ในตอนที่กำลังอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะ อันหนิงก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เมื่อคืนฉู่จวิ้นทำเรื่องเช่นนั้นกับนางอยู่เกือบหนึ่งชั่วยาม ตามความรู้ที่ได้รับจากโลกเดิม การที่บุรุษชักท่อนลำออกมาปลดปล่อยด้านนอกนั้นไม่ได้ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์เลยสักนิด เพราะระหว่างที่อยู่ในห้วงอารมณ์นั้นบุรุษย่อมมีน้ำเชื้อหลั่งออกมาอยู่แล้ว
"ดูเหมือนว่าเจ้าของร่างจะมียาห้ามครรภ์พกติดตัวมาอยู่นะ" อันหนิงพึมพำกับตัวเอง ตามความทรงจำของร่างเดิมก่อนที่จะออกเดินทางมายังหมู่บ้านชนบท เสด็จแม่ได้มอบของสิ่งหนึ่งมาให้ อันหนิงเดินไปที่หัวเตียงแล้วหยิบหีบไม้ขึ้นมา
ภายในหีบนอกจากจะมีเครื่องประดับอยู่เล็กน้อย ก็ยังมีขวดกระเบื้องขนาดเล็กอยู่หนึ่งขวด "มีจริงๆ ด้วย"
ภายในวังหลวงไม่ได้มีเพียงพระสนมที่ต้องการจะตั้งครรภ์ บางคนก็รังเกียจที่จะตั้งครรภ์ ซึ่งแต่ละคนก็มีหลายเหตุผลแตกต่างกันไป อย่างเช่นว่าคลอดลูกบ่อยและไม่ต้องการคลอดอีก รวมถึงพวกที่ต้องการที่จะรักษารูปร่างเอาไว้ หรือบางคนที่ไม่ได้รับความโปรดปรานจนทนความอ้างว้างไม่ไหวแอบไปมีความสัมพันธ์กับองครักษ์ในวัง พวกนางก็พยายามหาวิธีหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ให้ได้มากที่สุด
เรื่องราวดำมืดในวังหลังเหล่านี้ องค์หญิงอันหนิงเคยได้ยินอยู่บ่อยครั้ง และอย่าห้ามครรภ์ขวดนี้เสด็จแม่เป็นผู้มอบให้ กำหนดให้ใช้ได้เพียงเดือนละสามเม็ด หากใช้มากเกินไปจะเป็นการทำร้ายร่างกายของตน
ตามธรรมเนียมฉู่จวิ้นเป็นหลานชาย จึงไว้ทุกข์ให้กับผู้เป็นย่าเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น การแอบทำเรื่องนั้นมากกว่าสามครั้งต่อเดือน แม้จะไม่เพียงพอสำหรับร่างกายที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มแน่นของเขา แต่ก็ถือว่าพอจะช่วยบรรเทาไปได้มาก
"คงได้แต่ต้องใช้วิธีนี้ไปก่อน" ยาห้ามครรภ์มีรสขมเล็กน้อย อันหนิงรีบดื่มน้ำตามลงไปครึ่งชาม เพื่อเจือจางรสชาติของยาที่หลงเหลืออยู่ที่ปลายลิ้น แม้ว่าในหนังสือองค์หญิงอันหนิงจะไม่ได้ตั้งครรภ์เลยจวบจนสามีจากไป แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมเพราะองค์หญิงคนก่อนไม่ชอบที่จะร่วมรักกับสามี แต่อันหนิงไม่เหมือนกันเพราะนางชอบทำเรื่องเช่นนี้มาก และพวกเขาต้องแอบทำกันบ่อยๆ แน่!
ด้านนอกเรือนนางกำนัลสองคนกำลังปรึกษากันว่าเที่ยงนี้จะทำอะไรให้องค์หญิงเสวย
แต่ทันใดนั้นพวกนางก็ได้ยินเสียงเหมือนของตกที่ข้างกำแพง!
ใบหน้าของนางกำนัลทั้งสองซีดลง หรือว่าจะมีหัวขโมยปีนเข้ามาในบ้าน เสี่ยวเจินรีบวิ่งไปที่ห้องครัวอย่างรวดเร็วเพื่อหยิบมีด!
เมื่อเสี่ยวเจินคว้ามีดทำครัวและวิ่งออกไป ก็เห็นว่าฉู่จวิ้นกำลังเดินเข้ามา มือทั้งสองข้างของเขาถือปลาอ้วนๆ อยู่สองตัว
นางกำนัลทั้งสองเห็นเช่นนั้นก็ตกตะลึง!
ฉู่จวิ้นมองมีดทำครัวแวววาวในมือของเสี่ยวเจิน แล้วก็เข้าใจทันที "ในเมืองแห่งนี้ทุกคนรู้ว่าที่นี่คือบ้านบรรพบุรุษของตระกูลฉู่ โจรทั่วไปย่อมไม่กล้าจะเข้ามา แต่ถ้าหากว่ามีโจรกล้าเข้ามาจริงๆ มันก็คงไม่กลัวมีดทำครัวของเจ้า…ต่อไปหากมีอะไรผิดสังเกตให้ตะโกนดังๆ องครักษ์ที่ลาดตะเวนอยู่จะรีบมาช่วยเอง"
เสี่ยวเจินพยักหน้า แต่นางก็ยังถามต่อด้วยความสงสัย "แล้วถ้าเป็นฟู่หม่าล่ะเจ้าค่ะ"
"ต่อไปข้าจะผิวปากส่งสัญญาณบอกก่อน"
นางกำนัลทั้งสองรับคำ ฉู่จวิ้นเดินเข้าไปที่ครัว วางปลาบนเขียงก่อนจะทำความสะอาดคอดเกล็ดเพื่อเตรียมทำน้ำแกงปลา "เที่ยงนี้ข้าจะทำน้ำแกงปลา ส่วนตอนเย็นพวกเจ้าก็ย่างปลาให้องค์หญิง"
ดวงตาของเสี่ยวเจินเบิกกว้าง "นี่…ไม่เหมาะสมนะเจ้าคะ ให้พวกบ่าวเป็นคนทำเถอะ"
ฉู่จวิ้น "น้ำแกงปลานี้ข้าจะเป็นคนทำเอง ส่วนอีกตัวตอนเย็นพวกเจ้าค่อยเอาไปย่างแล้วกัน" พูดจบเขาก็ให้นางกำนัลทั้งสอง ออกไปจากบริเวณห้องครัว พร้อมกับปิดประตูหน้าต่างจนมิดชิดเพื่อป้องกันไม่ให้กินของเนื้อปลาเล็ดรอดออกไป
เสี่ยวเจินกับเสี่ยวจูจึงได้แต่ไปรายงานให้องค์หญิงทราบว่าตอนนี้ฟู่หม่าได้กลับมาแล้ว
อันหนิงรู้ว่าฉู่จวิ้นเป็นทหาร ยามออกศึกนั้นเขาสามารถฆ่าสัตว์นำมาย่างกินได้ แต่นางไม่รู้ว่าเขาสามารถปรุงน้ำแกงปลาที่มีขั้นตอนละเอียดพิถีพิถันได้ด้วย
ท่านพ่อของฉู่จวิ้นหลังจากได้รับตำแหน่งราชการที่เมืองหลวงเขาก็อยู่อาศัยที่นั่นมาโดยตลอด ส่วนท่านย่าไม่คุ้นเคยกับการอาศัยอยู่เมืองหลวงนัก ดังนั้นท่านย่าจึงพาลูกชายคนรองกลับมาอาศัยอยู่ที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้
ตอนที่ฉู่จวิ้นอายุได้สิบขวบ เขาทะเลาะกับผู้เป็นบิดาอย่างหนักจึงขอให้ท่านแม่พาคนมาส่งให้อยู่อาศัยกับท่านย่า ชายหนุ่มอาศัยอยู่ที่นี่จนถึงอายุสิบหกปี ท่านย่าก็ขอร้องให้เขากลับไปยังเมืองหลวงเพื่อจะได้มีหน้าที่การงานที่ดี
ในช่วงหกปีที่ผ่านมา ท่านย่าเป็นคนชนบทที่ชอบทำอาหารด้วยตัวเอง ฉู่จวิ้นจึงมักเข้ามาในครัวเพื่อช่วยก่อไฟ ดังนั้นเขาจึงได้เรียนรู้ทักษะการทำอาหารจากผู้เป็นย่ามาบ้าง
เมื่อเขายกฝาหม้อขึ้นก็เห็นว่าน้ำแกงได้ที่แล้ว ชายหนุ่มหยิบถ้วยที่อยู่ตู้ในด้านข้างออกมาใส่น้ำแกง ก่อนจะเลือกช้อนและตะเกียบที่ดูเข้าชุดกันมาวางใส่ถาด
ฉู่จวิ้นเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับถาดน้ำแกงปลาในมือ เขาวางถาดอาหารลงบนโต๊ะและจัดแจงยกถ้วยน้ำแกงออกมา "น้ำแกงยังร้อนอยู่ องค์หญิงรีบมาเสวยเถอะ"
น้ำแกงปลาด้านหน้ามีกลิ่นหอมมาก แต่ว่าอันหนิงยังคงลังเล "พวกเราแอบกินเนื้อสัตว์เช่นนี้ จะถือว่าอกตัญญูหรือไม่"
ฉู่จวิ้นหัวเราะเสียงเบา "ตอนที่ท่านย่ายังมีชีวิตอยู่ ท่านย่าชอบมองดูข้ากิน ยิ่งข้ากินได้เยอะเท่าไหร่ท่านย่าก็ยิ่งดีใจ ตอนนี้ท่านย่าเห็นพวกเราหิวโหยกันเช่นนี้ย่อมต้องทุกข์ใจมากเป็นแน่"
เมื่อได้ยินเช่นนี้อันหนิงจึงหยิบช้อนขึ้นมา หลังจากชิมน้ำแกงไปหนึ่งคำ นางก็พบว่าเนื้อปลาสดมาก รสชาติน้ำแกงกลมกล่อมกำลังพอดี ไม่มีก้างปลาอยู่ในน้ำแกงเลยแม้แต่น้อย
ฉู่จวิ้นภรรยาพอใจในรสชาติของน้ำแกงที่ตนเองทำ เขาก็นั่งยิ้มด้วยความยินดี ดูเหมือนว่าองค์หญิงจะไม่โมโหง่ายเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว "ข้าว่าท่านผอมลงไปมากเลยนะ ต่อไปข้าจะขึ้นเขาล่าสัตว์มาทำอาหารให้ท่านทุกวัน"
สายตาของอันหนิงบังเอิญเหลือบไปเห็นว่าบริเวณกางเกงของชายหนุ่มยังมีคราบโคลนเปื้อนอยู่บางส่วน หัวใจของนางอ่อนยวบ เมื่อเห็นว่าเขาออกไปล่าสัตว์ตั้งแต่เช้า เพื่อหาเนื้อสัตว์มาทำอาหารให้นางกิน ดังนั้นเพื่อเอาใจเขาอันหนิงจึงกินน้ำแกงเข้าไปอีกหลายคำ
ฉู่จวิ้นยิ้มด้วยความพอใจ แต่จู่ๆ เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย "ดูเหมือนว่าในห้องจะมีกลิ่นยา ท่านไม่สบายที่ใดหรือ"
"ข้ากลัวที่จะตั้งครรภ์ในช่วงไว้ทุกข์ ก็เลยกินยาห้ามครรภ์เข้าไป" อันหนิงตอบตามตรง
ฉู่จวิ้นขมวดคิ้ว "ยาห้ามครรภ์" เขาเข้าใจว่ายานี้หากกินเข้าไปบ่อยๆ อาจจะส่งผลเสียต่อร่างกาย "ยาชนิดนี้อันตรายเกินไป ต่อไปท่านไม่ต้องกินอีก ช่วงไว้ทุกข์นี้ข้าจะไม่แตะต้องท่าน"
อันหนิงรีบคว้าข้อมือของเขา เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด "ท่านไม่จำเป็นต้องอดทนมากถึงเพียงนั้น ก่อนที่จะแต่งงานแม่นมสอนข้าแล้วว่ามีวิธีอื่นที่สามีภรรยาจะใกล้ชิดกันได้"
ฉู่จวิ้นจ้องมองริมฝีปากบางสีชมพูของนางด้วยสายตามีความหมาย "ท่านหมายถึง…"
อันหนิงรีบก้มหน้าแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย "ท่านรีบกินแล้วก็รีบไปอาบน้ำได้แล้ว"