ลานจอดรถคณะบริหาร
เวลา 17.09 น.
-NUMNIM TALK-
“คุณจะคืนให้ฉันได้รึยัง” ฉันกดตัดสายพี่เคลิ้ม แล้วก็หันมาถามพี่ชอปเปอร์
“เรียกพี่ชอปก่อนสิ” พี่ชอปเปอร์ยักคิ้วใส่ฉัน
“นี่ พี่เคลิ้มบ้ากำลังจะมาแล้ว ฉันจะรีบหนีเขา” ฉันชักสีหน้าและน้ำเสียงใส่พี่ชอปเปอร์ที่ตอนนี้ยืนพิงประตูรถ
“พี่ไม่เคยกลัวมัน”
“แต่ฉัน…”
“นุ่ม ต้องแทนตัวเองว่านุ่ม พูดกับใครว่านิ่มก็ช่าง แต่กับพี่ต้องแทนตัวว่านุ่ม เพราะมันไม่เหมือนใคร พี่ไม่ชอบซ้ำใคร”
“ฉันว่าเราเริ่มคุยกันไม่รู้ภาษาแล้วล่ะ ช่วยคืนเกียร์มาให้ฉันด้วย” ฉันพูดด้วยเสียงที่โคตรบ่งบอกว่าไม่พอใจ
เหตุผลอะไรที่ฉันต้องมาเถียงกับผู้ชายคนนี้ที่ฉันแอบปลื้มน่ะเหรอ
ก็เพราะว่าเมื่อคืนนี้จังหวะที่ฉันค้นร่มในกระเป๋าเพื่อคืนเขา ฉันดันทำเกียร์ของพี่เคลิ้มตกไว้ แล้วพี่ชอปเปอร์ก็เก็บได้ จากนั้นเขาก็ส่งแชทในแอปพลิเคชั่น Facebook เข้ามาบอกฉันว่าถ้าอยากได้คืนก็มาเอาเอง แล้วเขาก็ถ่ายรูปสร้อยที่คล้องเกียร์ของพี่เคลิ้มมาให้ฉัน
แล้วฉันก็รีบค้นหาในกระเป๋าตัวเองทันทีปรากฎว่ามันไม่มี เขาพิมพ์ในข้อความมาว่าให้มาเจอเขาที่ลานจอดรถของคณะบริหารหลังเลิกเรียน
ด้วยความอยากได้เกียร์ของพี่เคลิ้มคืนฉันก็เลยมาอยู่ตรงนี้นี่ไง
แต่พอมาแล้วเขากลับเล่นแง่ พูดกวนนั่นนี่ แล้วก็ตรงจังหวะกับโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น เขามองเบอร์ที่โชว์หน้าจอแล้วจากนั้นก็ยื่นมาตรงหน้าฉัน บอกฉันว่ารับให้พี่หน่อย แล้วพี่จะคืนให้ และด้วยความอยากได้ของคืนให้มันจบๆ ฉันก็ตัดสินใจรับสาย แต่พอกดรับไปเท่านั้นแหละ
ฉันถึงกับปวดหัวไมเกรนเหมือนจะขึ้น
“นุ่ม…” พี่ชอปเปอร์เรียกฉันพร้อมกับยื่นหน้ามาใกล้ฉัน
บอกตามตรงว่าตกใจ ไม่ทันตั้งตัวเพราะมัวแต่คิดถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าที่จู่ ๆ เพื่อนของพี่ชอปเปอร์ก็มาขอโทษฉันในห้องเรียน ท่ามกลางเพื่อนร่วมห้องมากมาย
แล้วก็ไม่พ้นโดนถ่ายคลิป โดนซุบซิบนินทา และฉันก็ตกใจมากที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ฉันอายมากเลยล่ะ
ส่วนหมิวไม่ได้มาเรียน ฉันก็ไม่รู้นะว่าเป็นอะไร และไม่คิดจะโทรถามด้วย เพราะเราตัดขาดกันแล้ว
“นุ่ม…” พี่ชอปเปอร์เรียกฉันอีกรอบ และรอบนี้หน้าเราใกล้กันแค่คืบ อีกนิดก็จะจูบกันอยู่แล้ว
“พะ พี่ทำอะไร” ฉันกระอักกระอ่วนท้องไส้ก็เริ่มปั่นป่วน ใบหน้าหล่อ ๆ ของพี่ชอปเปอร์ มันทำให้ฉัน…ใจเต้นแรง
“เป็น…”
เอี๊ยดดดดด!
ปึง ปัง!
หมับ! ตุบ! ปึก ปึก…
“พี่เคลิ้ม! พี่ทำบ้าอะไรเนี่ย!” ฉันรีบเข้าไปดึงหมัดที่จะง้างต่อยลงที่ใบหน้าพี่ชอปเปอร์ไว้
“ปล่อย!” พี่เคลิ้มสะบัดแขนใหญ่ ๆ ของฉันจนหลุดแล้วจากนั้นเขาก็รัวหมัดใส่พี่ชอปเปอร์ไม่ยั้ง
เริ่มจากที่พอเขาลงจากรถ เขาก็กระชากพี่ชอปเปอร์ออกจากฉัน จนพี่ชอปเปอร์กระเด็นล้มลงพื้น แล้วจากนั้นก็อย่างที่เห็น
“พอ! พี่ชอปเขาเลือดไหลไปหมดแล้ว หยุด…”
“เมื่อกี้มึงเรียกมันว่าอะไรนะ?” พี่เคลิ้มปล่อยพี่ชอปเปอร์อย่างที่ฉันบอกจริง ๆ แต่กลายเป็นว่าเขาหันมาทำตาขวาง จ้องหน้าเขม็งเลยล่ะ
“พี่ชอป” ก็ฉันตกใจเลยรีบเรียกแบบนั้น
“ใครให้มึงเรียกมันแบบนั้น อย่าเรียกมันให้กูได้ยิน อย่าแม้แต่จะคิดในใจด้วย กลับบ้าน!” พี่เคลิ้มมันแหกปากด่าฉันอย่างดัง คนทั้งมหาวิทยาลัยที่มีเรียนภาคบ่ายลากยาวภาคค่ำถึงขั้นพากันหันมอง บ้างก็ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่าย
“แต่พี่ชอป…เปอร์เขาเจ…”
“คนอย่างมันไม่ตายง่าย ๆ หรอก มึงนั่นแหละจะตาย แล้วมึงตัดสายกูทำเหี้ยอะไร เดี๋ยวมึงเจอกู เดี๋ยวมึงเจอแน่ ๆ” แล้วไอ้เคลิ้มมันก็ลากฉันมาที่รถ ซึ่งจอดแทบจะชนรถยนต์คันของพี่ชอปเปอร์
“จะมองมันทำเหี้ยอะไร อาลัยเหี้ยอะไรมันนัก ขึ้นรถ!” ไอ้พี่เคลิ้มด่าฉันอีกเมื่อเห็นว่าฉันหันมองพี่ชอปเปอร์ที่ตอนนี้นอนเหมือนจะหมดสติอยู่ที่พื้น แล้วพี่เคลิ้มมันก็กดหัวฉันให้ก้มต่ำมุดเข้ารถ
มันไม่คิดว่าฉันจะเจ็บบ้างหรือไง
ฉันยอมเข้ามานั่งในรถ เพราะสายตานักศึกษา และใบหน้าที่ดุดันของพี่เคลิ้ม พอฉันเข้ามานั่งในรถ ไอ้พี่เคลิ้มก็ปิดประตูฝั่งที่ฉันนั่ง ปิดเสียงดังมาก ฉันตกใจเลยล่ะ
ฉันมองพี่เคลิ้มที่เดินอ้อมมาฝั่งคนขับระหว่างที่ไอ้พี่เคลิ้มเดินอ้อม พอผ่านตรงหน้าที่พี่ชอปเปอร์นอนเจ็บอยู่ ไอ้พี่เคลิ้มก็ยกนิ้วกลางใส่พี่ชอปเปอร์
หยาบโลนที่สุด!
ปึง! เสียงปิดประตูรถ ปิดแรงขนาดนี้ไม่กลัวพังหรือไง
“มึงจะเลิกมองมันได้รึยัง” พอไอ้พี่เคลิ้มขึ้นรถมา ก็เริ่มตะคอกใส่ฉันอีกรอบ พร้อมกับดวงตาที่ถลึงจนแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า
“มองอิหยัง” ก็ไม่รู้ควรจะพูดว่าอะไร ก็ตอนนี้ไอ้พี่มันน่ากลัว มันต่อยพี่ชอปเปอร์รัว ๆ พี่ชอปเปอร์ที่ไม่ทันตั้งตัวก็สู้ไม่ได้น่ะสิ
“กูไม่ตลก!” ไอ้พี่บ้ามันไม่ว่าเปล่า มันดึงผมหน้าม้าของฉันด้วย
“เจ็บ เป็นบ้าอะไรของพี่เนี่ย” ฉันจับเส้นผมตัวเองแล้วหันไปด่ามัน
“มึงเงียบเลยนะ มึงเงียบปากไปเลย อย่าให้กูโมโหมากกว่านี้” ไอ้พี่เคลิ้มชี้หน้าฉันแบบเอาเรื่อง แล้วจากนั้นก็ขับรถออกจากตรงนั้น แต่ก่อนจะออกก็เหยียบคันเร่ง เร่งเครื่องใส่พี่ชอปเปอร์ แล้วก็ออกตัวโคตรแรง แต่ฉันไม่กล้าโวยวายอะไรออกไป
ยอมรับว่ากลัว ก็ไอ้พี่มันน่ากลัวนี่นา
หลายนาทีต่อมา…
“มึงไปหามันทำไม” ไอ้พี่เคลิ้มจอดรถข้างทางหลังจากที่ขับออกมาจากมหา’ลัยแล้ว ตอนนี้พี่เคลิ้มหันมาถามฉัน
“…” ฉันไม่ตอบหรอก ก็ไอ้พี่มันบอกให้ฉันเงียบ
“ปากมึงมีไว้แค่จูบกับมันหรือไง กูถามทำไมไม่พูด”
“…” ฉันจ้องไอ้พี่เคลิ้มแบบโกรธเคือง แล้วจากนั้นก็ล้วงโทรศัพท์มือขึ้นมากดพิมพ์แชตไลน์ส่งไปให้คนข้าง ๆ
ติ๊ง!
(NUMNIM: ก็บอกเองไหมว่าไม่ให้พูด บ้ารึเปล่า)
“มึงกวนตีนกูว่างั้น” ไอ้พี่เคลิ้มก้มหน้าอ่านแล้วเงยหน้าขึ้นมาหาเรื่องฉันอีกรอบ
(NUMNIM: พี่เป็นไรมากไหม ทำไมต้องมาโวยวายใส่นิ่ม นิ่มทำอะไรผิด)
ฉันพิมพ์ไปอีกรอบ คือฉันไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาโวยวายต้องมาอาละวาดขนาดนั้น ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเลยไหมแล้วเราก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน ทำเหมือนหึงหวง แล้วเขาจะหวงฉันทำไม เขาก็บอกอยู่ว่าเขาไม่ได้รักฉัน จะมาหวงทำบ้าอะไร
“ก็มึงมันโง่ไง” พี่เคลิ้มเหมือนจะคิดอยู่นานก่อนจะพูดคำนี้ออกมา เหมือนเขาสับสนตัวเอง พยายามหาคำตอบให้ตัวเอง และให้ฉัน
“…” ฉันมองหน้าพี่เคลิ้มนิ่ง ๆ จากนั้นก็ปลดล็อกประตูรถ แล้วก็ลงจากรถของเขาทันที
คือมันไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้วไหม ก็เข้าใจว่าเป็นคนหยาบ แต่มันมากเกินไปไง ด่าฉันเพื่ออะไร
“มึงจะไปไหนอ้วน ขึ้นรถ!” ไอ้พี่เคลิ้มรีบลงมาจากรถแล้ววิ่งมาดักหน้าฉัน
“หลีกไป” ฉันลั่นวาจาด้วยคำสองคำ และทำหน้านิ่งเฉย
“อ้วน มึงไปขึ้นรถเดี๋ยวนี้”
“ถอย!” ฉันตะคอกเสียง
“ไปขึ้นรถ” เขาก็เอาความต้องการของเขาเป็นหลักเช่นกัน
“คือจะอะไรนักวะ ถ้านิ่มโง่ก็เรื่องของนิ่มไหม พี่จะเสือกอะไร พี่ก็เป็นแค่คนรู้จัก เป็นแค่เพื่อนพี่ชายไหม จะอะไรมากมาย ปล่อยนิ่มโง่ไปสิ” ฉันพูดเสียงสั่นพร้อมน้ำตาที่เหมือนจะไหลริน ฉันไม่ใช่คนเรียบร้อย แต่ก็ใช่ว่าจะหยาบคายเท่าผู้ชายคนนี้
เราสองคนมองหน้ากันนิ่ง ๆ อยู่แบบนั้น จนกระทั่ง…
“ไปขึ้นรถ เดี๋ยวพี่ไปส่งบ้านนะนุ่มนิ่ม” พี่เคลิ้มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงและจับมือฉันเดินมาที่รถของเขา
และฉันยอมเดินมาง่าย ๆ เพียงเพราะเขาแทนตัวเองว่าพี่ และเรียกฉันว่านุ่มนิ่ม
ประโยคที่เขาพูดมามันทำให้ใจฉันสั่นไหวอีกแล้ว มันสั่นแบบเดียวกับที่ใบหน้าของพี่ชอปเปอร์โน้มใกล้ฉัน
นี่ฉันเป็นโรคใกล้ผู้ชายไม่ได้หรือไง ทำไมใจมันถึงเต้นแรงแปลก ๆ
“คาดเข็มขัดสิ” ไอ้พี่เคลิ้มหันมามองหน้าฉัน
ฉันจึงดึงเข็มเข็ดนิรภัยมาคาด ไม่อยากจะต่อปากด้วย
พอเขาเห็นฉันคาดเข็มขัดเรียบร้อยเขาก็ขับรถออกจากข้างทาง ภายในรถก็เงียบเชียบมาก ฉันหันมองข้างทาง ส่วนเขาก็คงมองทางท้องถนนด้านหน้า
“นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านของนิ่ม” ฉันทักท้วงเมื่อทางที่เขาขับไปมันไม่ใช่ทางไปบ้านของฉัน
“เดี๋ยวไปเอาของที่เพื่อนแป๊บ” เมื่อเขาบอกแบบนี้ แล้วฉันจะเลือกอะไรได้ ฉันเป็นแค่คนนั่งไหม ถกเถียงอะไรออกไปก็ทะเลาะกันอีก
แล้วภายในรถก็เงียบลงอีกครั้ง บอกตามตรงว่าไม่เข้าใจการกระทำ มาโวยวายเพื่ออะไร ถ้าฉันผอม ฉันสวย ฉันคงจะเข้าใจผิดคิดไปเองว่าที่เขาทำคือการหึงหวง คงเข้าใจว่าเหมือนเขาจะรักฉัน
แต่นี่ฉันอ้วน เปอร์เซ็นต์ต์ต์ต์ต์ที่เขาจะรัก จะหวงกันมันแทบไม่มี
ครึ่งชั่วโมงต่อมา…
ตอนนี้ฉันนั่งรอพี่เคลิ้มอยู่ในรถ ส่วนเขาเดินหายไปไหนก็ไม่รู้ บอกกับฉันแค่ว่าเดี๋ยวกลับมา ซึ่งฉันก็รอมาจะ 10 นาทีได้แล้ว จะว่าไปฉันควรทักไปถามพี่ชอปเปอร์ดีไหมนะว่าเขาเป็นยังไงบ้าง
“กลับบ้านค่อยทักดีกว่า” พูดขึ้นมาแล้วเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋า ถ้าโทรตอนนี้แล้วพี่เคลิ้มดันกลับมามันอาจจะวุ่นวายขึ้นอีก
นั่นไง เดินกลับมาแล้วจริง ๆ ด้วย ดีนะที่ไม่โทร
“อะ” พี่เคลิ้มเข้ามานั่งในรถแล้วยื่นบางอย่างมาให้ฉัน
“อะไร”
“แหกตาดูสิ ถามทำเพื่อ?” แล้วเขาก็ชักน้ำเสียงหงุดหงิด ฉันก็เลยแหกตาดูอย่างที่เขาบอก
“โตเกียว”
“เออ แดก ๆ ไปจะได้อารมณ์ดีไม่กัดกู” พี่เคลิ้มบอกและวางถุงลงที่ตักของฉัน
“ใครกันแน่ที่กัดคนอื่นเป็นหมาบ้า” พึมพำแล้วหยิบโตเกียวขึ้นมากิน
“เดี๋ยว…” ฉันปิดปากไอ้พี่ด้วยการยัดโตเกียวเข้าปากเขาก่อนที่จะได้ยินคำด่า
“อร่อยเนอะ ขอบคุณนะคะ” ฉันว่าจบก็ฉีกยิ้มกว้างให้คนที่กำลังทำหน้าอึ้ง ๆ
อึ้งต่อไปเถอะ ฉันไม่สนใจเขาหรอก เพราะโตเกียวตรงหน้ารสชาติมันอร่อยจริง ๆ
“วันหลังไปซื้อให้อีกหน่อยนะ อร่อยดี” ฉันหันไปยิ้มอีกรอบ
“ฝันเถอะ คิวก็ยาว เสียเวลา” ไอ้พี่เคลิ้มตอบก่อนจะขับรถออก
“นะจ๊ะพี่จ๋า ซื้อให้อีกนะจ๊ะ น้องจะไม่ดื้อ จะเชื่อพี่ทุกอย่าง” เพื่อของกินแล้วฉันยอมทุกอย่าง แต่คนข้าง ๆ เหมือนจะนิ่งผิดปกติ “เงียบทำไม เป็นอะไรรึเปล่าพี่” ฉันโน้มตัวไปข้างหน้า แล้วหันไปส่องหน้าไอ้พี่เคลิ้ม
“แดดตอนเย็นมันแรงเหรอ ทำไมหน้าพี่แดงจัง” กะพริบตาปริบ ๆ รอคำตอบ
“เสือก แล้วทีหลังอย่าเสือกพูดอะไรแบบนั้นกับใครเข้าใจไหม” ไอ้พี่เคลิ้มดันหน้าฉันให้กลับไปนั่งที่เดิม
“พูดอะไร” เออ พูดอะไร เมื่อกี้ฉันพูดไปตั้งเยอะ
“ไอ้คำเลี่ยน ๆ ของมึงไง” พอพูดประโยคนี้มาฉันรู้เลย
“อ๋อ พี่จ๋า ทำไมจ๊ะ พี่จ๋าไม่ชอบเหรอ” ฉันพูดออกไปพี่เคลิ้มก็นิ่งอีกแล้ว เป็นบ้าอะไรวะ
ช่างเถอะ ปล่อยเขาบ้าไป ฉันสนใจโตเกียวดีกว่า