อันหนิงกินน้ำแกงไปหนึ่งถ้วยก็รู้สึกอิ่ม หลังจากแบ่งน้ำแกงปลาให้นางกำนัลทั้งสอง ในหม้อก็ยังคงมีเหลืออยู่มาก ดังนั้นส่วนที่เหลือทั้งหมดจึงเข้าไปอยู่ในท้องของฉู่จวิ้น
ในระหว่างที่เขายังกินไปเรื่อยๆ อันหนิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็เขียนจดหมายแจ้งความเป็นอยู่เพื่อส่งไปให้เสด็จแม่ที่อยู่ในวัง
นางไม่ได้จงใจปกปิดเนื้อความในจดหมาย ดังนั้นฉู่จวิ้นจึงเฝ้าดูว่านางเขียนอะไรลงไปอย่างเปิดเผย เมื่อเขาเห็นว่าข้อความบรรทัดแรกที่นางเขียน ล้วนเป็นการชื่นชมว่าเขาดูแลนางดีเพียงใด มุมปากของชายหนุ่มยกยิ้มขึ้นมา บรรยากาศระหว่างสองสามีภรรยาเต็มไปด้วยความหวานชื่น
"องค์หญิง ฮูหยินใหญ่มาหาเพคะ!" เสี่ยวจูส่งเสียงเรียกเข้ามาด้วยความตกใจ
อันหนิงรีบลุกขึ้นช่วยทำความสะอาดโต๊ะ ส่วนฉู่จวิ้นยกถ้วยน้ำแกงและสิ่งของอื่นๆ ไปซ่อนที่หลังบ้าน
แต่ดูเหมือนว่ากลิ่นน้ำแกงในห้องจะยังคงมีอยู่ ดังนั้นจะให้ท่านแม่สามีเข้ามาในห้องนี้ไม่ได้เด็ดขาด
ฮูหยินซุนเดินตามเสี่ยวเจินเข้าไปที่ห้องโถง โดยหลังของนางยังมีสาวใช้ข้างกายติดตามมาด้วย หลังจากนั่งรออยู่ไม่นานฮูหยินซุนก็เห็นว่าลูกชายของตนเดินตามองค์หญิงออกมาจากห้องด้านใน
เมื่อเห็นเช่นนั้นฮูหยินซุนก็รู้สึกประหลาดใจมาก โดยปกติองค์หญิงไม่ค่อยชื่นชอบลูกชายคนเล็กของตนนัก เมื่อพวกเขาอยู่ด้วยกันมักจะมีท่าทีมึนตึงต่อกันเสมอ แต่ครั้งนี้พวกเขาดูเข้ากันได้ดี หรือว่าในที่สุดองค์หญิงก็ได้ค้นพบข้อดีของลูกชายคนเล็กแล้ว!
อันหนิงเมื่อเห็นแม่สามีนางก็รีบเดินเข้าไปใกล้และจับแขนด้วยท่าทางประจบ “ท่านแม่”
ฮูหยินซุนตกตะลึง!
หลังจากที่ลูกชายคนโตและลูกชายคนรองแต่งงาน ลูกสะใภ้ทั้งสองต่างก็เรียกนางว่าท่านแม่ แต่ว่าลูกสะใภ้คนเล็กที่มีฐานะเป็นองค์หญิงนั้นมีสถานะสูงส่งและมักจะเรียกนางว่าฮูหยินใหญ่ด้วยความสุภาพมาโดยตลอด
ตอนนี้เมื่อได้ยินลูกสะใภ้คนเล็กเรียกนางว่า 'แม' หญิงวัยกลางคนก็รู้สึกตื้นตันใจขึ้นมาทันที!
ในหนังสือองค์หญิงไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของคนในครอบครัวนี้จริงๆ แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป นางต้องการที่จะใช้ชีวิตที่ดีกับฉู่จวิ้น ดังนั้นจึงต้องพยายามปรับตัวเข้าหาคนในครอบครัวของเขา
ซึ่งตอนที่นางกำลังยิ้มแย้มพูดคุยกับแม่สามี ก็ไม่รู้เลยว่าฉู่จวิ้นมองนางด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ได้
"องค์หญิง เสวยอะไรแล้วหรือยังเพคะ"
อันหนิงรีบตอบ "ตอนนี้ลูกสะใภ้ปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศที่นี่ได้แล้วเจ้าค่ะ ความอยากอาหารก็เริ่มกลับมา ทานบะหมี่ไปได้มากทีเดียว"
เมื่อได้ยินเช่นนั้นฮูหยินซุนก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ "ดี ดี องค์หญิงผอมลงมาก ต้องเสวยให้มากหน่อยนะเพคะ"
อันหนิงพยักหน้า หลังจากสนทนากันสักพัก ฮูหยินซุนก็ขอตัวกลับ โดยมีฉู่จวิ้นและอันหนิงเดินออกมาส่งที่หน้าเรือน
เมื่อทั้งสองเดินกลับฉู่จวิ้นก็ถามนางขึ้นมา "ทำไมท่านถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้"
อันหนิงคิดคำตอบสำหรับเรื่องนี้เอาไว้แล้ว "ข้าฝันร้ายว่า…ถ้ายังทำตัวนิสัยเช่นเดิมสุดท้ายจะไม่เหลืออะไรเลย"
"แต่ตอนนั้นท่านบอกว่าไม่ได้ฝันอะไรนี่" ฉู่จวิ้นสงสัย
อันหนิงหน้าแดงเล็กน้อย "ก็ตอนนั้นข้ายังหวาดกลัวอยู่ แล้วท่านก็ทำเรื่องเช่นนั้น ข้าก็เลยไม่มีเวลาบอกท่าน"
หญิงสาวพูดจบก็รีบเดินนำหน้าไปเพราะกลัวว่าเขาจะถามอีก นางรีบเดินเข้าห้องแล้วปิดประตูไม่ให้เขาเข้ามา
เมื่อฉู่จวิ้นลองผลักประตู และพบว่ามันไม่ขยับ ชายหนุ่มยืนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปที่ลานกลางเรือน
เขาคิดว่าในเมื่อตอนนี้ไม่มีอะไรทำ เช่นนั้นก็ไปทำฉมวกไว้แทงปลาสักหลายๆ อัน รวมถึงต้องสานตระกร้าเอาไว้ใส่สัตว์ที่ล่ามาด้วย เพราะในอนาคตเขาต้องขึ้นเขาอยู่บ่อยๆ มันจะได้สะดวกมากกว่าถือมามือเปล่า
ในห้องอันหนิงรีบเขียนจดหมายที่ค้างไว้ให้เสร็จ นางไม่ได้เขียนใส่ร้ายครอบครัวของสามีเลยสักบรรทัด และบอกว่าพวกเขาต่างดูแลนางเป็นอย่างดี ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่สบายใจ
หลังจากปิดผนึกจดหมาย จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงเหลาไม้ที่นอกหน้าต่าง เวลานี้ฉู่จวิ้นนั่งอยู่บนม้านั่งเล็กๆ ถือไม้ไผ่ลำยาวกำลังใช้มีดเหลาไม้ให้แหลมด้วยสีหน้าตั้งอกตั้งใจ แขนเสื้อทั้งสองข้างถูกม้วนขึ้นเหนือข้อศอก เผยให้เห็นท่อนแขนที่แข็งแรงเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ
อันหนิงเฝ้ามองภาพนี้อย่างเงียบๆ ในใจก็คิดว่าในอนาคตหากพวกเขาผ่านเรื่องวุ่นวายต่างๆ แล้วไปอยู่ในพื้นที่ชนบทใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายด้วยกันก็คงจะดีไม่น้อย