บทที่6.3

1390 Words
วันถัดมา “แก...อย่าเงียบดิ” “...” “มีอะไรก็คุยกันดีๆ ดิวะ” “...” “ตัวเอง...ไม่งอนเค้านะ มาง้อแล้วเนี่ย ดีกันๆๆ” เพราะยัยเพื่อนตัวดียังงอนตุบป่องไม่หาย จึงเป็นหน้าที่ของฉันที่ต้องทำให้มันหายโกรธและยอมคืนดี แต่มันก็ยังเงียบและเชิดหน้าหนี ให้ตายสิ! ให้ง้อน่ะไม่ใช่งานยากสำหรับฉันหรอก แต่ไอ้ที่ทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดเป็นพิเศษคือสายตาของยัยเพื่อนร่วมห้องที่ไม่ค่อยลงรอยกันน่ะแหละ พอเห็นฉันถูกยัยส้มเปรี้ยวเมินใส อีพวกบ้านั่นก็หัวเราะคิกคักกันใหญ่ ชิชะ ตลกกันเข้าไป ขำกันไปเลย ยัยพวกบ้า! “...” ฉันก่นด่าพวกนั้นในใจแล้วหันมาง้อเพื่อนสนิทต่อ เพราะคาบแรกจะเริ่มในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้แล้ว ทำไมไม่ยอมพูดกับฉันสักทีล่ะ นี่ก็เตรียมตัว เตรียมรูหูให้มันว๊ากใส่แล้วนะ สู้ให้ด่ายังดีกว่ามาเงียบเป็นเป่าสากแบบนี้อีก “ยัยเปรี้ยว เราเป็นเพื่อนกันหรือเปล่าวะเนี่ย” ฉันทำหน้าเหมือนแมวน้อยถูกทิ้งริมทางพลางเอาหน้าไปไถแขนหลายๆ ทีกะเรียกร้องความสนใจจากคนข้างๆ ได้ ซึ่งเหมือนว่าการกระทำของฉันจะประสบผลนิดหน่อยมั้งมันจึงใช้หางตาเหลือบมอง...แต่ไม่นานก็ตวัดกลับอย่างหยิ่งทระนง เล่นตัวจริงๆ เพื่อนใครเนี่ย... “ขนลุก” มันพูดเสียงรำคาญ “หายงอนหรือยาง ดีกันเถอะ สัญญาแล้วว่าต่อไปถ้าเป็นไข้ไม่สบาย ตัวร้อน ขี้ไม่ออกฉันก็จะบอกแกทุกอย่างเลยเนอะ ส่วนเรื่องพี่อาร์อ่า...ฉันรู้นะเว้ยว่าแกเป็นห่วงฉันน่ะ แต่แกก็รู้จักนิสัยฉันดีนี่หว่า” ฉันพูดออกไปตรงๆ “ฉันสัญญาอีกรอบ...ถ้าฉันทนไม่ไหวจริงๆ ฉันจะเดินออกมาเอง คนเรามันทนอยู่กับสิ่งที่มีขีดจำกัดนานๆ ไม่ได้อยู่นี่นา” อันนี้ก็พูดตามตรงเช่นกัน เพียงแต่ว่า...ฉันแค่เลี่ยงประเด็นนิดหน่อยเพื่อให้มันรู้สึกสบายใจขึ้น “ให้มันจริง” ยัยเพื่อนผู้น่ารักแต่แอบโหดเหลือบมองอีกครั้งหนึ่ง “เพราะฉันเตือนแกแล้ว” “รู้แล้วจ้า” ฉันยิ้มกว้างๆ พยักหน้ารัวๆ จนปวดคอ แต่ลึกลงไปมันก็อดคิดไม่ได้อยู่ดีถูกไหม ปกติยัยส้มเปรี้ยวมันไม่เคยพูดเล่นอยู่แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องที่มีผลต่อความรู้สึกของฉันน่ะ แต่ก็นั่นแหละนะ อย่างน้อยๆ ฉันก็ควรเชื่อมั่นในความคิดและรู้สึกของตัวเองมากกว่า ถ้ามันบอกไม่ก็คือไม่ ถ้าบอกดีก็คือต้องดี หรือถ้ามันแย่จริงๆ ฉันก็ต้องรับได้... ถ้าทุกอย่างมันย่ำแย่ลงจริงๆ ฉันก็คงโทษที่ตัวเองนี่แหละ ไม่โทษใครหรอก ตอนเลิกเรียน วันนี้ยัยส้มเปรี้ยวต้องออกไปข้างนอกกับพ่อมันน่ะ คงเป็นธุระสำคัญล่ะมั้งถึงออกไปตั้งแต่ยังเรียนคาบสุดท้ายไม่เสร็จ ฉันที่ตั้งใจชวนมันมาดูพี่อาร์เล่นบาสด้วยก็เลยนั่งหงอยคนเดียวอย่างนี้ นักเรียนบางตาลงแล้ว พระอาทิตย์เริ่มตกดิน บรรยากาศเองก็เริ่มเย็นลง แต่ยังไร้วี่แววพี่เขาอยู่ดี ปกติเขาไม่มาค่ำขนาดนี้นี่นา เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ฉันคิดอย่างเป็นกังวล คอยื่นคอยาวมองตรงประตูทางเข้าที่เขาชอบเดินเข้ามาพร้อมบาสลูกโปรด และเหมือนฟ้าจะอ่านใจฉันได้เลยไง คิดถึงปุ๊บก็ปรากฏตัวปับ... ใบหน้านิ่งๆ กับผิวขาวเหมือนแวมไพร์ของเขายังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี แม้แต่ฉันที่นั่งรออยู่ริมสนามด้วยเช่นกัน “พี่อาร์!” เสียงของฉันดังพอที่จะทำให้เขาได้ยิน แต่เขาแค่หันกลับมาแล้วเลิกคิ้วนิดหน่อยเหมือนถามว่ามีปัญหาอะไร หูย...แบดไปอีก “ข้าวต้มกุ้งอร่อยมากเลยค่ะ” “...” “หนูกินหมดเกลี้ยงไม่แบ่งแม่เลยจะบอกให้” ฉันยิ้มแล้วยกนิ้วโป้งเพราะมันอร่อยอย่างที่ปากบอกจริงๆ อ้อ...ฉันมั่นใจด้วยว่าครั้งนี้ไม่ได้มโนหรือคิดไปเอง เพราะฉันสังเกตเห็นรอยรองเท้าของพี่อาร์ที่ห้องครัวด้วย ฉันจำไซส์รองเท้าของเขาได้ดีและมั่นใจว่าเมื่อวานไม่มีผู้ชายคนไหนเข้าบ้านนอกจากเขา “พล่ามอะไร” เขาถามเสียงติดรำคาญ แต่ฉันชินแล้วเลยพูดขึ้นมาอีกด้วยรอยยิ้มที่ยังคงประดับอยู่บนใบหน้า “อย่าแกล้งไม่รู้เลยน่า หนูรู้หมดแล้วว่าพี่อาร์เป็นทำข้าวต้มกุ้งเมื่อวานอ่ะ ขอบคุณนะคะ” “...” พี่อาร์เงียบ นัยน์ตาคมกล้าหรี่มองฉันผ่านสายลมที่พัดผ่านมาพอดี “พี่อาร์ใจดีขนาดนี้ หนูว่าคงตัดใจจากพี่ยากแล้วล่ะ” ฉันสารภาพอย่างจริงจัง แต่พี่อาร์ไม่พูดอะไรอีกตามเคย เขาเงียบเหมือนในปากอมอะไรสักอย่างไว้ เขามองฉันด้วยสายตาอ่านยากแบบนั้นแล้วหันไปสนใจกับลูกบาสในมือ... ฉันนั่งดูเขาโชว์ทักษะขั้นเทพด้วยความชื่นชนอยู่ตรงขอบสนามซึ่งปูด้วยต้นหญ้าสีเขียวขจี ทุกท่วงท่าที่เขาขยับไหวมันดูน่าหลงใหลและชวนให้คนมองรู้สึกใจเต้นแรงอย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งเห็นว่าเหงื่อจากการออกกำลังกายชุ่มไปทั้งเสื้อที่เขาสวมจนแนบกับกล้ามเนื้อหนั่นแน่น...อือหือ ไม่อยากจะบรรยาย “พี่อาร์ต้องหิวน้ำแน่ๆ” ฉันเรียกสติตัวเองกลับคืนมาแล้วรีบจึงวิ่งจู๊ดไปยังร้านค้าหน้าโรงเรียนทันที... โดยหารู้ไหมว่าเจ้าของร่างสูงโปร่งหันกลับมาช่วงที่คนตัวเล็กออกจากโรงเรียน สิ่งที่เขาเห็นจึงมีแค่ความว่างเปล่าจนเกิดความคิดว่า...ยัยเด็กน่ารำคาญคนนั้นคงกลับบ้านไปแล้ว อาร์ยกหลังมือปาดหยาดเหงื่อที่เกาะพราวทั่วใบหน้าลวกๆ ยกนาฬิกาข้อมือสีดำขึ้นดูเวลา เขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าเขาเองก็ควรกลับเช่นกัน แต่... พลั่ก! เพราะฉันรีบเกินไปหรือยังไงก็ไม่รู้ จังหวะพุ่งตัวไปตรงประตูทางเข้าเลยชนกับใครสักคนจนขวดน้ำเปล่าหลุดมือและกลิ้งตกพื้นทันที โอ๊ย พี่อาร์ไม่หนีไปไหนหรอกน่า รีบไปตายหรือไงยัยบ้าพาย! ฉันด่าตัวเองแล้วก้มเก็บขวดน้ำขึ้นมา พอเงยหน้าขึ้นก็ไม่ลืมยกมือไหว้เพื่อขอโทษ ทว่า...ฉันชะงัก! ก็คนตรงหน้าไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นพี่อาร์ในสภาพชุ่มเหงื่อ เขาใช้สายตาง่วงนอน นิ่งเนือยตามแบบฉบับของเขามองฉันเหมือนเวทนาให้ความซุ่มซ่าม ฉันเลยถือโอกาสนั้นยื่นขวดน้ำให้เขาซะเลย “หนูซื้อนี่มาให้ค่ะ!” “เก็บไว้กินเองเถอะ” เขาปฏิเสธแล้วเดินผ่านไหล่ไปเฉยๆ แน่นอนว่าฉันก็เดินตามเขาเหมือนกัน ระหว่างทางไม่ลืมเปิดฝาขวดไปด้วย “อ่า...ไม่ดื่มสักหน่อยเหรอคะ” ฉันถามและเดินตามต้อยๆ “ถ้าพี่อาร์ไม่เอา งั้นหนูขอดื่มนะ แฮๆ” ฉันยิ้มแห้งให้แผ่นหลังกว้างเพราะไอ้การเร่งรีบเมื่อครู่นี้ทำให้ฉันเหนื่อยเอาการ พึ่บ! อ๊ะ แต่ก็ต้องตกใจจนร่างแข็งทื่อไปเลย...เพราะฉันยกดื่มได้เพียงสองอึก พี่อาร์ที่เหมือนไม่ใส่ใจและเดินนำหน้าเงียบๆ ก็หันกลับมาแล้วแย่งขวดน้ำไปดื้อๆ! แต่ไม่น่าตกใจเท่ากับการที่เขายกดื่มมันต่อหน้าฉัน ตอนแรกก็ดีใจอยู่หรอกที่เขายอมรับมัน หากแต่มีบางสิ่งที่แปลกไป...คือพี่อาร์เขามีนิสัยการดื่มน้ำตรงข้ามกับฉันโดยสิ้นเชิง เขาจะยกดื่มโดยที่ริมฝีปากไม่โดนปากขวด แต่ฉันมักจะดูดปากขวดเพราะติดนิสัยมาตั้งแต่เด็ก ...แล้วตอนนี้น่ะพี่อาร์กลับจรดริมฝีปากลงไปตรงปากขวดซึ่งทับรอยลิปบาล์มรสสตรอว์เบอร์รี่ของฉันเมื่อครู่นี้ราวกับจงใจ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD