย! แต่ไม่เคยมีใครสักคนสนใจถามไถ่เขาเยี่ยงนี้เลย
“งั้นไม่ถามแล้ว ให้คุณเล่ามาเลยดีกว่า”
“เอาไว้ค่อยรู้เมื่อไปถึงแล้วกัน”
“แหมคุณนะ...ใจร้ายจัง น่านะ เล่าให้ฟังหน่อย อยู่กับใครกี่คน แล้วเขาจะว่าหรือเปล่าที่คุณพาผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าไปแบบว่า...มีอะไรด้วยน่ะ” ทำไมยามเอ่ยคำนี้ถึงได้จี๊ดในหัวใจชะมัดก็ไม่รู้
“ถึงอยู่กันหลายคนก็เหมือนฉันอยู่ตัวคนเดียวนั่นแหละ” ยิ้มอย่างขมขื่น ในบ้านหลังมหึมา นอกจากเขาและพี่น้องอีกสี่คนแล้ว ก็ยังมีคนคอยดูแลอีกนับสิบ ที่ทุกคนต่างก็ห่างเหิน ตัวใครตัวมัน ไม่ยุ่งเกี่ยวกันเลย
“คุณต้องเหงาแย่แน่เลย แต่ไม่ต้องกลัวนะ มีฉันอยู่ด้วย รับรองคุณนอกจากไม่เหงาแล้ว แต่ยังจะ...”
ชมบุหลันเบะปากเบ้เล็กน้อย ก็ใครๆ มักประชดประชันว่าเธอน่ะพูดมาก...พูดเป็นน้ำไหลไฟดับ แม้กระทั่งลิงยังต้องยอมแพ้เลย แล้วเขาจะไม่รำคาญเอาหรือไงกัน
เห็นหน้ามู่ทู่ยู่ย่นคีธถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยสงสัย “แต่...อะไรหรือ”
“ฉันกลัวคุณรำคาญนะซิ”
“ไม่หรอก ฉันมีวิธีหยุดการพูดมากของเธอได้ชะงัดนักเชียว”
“ทำยังไงหรือคะ” ถามเสียงแจ๋ว มองคีธตาแป๋ว
“ยังไม่บอกหรอก เอาไว้ให้ถึงเวลาก่อน”
“บอกหน่อยไม่ได้หรือคะ แบบว่าถ้าฉันไม่ชอบ จะได้ขอให้คุณเปลี่ยนวิธี”
“ไม่ละ...ฉันคิดว่าเธอต้องชอบและชอบมากด้วย”
คำตอบเขายิ่งทำให้อยากรู้ขึ้นมาติดหมัด แต่ก็คิดหาทางง้างปากชายหนุ่มไม่ได้ เลยได้แต่ทำหน้ายุ่งเหยิงก่อนดวงตากลมโตจะกระจ่างวาบขึ้นมา
ในเมื่อเขาชอบสัมผัสและแตะต้องเธอด้วยปากและมือ จะเป็นไรไปล่ะถ้าเธอจะใช้วิธีการนี้ทำให้เขาหลงในรสเสน่หาจากเด็กไม่ประสาที่ป้อนให้ จนยอมศิโรราบทั้งตัวและหัวใจ
“ฉันเดาว่าคุณเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัว ดังนั้นที่พักของคุณก็ต้องอยู่ในที่มิดชิดด้วย”
คีธเลิกคิ้วด้วยความสงสัย แม่ตัวเล็กเลือดหวานจะทำอะไร
“เราคงต้องเดินทางกันอีกยาว...ไกล ในเมื่อดูแล้วการคุยของเราสองคนไม่ค่อยสนุก สู้มาหาอะไรที่ทำแล้วมีความสุขกันดีกว่าไหมคะ”
“แล้วเธอคิดว่าควรทำอะไรดีล่ะ” ลูบไล้ลำคอระหง เส้นชีพจรที่เต้นตุบๆ อยู่ทำเอาเขากระหายอยากลิ้มรสเลือดหวานๆ ของเธอจนร้อนผ่าวไปทั้งกาย
“ไม่รู้ฉันคิดไปเองหรือเปล่า ถึงได้รู้สึกว่าในรถร้อนเป็นพิเศษเลย”
ไม่สนใจถ้าจะถูกหาว่าเป็นยายช้างน้อยไม่ดูสารรูปตัวเอง แต่เพื่อบางอย่างที่ซ่อนอยู่ลึกสุดของความรู้สึกที่ค่อยๆ กระทุ้งกำแพงหนาที่ห่อหุ้มออกมาอย่างเชื่องช้าทว่ามั่นคงและหนักแน่นราวกับภูเขาหิน