09 จำเป็นอะไร

2579 Words
“แล้วอย่าทะลึ่งออกไปไหนล่ะ” พี่เคลิ้มพูดเหมือนสั่ง ซึ่งตอนนี้เขาจอดรถที่หน้าบ้านของฉัน “จะไปไหนได้ อย่างมากก็แค่ปั่นจักรยานไปปากซอยกินข้าวหมูแดงแล้วก็คุยกับลุงคนขาย” ฉันบอกและเตรียมลงจากรถ “จะแดกทำไมไม่บอกกู กูจะได้จอดให้กินให้เสร็จ” เขาเริ่มอารมณ์เสียอีกครั้ง อารมณ์เสียทำไม นุ่มนิ่มไม่เข้าใจ ปกติฉันก็ไปหาของกินบ่อยอยู่แล้วไหม “ก็นิ่มอิ่มอยู่ เดี๋ยวหิวก็ออกมาเอง พี่จะอารมณ์เสียทำไม” ฉันหันไปทำหน้าสงสัย “เสือก” เขาว่าฉันอีกแล้ว แล้วก็ขมวดคิ้วด้วย เป็นคนที่ปากจัด และอารมณ์ร้ายได้ตลอดเวลาจริง ๆ “หน้ามุ่ยบ่อย ๆ ไม่ดีนะจ๊ะพี่จ๋า ยิ้มบ่อย ๆ สิ อย่าดุน้องมากนัก น้องกลัวจนตัวบวมแล้วเนี่ย” ฉันยื่นมือไปจิ้มเกลี่ยให้คิ้วที่ขมวดของไอ้พี่เคลิ้มแยกออกจากกัน “เป็นอะไรอีก หน้าแดงอีกแล้วนะพี่ โวยวายบ่อยความดันขึ้นรึเปล่า เพลา ๆ อารมณ์ร้าย ๆ ลงบ้างนะ” จากที่จิ้มคิ้วฉันก็ยื่นมือไปแตะที่แก้มของพี่เคลิ้มทั้งสองข้าง แล้วก็มาแตะที่หน้าผาก ก็หน้าพี่เขามันแดงจนเหมือนจะผิดปกติ แล้วตอนนี้พี่เคลิ้มก็อยู่สภาพที่นิ่งค้างเหมือนตกใจอะไรของเขานั่นแหละ ชักจะพิลึก “กูจะดันหน้ามึงอะ ไอ้พฤติกรรมแบบนี้อย่าเสือกไปทำกับใครเข้าใจไหม เข้าบ้านไปอาบน้ำนอน พรุ่งนี้เราต้องเคลียร์กันเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ มึงเตรียมตัวไว้เลย วันนี้กูขี้เกียจทะเลาะด้วย ลงไปได้แล้วไอ้อ้วน” ไอ้พี่เคลิ้มยื่นมือมากระตุกผมหน้าม้าของฉันอีกแล้ว “ชิ!” ฉันเปิดประตูแล้วก็ตั้งท่าจะลงจากรถ แต่ก่อนจะลงฉันเอื้อมมือไปดึงที่หูไอ้พี่เคลิ้มหนึ่งที แล้วจากนั้นก็พาร่างอ้วน ๆ วิ่งเข้าบ้านทันที น่าหมั่นไส้ คนอะไรขี้โวยวาย ขี้บ่น บ่นทั้งที่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน อ้วน อ้วน อ้วน อ้วน เรียกอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวถ้าวันไหนผอมแล้วเรียกอ้วนอีกนะ โดนแน่ ๆ “วันนี้มันวันอะไรของฉันเนี่ย” ฉันพูดคนเดียวค่ะ พูดคนเดียวระหว่างเดินเข้าบ้าน บอกตามตรงว่าการพูดคนเดียวนี่เรื่องถนัดของฉันเลยล่ะ มโนเก่ง บางทีก็พูดสนทนากับเพื่อนในจินตนาการ จะว่าฉันบ้า ฉันว่าไม่ใช่หรอก ฉันก็แค่คนที่อารมณ์ดีมาก ๆ คนหนึ่งก็เท่านั้น จะติดก็ตรงที่ฉันอารมณ์ดีมากเกินไปหน่อยก็แค่นั้นเอง “เออ แล้ววันอะไร ถึงมีคนมาส่งหน้าบ้าน มันเป็นใคร” พอฉันก้าวขาเข้ามาในบ้านหลังจากที่ปิดรั้วแล้ว เสียงนุ่มทุ้มต่ำของพี่ชายคนที่หนึ่งก็ดังขึ้น เขาคือพี่ตั้ม พี่ชายฝาแฝดของฉันเอง “พี่เคลิ้มไง เดี๋ยวนี้เป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้มาวุ่นวายกับนิ่ม ไปประกาศจนคนเขารู้กันทั่วมอละว่านิ่มเป็นน้องสาวของแฝดฮอตคณะวิศวะ ไม่พ้นโดนเปรียบเทียบว่าเป็นเด็กเก็บมาเลี้ยง เป็นลูกหลง เป็นบ้าเป็นบออะไรนักก็ไม่รู้ ทั้งที่คนพูดสารรูปก็ใช่ว่าจะดี เกลียดนักเชียวพวกชอบนินทาคนอื่นไม่ดูตัวเอง อ้วนแต่หน้าสวยกว่าแล้วกัน คิดแล้วก็โมโห จะโทษพวกนั้นอย่างเดียวก็ไม่ได้ ในเมื่อพวกพี่ก็เกิดมาหล่อเกินหน้าเกินตานิ่ม” ได้ทีฉันก็ใส่อารมณ์กับพี่ชายคนโตทันที เพราะวันนี้มันมีกลุ่มนักศึกษาบางคนอ้าปากแซวล้อเลียนเปรียบเทียบฉันเรื่องรูปร่างของฉันกับพี่ชาย แล้วไหนจะเรื่องพี่ชอปเปอร์ให้เพื่อนมาขอโทษฉันอีก ถ้าฉันผอมฉันสวยฉันจะไม่อายหรอก แต่นี่มันไม่ใช่ไง! นุ่มนิ่มจะเริ่มลดหุ่นแล้วนะ จะได้ไม่ต้องอายใครอีก “แกพาลอะไรพวกพี่ยัยเล็ก แล้วผู้ชายที่พี่ถามถึงก็ไม่ใช่ไอ้เคลิ้ม แต่พี่ถามถึงไอ้คนที่เดินมาส่งแกจนถึงหน้าบ้านเมื่อคืนนี้” พี่ตามเดินออกมาจากบ้านแล้วจ้องหน้ารอคำตอบจากปากฉัน “รุ่นพี่ที่คณะ” ฉันบอกแล้วเดินเลี่ยงจากพี่ชายทั้งสองที่ตอนนี้จ้องจับผิด “แกจะหนีไปไหนยัยเล็ก มาพูดกับพี่ให้รู้เรื่อง เพราะนั่นมันหนุ่มฮอตของบริหาร แล้วมันก็คือหนึ่งในคนที่รังแกแกเมื่อวานนี้” พี่ชายฝาแฝดทั้งสองเดินมาล็อกแขนสองข้างของฉัน แล้วจากนั้นเขาก็หันหน้ามาจ้องหน้าฉัน “แม่!” ทางเดียวที่จะช่วยฉันได้ก็คือพ่อแม่ ฉันแหกปากสุดเสียงเลยก็ว่าได้ “แกเรียกไปเลย เรียกให้เสียงแหบแม่ก็ไม่ออกมา เพราะแม่ไม่อยู่” พี่ตามทำหน้าเหนือกว่า “แม่ไปไหน” “นี่แกคงไม่อ่านไลน์ครอบครัวใช่ไหมยัยเล็ก ถึงได้ไม่รู้เลยว่าแม่ไปดูงานกับพ่อที่อุดร และไปหลายเดือนด้วย” พี่ตั้มพูดเย้ยยิ่งกว่า น้ำเสียงแบบกวนประสาท “ทำไมนิ่มไม่รู้อยู่คนเดียว” ฉันเริ่มทำเสียงเหมือนจะร้องไห้ ทำไมแม่ไปแม่ไม่บอกฉัน น่าน้อยใจ “อย่ามาทำเหมือนจะร้องไห้ แม่กับพ่อก็บอกแล้วแต่แกไม่อยู่ แล้วแม่ก็บอกในไลน์ไว้ด้วย แกมันขี้ลืมไง ไปเข้าบ้าน เราสามพี่น้องมีเรื่องเคลียร์กัน” พี่ตามเป็นคนพูด แล้วหลังจากนั้นฉันก็โดนหิ้วปีกเข้าบ้าน ทั้ง ๆ ที่ฉันอ้วนแต่พี่ชายทั้งสองของฉันกลับมีแรงลากฉัน ฉันเบื่อการมีพี่ชายเป็นนักสืบที่สุด “ว่ามา ทำไมมันมาส่งแกที่หน้าบ้าน” พี่ตามเป็นคนจับจ้องพร้อมจับขาฉันไว้ ซึ่งตอนนี้ฉันถูกลากมานั่งที่โซฟา โดยที่มีพี่ตั้มยืนล็อกแขนทั้งสองข้างของฉันจากด้านหลัง “ก็บอกว่ารุ่นพี่…อ๊ะ อย่า ฮ่า ๆ พอพี่” พอฉันตอบไปแบบนั้นไอ้พี่ตามมันก็เอานิ้วมาจักจี้ที่ฝ่าเท้าอวบ ๆ ของฉัน ฉันมักแพ้วิธีการแบบนี้ตลอด เพราะฉันเป็นคนบ้าจี้มาก “จะบอกไหมว่ามันมาส่งบ้านได้ยังไง” พี่ตามเว้นช่วงให้ฉันหายใจ และเหมือนจะให้โอกาสฉันตัดสินใจด้วยแหละ “ก็เขาเป็นรุ่นพี่ไง” “จัดไปไอ้ตามรอบนี้สามสิบวิ” พี่ตั้มออกคำสั่ง และล็อกแขนล็อกตัวฉันไว้แน่น ส่วนพี่ตามก็ล็อกขาแล้วก็ทำการจักจี้ จากนั้นฉันก็โดนลงโทษเพราะความปากแข็งเป็นเวลาสามสิบวินาที แล้วมันก็โคตรยาวนานเลยล่ะสำหรับคนบ้าจี้เช่นฉัน “พอ พอ งื้อ อ่า ฮ่า ๆ พอแล้ว น้องยอมแล้ว ฮ่า ๆ” นึกว่าตัวเองเป็นหมูโดนน้ำร้อนลวกแล้วชักดิ้นชักงอเถอะ มันเหมือนแบบนั้นจริง ๆ นะ “ว่ามา” พี่ตามหยุดแล้วหันหน้ามาจ้อง แต่อย่าหวังว่าพี่ตั้มจะปล่อยแขนฉันเลย เพราะพวกเราสามคนต่างรู้ดีว่าเราร้ายกันทั้งนั้น ถ้าเกิดปล่อยฉันก็วิ่งหนีไง พวกเขาโดนบ่อยจนเริ่มระวัง แม้ฉันจะอิดออดว่า… “โอ๊ย ปล่อยแขนก่อนได้ไหมนิ่มเจ็บแขน อึดอัดไปหมดแล้วเนี่ย นิ่มอ้วนยังมาบังคับกักขังนิ่มอีก เกิดขาดอากาศหะ…” “อีกหนึ่งนาทีดีไหม จะได้เลิกบ่ายเบี่ยงหาทางหนี” พี่ตั้มกระซิบที่หูฉัน แล้วเขาทำจริงแน่ ๆ ถ้าฉันยังเจ้าเล่ห์อยู่แบบนี้ “นิ่มก็ไม่รู้จักเขา เมื่อวานพี่เคลิ้มมาส่ง บอกว่าพวกพี่ติดกิจกรรม คนรถก็ไม่อยู่ พี่เคลิ้มเลยอาสามาส่ง แวะกินข้าวที่หน้าปากซอย ข้าวหมูแดงร้านลุง แล้วพี่เคลิ้มก็บอกว่ามีธุระ บอกให้นิ่มนั่งวินเข้าบ้าน แต่วินมันไม่มีนิ่มก็เลยเดิน คราวนี้พี่คนนั้นเขาก็ขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดดักหน้า แล้วบอกว่าจะไปส่งบ้าน แต่นิ่มไม่ไป เขาก็เลยบอกจะเดินมาส่งเงียบ ๆ เพราะมันอันตราย แล้วก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ” ใครจะไปเล่าหมดล่ะ ถ้าขืนบอกว่าเป็นรุ่นพี่ที่แอบปลื้ม ฉันก็โดนพี่ชายฝาแฝดหัวเราะเยาะน่ะสิ “แกพูดจริงนะยัยเล็ก” พี่ตามจ้องหน้าฉัน “จริงสิ” ฉันยืนยันเสียงหนักแน่น ก็เรื่องที่พูดมันคือเรื่องจริงนี่นา เพียงแต่ฉันเล่าไม่หมดก็เท่านั้น “มันชอบน้องเรา” พี่ตั้มปล่อยแขนฉันให้เป็นอิสระ แล้วจากนั้นก็โดดข้ามมานั่งที่โซฟาข้างตัวฉัน “แต่มันหล่อ น้องเราอ้วน เรื่องที่มึงพูดไม่มีทางเป็นไปได้” ไอ้พี่ตามที่นั่งตรงพื้นพรมออกความเห็นและยังล็อกเท้าฉันไว้อยู่ พอพูดว่าฉันอ้วนฉันก็อยากจะยันโครมให้หงายหลังซะจริง แต่ก็ได้แค่คิด เพราะที่นั่งอยู่คือพี่ชายของฉัน “งั้นมันจะทำดีด้วยทำไม” พี่ตั้มยื่นมือมาโอบคอฉัน แล้วก็มองหน้าฉันแบบค้นหาคำตอบ ฉันเกลียดพี่ชายที่ทำตัวเหมือนตัวเองเป็นโคนันที่สุด “กูไม่รู้ แต่จากที่สืบจากสาว ๆ ของมันมา มันเป็นคนเงียบ ๆ พูดน้อย ใครขอคบมันก็คบแต่ไม่เคยพูดคำว่ารักกับผู้หญิงคนไหน” ดูสิ นี่ถึงขั้นไปสืบกันมาแล้ว คือทำเหมือนหวง ทั้งที่น้องสาวโคตรอ้วน ดีนะที่ไม่รู้ว่าฉันคุยกับแบล็ค ไม่งั้นป่านนี้คงสืบรู้แล้วว่าใครคือแบล็ค “แล้วมาพัวพันกับยัยเล็กทำไมวะ ยัยเล็กน่าดูตรงไหนวะ” ยังคงวิจารณ์และจับจ้องใบหน้าฉัน ต่อยพี่ชายนี่ผิดไหมนะ ครืด ครืด… โทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดันร้องขึ้นมาเวลานี้อีก “ใครโทรมา! รับเดี๋ยวนี้” นั่นไง งานเข้าไหมล่ะ “เดี๋ยวค่อยรับ” ฉันแสร้งทำเสียงดุ “แบบนี้แสดงว่ามีความลับ หยิบขึ้นมารับเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นจะเจอ...” แล้วพี่ตามก็ตั้งท่าจะจักจี้ฉันอีกครั้ง ฉันก็เลยต้องหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋า วางอยู่ข้างตัวขึ้นมา “ไอ้เคลิ้ม… วีดีโอคอลซะด้วย ไอ้นี่อีกตัว เดี๋ยวขอเคลียร์ทีละตัวก่อน รับสายมัน” พี่ตั้มส่องและออกคำสั่ง แล้วคือไอ้พี่เคลิ้มจะโทรมาทำไมตอนนี้ “กดรับ” พี่ตั้มสั่งอีกรอบ ส่วนพี่ตามก็จ้องหน้ากดดัน ฉันก็เลยต้องกดรับสาย “ว่า” ฉันพูดแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ กล้อง จะได้ไม่ต้องเห็นพี่ตั้มที่นั่งโอบไหล่ฉันอยู่ (กูถึงบ้านแล้ว มึงทำไร ทำไมทำหน้าแบบนั้น) พี่เคลิ้มบอกในขณะที่มืออีกข้างก็ถือบุหรี่สูบ “หน้าปกติ” ปกติกับผีน่ะสิ พี่ชายทั้งสองแทบจะสิงอยู่แล้ว (อ่อ แล้วเอาหน้าติดกล้องทำเหี้ยอะไร หน้าก็บาน เอาหน้ากับกล้องออกห่าง ๆ ดิ๊) ไอ้พี่เคลิ้มด่าฉันพร้อมกับสั่งเป็นนัย ๆ “ไม่ ไม่มีอะไรแล้วก็…” (เอาหน้าบาน ๆ ของมึงถอยจากกล้องดิ๊ กูว่ากูเห็นแขนคนคล้องคอมึงอยู่ ให้ไวเลย เร็ว ๆอย่าให้กูโมโห) “แขนคนบ้าอะไร ไม่มีตาฝาดแล้ว” (เอาหน้าบาน ๆ ของมึงถอยออกจากกล้องเดี๋ยวนี้) คำก็หน้าบาน สองคำก็หน้าบาน นุ่มนิ่มก็โมโหเป็นนะโว้ย “นี่พี่ จะอะไรนัก หน้าบาน หน้าบานอยู่นั่นแหละ ชื่อนุ่มนิ่มไม่ใช่หน้า…” (ไอ้สัส! แขนไอ้เหี้ยตัวไหนคล้องคอมึงอยู่) พี่เคลิ้มมันลุกขึ้นยืน แล้วก็ทำหน้าหงุดหงิด ฉันก็เลยมองเข้าไปในจอ สรุปว่าฉันยื่นหน้าออกมาไกลเกินก็เลยเห็นแขนของพี่ตั้ม (มึงอยู่กับใคร ทำไมให้มันคล้องคอ เดี๋ยวกูจะบอกพี่มึง เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยวมึงเจอกู) ในขณะที่ฉันอึ้งนั้นทุกอย่างก็เริ่มวุ่นวายขึ้น “แขนกูนี่แหละไอ้สัสเคลิ้ม แล้วนั่นบ้านมึงเหรอ กูว่าข้างหลังนั่นมันรูปถ่ายอินรักนะ บอกน้องกูว่าถึงบ้าน แต่อยู่ห้องเพื่อนสนิทชิดเนื้อ” “ไอ้เคลิ้มมันอาจจะคิดว่าที่นั่นเป็นบ้านมันก็ได้ไอ้ตั้ม” พี่ตามลุกขึ้นมานั่งโซฟาข้างฉัน (เหี้ยอะไรพวกมึง แค่นี้นะ) “เฮ้ย! ไอ้เคลิ้ม” พี่ตามเรียกพร้อมโผล่หน้าเข้ากล้อง พี่เคลิ้มก็ขมวดคิ้วใส่ “ฟังไว้ไอ้เคลิ้มเพื่อนรัก มึงจะเคลิ้มกับใครก็ได้ แต่อย่าคิดมาทำน้องสาวกูเยิ้ม” พี่ตั้มเป็นคนพูด (กูไม่ได้คิดอะไรกับน้องสาวมึง ก็แค่น้องสาวเพื่อนสนิท มึงก็เห็นว่าผู้หญิงของกูแต่ละคนสวยแค่ไหน จำเป็นอะไรที่กูต้องคิดกับน้องมึงแบบนั้น) พี่เคลิ้มรีบพูดขึ้น ส่วนฉันก็รู้สึกเจ็บหน่วงที่ใจแบบแปลก ๆ “ก็ดี เพราะน้องกูมันอ่อนต่อโลกมึงก็รู้” พี่ตามบอก (เออ มึงก็รู้ว่าที่กูทำไปเพราะอะไร แค่นี้นะอินรักกำลังจะออกจากห้องน้ำแล้ว) พี่เคลิ้มตัดสายไป ส่วนฉันก็นิ่งไง “ไม่ได้คิดอะไรกับไอ้เคลิ้มใช่ไหม” พี่ตามเป็นคนถาม “ไม่ ปากหมาแบบนั้นจะให้คิดอะไร” ฉันรีบตอบ “ก็ดี เพราะพี่กลัวเล็กเข้าใจผิด ที่มันทำกับเล็กแบบนั้น ก็แค่เห็นว่าเล็กอ่อนต่อโลกเหมือนจิลลาน้องสาวมัน และมันไม่อยากให้เล็กโดนแบบจิลลา มันก็เลยคอยดูแลในช่วงที่พวกพี่ไม่ว่าง เล็กก็ได้ยินแล้วว่า…มันไม่ได้คิดอะไรกับเล็ก นอกจากมองเป็นน้องสาวคนนึง เพราะมันมีผู้หญิงที่มันรักอยู่แล้ว” พี่ตั้มพูดแล้วก็ลูบที่หัวฉัน “นิ่มไม่ได้อ่อนโลก ฝากบอกเขาด้วยไม่ต้องมาวุ่นวายกับนิ่ม เพราะมันน่ารำคาญ ชีวิตที่มอของนิ่มมันวุ่นวาย นิ่มไม่ชอบ และนิ่มก็ไม่ได้อยากได้พี่ชายเพิ่ม แค่สองคนก็ปวดหัวกับความหล่อที่มาพร้อมความซกมกพอแล้ว” ฉันบอกและลุกขึ้นยืน คว้าโทรศัพท์จากมือของพี่ตั้มใส่กระเป๋า แล้วจากนั้นก็เดินขึ้นห้อง อย่างน้อยก็ได้รู้สาเหตุที่เพื่อนของพี่ชายมาปรากฎตัว และสร้างความวุ่นวายในชีวิตฉัน ก็แค่คิดว่าฉันคือน้องสาวของเพื่อนสนิท “ใช่ไง อย่างที่เขาบอกเลยว่าคนอ้วนอย่างแกใครจะชอบ มโนไม่ดูสารรูป น่าอายสิ้นดี” ฉันพึมพำหลังจากที่ทิ้งตัวลงนอนที่เตียงขนาดใหญ่ภายในห้อง ก็ไม่คิดจะร้องไห้หรอกนะ เพียงแค่รู้สึกหน่วง ๆ ที่หัวใจเท่านั้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD