แต่ใจฉันยังรัก 2

2026 Words
I HATE YOU 2 เราต้องหมั้นกัน ถ้อยคำชวนน่าหัวเราะดังลอยก้องในหัวฉันไม่หยุด หมั้นเหรอ? ทั้งที่เขาคอยปฏิเสธสามเวลาหลังอาหารเกี่ยวกับการหมั้นการแต่งงานแต่ทำไมตอนนี้ถึงเป็นฝ่ายพาฉันมาที่นี่แทน ฉันไม่ตอบอะไรกรแต่มือกดโทรศัพท์ต่อสายหาพี่ชายทันทีแต่โทรไปหลายสายพี่ก็ยังไม่รับทางเลือกสุดท้ายของฉันคือโทรไปหาคุณพ่อ (ว่าไง? ถึงหรือยัง) “หนูไม่หมั้น ไม่แต่งอะไรทั้งนั้น” ฉันบอกไปพรางกัดริมฝีปากตัวเองแน่น กลัวจะหลุดเสียงสะอื้นออกมาให้คนข้างๆรำคาญแค่เสียงคุยโทรศัพท์เขาก็น่าจะรำคาญมากแล้ว (ทำไมลูกถึงไม่อยากหมั้นกับกร หนูรัก...) “แค่เคยค่ะ ตอนนี้ไม่แล้วและหนูไม่หมั้น” ฉันยืนยันจุดประสงค์ตัวเอง หวังให้พ่อได้เห็นใจแต่เปล่าเลยปลายสายตอบหลับมาเสียงขุ่นพร้อมกับเสียงแทรกของคนที่ฉันเรียกว่าแม่ (ไม่รักก็ต้องหมั้นก่อน//อย่ามาเรื่องมาก ฉันเสียให้แกไปตั้งเท่าไหร่ช่วยครอบครัวแค่นี้จะเป็นไร) การบังคับให้หมั้นพวกเขาใช้คำว่าแค่นี้อย่างนั้นเหรอ? แล้วความสุขที่หายไปของฉันมันเป็นเรื่องแค่นี้เหรอ “ถ้าคุณต้องการหนูก็จะทำ” แม้ฉันจะไม่มีความสุขและเจ็บปวดกับมันก็ตาม “ครับแม่” เสียงกรทำให้ฉันหันหน้าหลบไปฝั่งกระจกและเอนเบาะเหมือนว่ากำลังจะนอนและปล่อยให้น้ำตาไหลเงียบๆ นอนฟังเสียงกรคุยกับแม่เขาอย่างสุภาพ ฉันได้แต่อิจฉาอยู่ในใจกับความน่ารักอบอุ่นของเขาและครอบครัว “พริกเหรอครับ? หลับอยู่ครับสงสัยวันนี้เรียนหนัก” “แม่ก็ผมไม่ทำหรอกน่า ใกล้ถึงแล้วล่ะครับ” “ไม่ต้องรอครับดึกแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เจอไงลูกสะใภ้แม่ยังไม่ไปไหนหรอกน่าเดี๋ยวผมบอกพริกเอง” น่าอิจฉาจังลูกสะใภ้แม่เขาและคนที่ทำให้เขายิ้มได้ พอได้ก้มมองตัวเองฉันก็สมควรแล้วล่ะที่เขาไม่ชอบใจเวลาเจอหน้า เรื่องราวของเราสองคนเริ่มจากตอนที่เด็กๆเราเล่นด้วยกันเพราะผู้ใหญ่สองบ้านเป็นเพื่อนกันและฉันก็มักจะเล่นกับกรทุกครั้งที่เขามาที่บ้านแต่เจ้าตัวก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบฉันแต่ถึงอย่างนั้นการที่เราโตขึ้นและยังคอยแอบมองคนที่เกลียดเราอยู่ห่างๆตลอดหลายปีมันก็ทำให้เราเปลี่ยนจากแอบชอบเป็นแอบรักโดยที่เราไม่ทันจะรู้ตัว แม้จะโตขึ้นเขาก็ยังเกลียดฉันจากแค่ไม่ชอบหน้าในตอนเด็กพอโตขึ้นคำว่าเกลียดก็ออกจากปากเขาเมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองครอบครัวบอกเรื่องแต่งงานของฉันกับเขาท่ามกลางโต๊ะอาหาร เขาเงียบทำหน้าไม่พอใจและเอ่ยวาจาว่าจะไม่แต่งเพราะมีแฟนอยู่แล้วและเขาเกลียดฉันมากจนไม่อยากจะมองหน้าฉันเลยด้วยซ้ำ ห้าทุ่มกว่าก็มาถึงโรงแรมเราเดินเข้าโรงแรมโดยมีพ่อแม่ของกรยืนรออยู่พร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่นปนเปกับดีใจ ฉันยกมือไหว้พวกท่านทั้งสองก่อนจะเอื้อมมือไปดึงกระเป๋าจากมือของกรแต่เจ้าตัวกลับจับไว้แน่นและย้ายกระเป๋าไปถือด้วยมืออีกข้าง “เป็นยังไงบ้างลูก ลูกชายแม่ขับรถเร็วหรือเปล่า” คุณป้าจีเอ่ยถามอย่างอบอุ่นท่านเดินเข้ามาโอบเอวฉันและพาเดินไปที่ลิฟต์ไม่นานเราทั้งสี่ก็เข้าไปอยู่ที่ห้องพักห้องหนึ่ง “แม่จองไว้แค่ห้องเดียวนะลูก ยังไงก็อยู่ด้วยกันไปก่อนนะงานหมั้นเราทั้งสองตอนเช้า เดี๋ยวตีสี่จะมีช่างเข้ามาแต่งหน้าแต่งตัวให้ทั้งสองคน” “พวกผมจะตื่นไหมล่ะครับแม่” “งั้นเดี๋ยวแม่เข้ามาปลุกเอง คืนนี้ก็นอนพักกันเถอะดึกแล้ว” ป้าจีเดินเข้ามากอดฉันก่อนจะบอกฝันดี ก่อนออกไปท่านพูดอะไรอีกหลายประโยคแต่ฉันกลับตกใจเพราะไม่คิดว่าหมั้นที่พ่อกับแม่พูดถึงคือพรุ่งนี้ตอนเช้าเลยนะ พรุ่งนี้เช้า “นอนพักได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้หน้าโทรมนะ” เพื่อนร่วมห้องที่ฉันไม่อยากสนใจเอ่ยแซ็วมาแต่ฉันกลับเงียบดังเดิมและเดินไปที่โซฟามุมห้องคงนอนนี่แหละ ฉันจะไม่มีวันนอนบนเตียงกับเขาและฉันก็มั่นใจว่าเขาเองก็ไม่อยากนอนบนเตียงเดียวกับฉันแน่ๆ “มานอนดึกแล้ว” คนที่หายเข้าไปในห้องน้ำเดินออกมาพร้อมกับเรียกเสียงเข้มแต่ฉันนอนบนโซฟาและกำลังเล่นเกมอยู่ อยากหาใครสักคนคุยและระบายสิ่งที่อยู่ในใจแต่ก็ไม่มีฉันไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วง พี่ชายก็เงียบหายไปไม่ยอมรับการติดต่อจากฉันเลยสักช่องทาง “พริกไทย มานอนได้แล้ว” กรเอ่ยเรียกเสียงอ่อนแรง ตั้งแต่ที่เจอเขาฉันยังไม่ได้คุยอะไรกับเขาเลยสักประโยคตอนนี้น้ำลายฉันบูดไปแล้วล่ะเงียบนานขนาดนี้เวลาอยู่กับเพื่อนนะฉันคุยจนเพื่อนหลับใส่ก็มี แต่ตอนนี้ฉันคุยไม่ได้ฉันไม่มีความสุข 04.00 น. “กรลูก กรตื่น” “อื้อ แม่กี่โมงแล้ว” “ตีสี่แล้ว ช่างแต่งหน้ามารอแล้วนะตื่นได้แล้ว ปลุกน้องด้วย” “ครับ พริก พริกไทยตื่นได้แล้ว” เสียงเรียกเสียงคุยกันดังอยู่ข้างหูไม่หยุดฉันลืมตาขึ้นมองอย่างสงสัยพอเจอกับสายตาสองคู่จ้องพร้อมกับรอยยิ้มฉันก็ต้องสะดุ้งตกใจ นึกว่าจะเป็นอย่างที่เคยเจออยู่หัวหิน แต่เปล่าเลยทั้งสองเป็นคนทั้งกรและแม่ของเขากำลังมองฉันด้วยสายตาอบอุ่น ไฟในห้องถูกเปิดจนสว่างและแสงสว่างที่จ้าเกินไปทำให้ฉันแสบตาไปหมด แต่เดี๋ยวนะ ฉันขึ้นมานอนบนเตียงได้ยังไงฉันจำได้ว่าฉันหลับอยู่บนโซฟานี่ “ไปอาบน้ำได้แล้ว ช่างมารอแล้ว” กรยกมือเกลี่ยแก้มฉันเบาๆพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่น ฉันเบี่ยงหลบก่อนจะก้าวลงจากเตียงแม้จะเขินอายที่ตื่นขึ้นมาบนเตียงกับผู้ชายอย่างเขาท่ามกลางสายตาผู้ใหญ่ฝ่ายเขาฉันก็ไม่กังวลเพราะไม่ว่ายังไงในสายตาใครต่อใครคงมองฉันเป็นผู้หญิงไม่ดีไปแล้ว ฉันอาบน้ำเสร็จก็สวมเพียงชุดคลุมอาบน้ำเพราะไม่ได้หยิบอะไรเข้ามาด้วยเลยแม้กระทั่งชุดชั้นใน ฉันเปิดประตูห้องน้ำออกมาก็เจอกับกลุ่มที่เป็นช่างแต่งหน้ากำลังเตรียมของอยู่ที่โซฟาที่ฉันเคยวางของไว้เมื่อคืน กรหันมาเจอฉันเขาก็ตีหน้ายุ่งและหยิบกระเป๋าเดินตรงเข้ามาหาทันที สายตาแบบนี้ฉันคงทำอะไรผิดอีกแล้วสินะ “ใส่ชุดชั้นในแล้วสวมเสื้อคลุมทับ” ฉันรับของตัวเองมาเงียบๆและทำตามที่เขาบอก เมื่อปฏิเสธไม่ได้ก็ต้องจำนนในทุกอย่าง แค่หมั้นเอง ฉันปลอบตัวเองในใจเป็นร้อยๆรอบเพราะแค่หมั้นเลยคิดว่าคงไม่มีใครรู้ “มาค่ะคุณน้องพี่จะจัดให้เต็มฝีมือเลย” พี่ช่างแต่งหน้าบอกสร้างความมั่นใจฉันนั่งให้ช่างแต่งหน้าทำผมอยู่นานก่อนจะลงเอยด้วยการเลือกชุด แม้กระทั่งชุดที่ต้องใส่ฉันก็เพิ่งเคยได้เห็นน่าตลกนะว่าไหม ฉันนั่งรอเวลามือก็โทรหาพี่ชายต่อเนื่อง อยากคุยกับพี่แต่คนที่เป็นที่พึ่งเดียวของฉันตอนนี้กลับหายไปติดต่อไม่ได้เลยสักช่องทาง “หิวไหม ทานอะไรก่อนไหมเดี๋ยวสั่งให้” “...” ฉันกดโทรศัพท์ส่งหาพี่ชายไม่ได้สนใจเจ้าของเสียงนั้นเลยสักนิด “ยังไม่ตื่นหรือไงกันหือ?” มือหนาลูบที่ผมเบาๆมันคงดูอ่อนหวานในสายตาช่างแต่งหน้าที่ยังอยู่ในห้องนอนแต่สำหรับฉัน มันคงเป็นเพียงละครฉากใหญ่ที่เขากำลังแสดง “ไม่ต้องแกล้งทำ ต่างคนต่างอยู่” เป็นประโยคแรกที่ฉันคุยกับเขานับตั้งแต่เมื่อวาน พูดจบฉันก็เดินเลี่ยงไปที่ระเบียงห้องพักก่อนจะดูวิวในยามเช้าตรู่ อากาศเย็นสบายแบบนี้ฉันชอบจัง “พริก...” “คุณน้องชุดมาถึงแล้วค่ะเปลี่ยนชุดเลยนะจะได้ลงไปข้างล่างกัน” ไม่นานชุดไทยประยุกต์ก็อยู่บนร่างฉันเครื่องประดับถูกสวมใส่โดยช่างแต่งหน้าจากร้านดังฉันยืนนิ่งเป็นหุ่นให้พวกเขาสั่งหันซ้ายหันขวาอย่างตามใจ โดยมีพี่คนหนึ่งคอยถ่ายรูปฉันโดยใช้โทรศัพท์ที่แสนคุ้นตาแต่ไม่ว่ายังไงก็นึกไม่ออกว่าของใคร กรเดินออกจากห้องน้ำโดยที่เขาเองก็ใส่ชุดไทยของผู้ชายสีเดียวกันกับฉันเขามองฉันเงียบๆถ้าไม่ได้คิดมากมุมปากของเขากำลังยกยิ้มราวกับกำลังพอใจในอะไรบางอย่าง ฉันมองเมินสายตาวิบวับนั่นหันไปมองแม่ที่กำลังเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับป้าจี “สวยจริงลูกแม่” แม่เอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม ป้าจีเองก็ยิ้มให้ฉันเช่นเดียวกัน “ขอบคุณค่ะ” “ไหนลุกแม่ทั้งสองคนมาถ่ายรูปคู่กันหน่อยเร็วเดี๋ยวจะต้องเข้าพิธีแล้วนะ” ป้าจีกวักมือเรียกลูกชายท่านให้เดินเข้ามาใกล้ ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับใบหน้าเรียบๆไม่ยินดียินร้ายอะไรทั้งสิ้น “มาๆยืนข้างน้องแม่จะให้ช่างถ่ายรูป ถ่ายรูปเก็บไว้ให้” เราทั้งสองยืนข้างกันโดยเว้นระยะห่างไว้จนช่างภาพบอกให้ชิดกันและยิ้มกรทำตามอย่างไม่รีรอช่างภาพถ่ายรูปเราตามมุมต่างๆของห้องนอกจากช่างภาพแล้วยังมีพี่ช่างแต่งหน้าคนนั้นที่กำลังใช้โทรศัพท์กดถ่ายรูปไว้อีกช่องทาง “ยิ้มหน่อยไม่ได้หรือไง แม่ฉันหน้าเสียแล้วนะ” กรกระซิบข้างหูเมื่อเรากำลังจัดท่าอยู่ประตูระเบียงห้องที่เป็นกระจก ฉันไม่ตอบเขาพอช่างภาพบอกให้มองกล้องแล้วยิ้มฉันก็ยิ้มเท่าที่จะยิ้มได้เสียงรัวชัตเตอร์ดังถี่ๆราวกับว่ารอจังหวะที่ฉันยิ้ม “ยิ้มก็ได้นี่ ทำไมไม่ยิ้มล่ะ” ฉันตวัดสายตามองกรอย่างไม่พอใจ “อย่านะ แม่ๆอยู่นะช่างภาพก็ถ่ายรูปอยู่” เขาขู่เสียงเบา ฉันยิ้มให้เขาพร้อมกับกระซิบคุยอย่างหงุดหงิด “เพราะเป็นนายไงฉันเลยไม่อยากยิ้ม” ฉันหันไปมองกล้องเมื่อช่างภาพบอกให้เราทั้งสองมองกล้อง “ทำไม? ฉันทำไมไม่ทราบ” มือหนาเกลี่ยเส้นผมที่ตกลงระหน้าออกให้อย่างเบามือ เสียงชัตเตอร์และแฟรชสว่างวูบวาบถี่ๆอีกครั้ง “เพราะอะไรนายก็น่าจะรู้ดี” “เสร็จนี่แล้วเรามาคุยกัน” เขาบอกเสียงเข้มก่อนจะกดริมฝีปากลงบนหน้าผากฉันเร็วๆท่ามกลางเสียงกรี๊ดจากพี่แต่งหน้าที่คอยมองคอยบิ้วให้เราจัดท่าและยิ้ม “พักก่อนเถอะครับ พริกน่าจะหิวแล้ว” หลังจากผละออกจากฉันเล็กน้อยเขายกท่อนแขนโอบเอวฉันไว้และเอ่ยบอกกับช่างภาพ “งั้นเราพอแค่นี้ก่อนแล้วกันครับ” “ขอบคุณครับ ไปทานอะไรก่อนเดี๋ยวจะได้ลงไปแล้ว” กรบอกและจูงมือฉันไปที่โซฟาที่มีอาหารง่ายๆวางอยู่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD