บทที่ 2 เจอกันอีกครั้ง

2109 Words
“ฉันจะไป” มาร์โคชะงักคำพูดไว้เพียงแค่นั้น เขาพยักหน้ารับแม้ว่าจะมีคำถามอยู่ร้อยแปดอย่างในหัว ทว่าหากนายไม่อยากบอกหรือเล่าอะไร เขาก็ไม่ได้มีหน้าที่ถามถึงเรื่องส่วนตัวของคนเป็นนาย ข่าวใหญ่หลายเดือนที่ผ่านมาคงหนีไม่พ้นการกลับมาของคาริสา ไม่ต่างไปจากที่คิดสักเท่าไร คาลเวิร์ตถูกพูดถึงไปพร้อมกับเธอ บ้างก็ว่าจริง ๆ แล้วเธออาจจะไม่ได้นอกใจเขา เพียงแต่ว่าการปิดบังการมีชีวิตอยู่ของเธอนั้นเป็นการปกป้องเธอ ซึ่งมาเฟียหนุ่มก็ไม่ได้ออกมาไขความกระจ่างนี้ให้กับคนในวงสังคมเดียวกันแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่นิ่งเฉยไม่ได้เอ่ยถึงเธออีก ต่างจากวันนี้ที่เขาได้รับบัตรเชิญงานเลี้ยงการกลับมาของคาริสาจากคริสเตียน ปั่ก!! ลูกสนุ๊กที่ตกกระทบกันส่งเสียงดังสนั่นห้องนั่งเล่น คาลเวิร์ตนิ่งเฉยไม่ได้มีสีหน้าอะไร เขาค่อย ๆ ขยับตัวไปตามทิศทางของลูกสนุ๊ก และขณะนั้นเองที่เสียงโทรศัพท์ของมาร์โคก็ได้ทำลายความเงียบสงบนี้ ครืดด ครืดด~ “ขอโทษครับ” ชายหนุ่มค้อมศีรษะให้กับคนเป็นนาย เขารีบล้วงโทรศัพท์ออกมาดูรายชื่อทันที ทว่ารายชื่อที่เห็นก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่รับ ทว่ายามนี้เขาไม่ควรที่จะรับสายเธอขณะที่อยู่กับคนเป็นนาย ทว่า “ใคร...” เสียงทุ้มลึกของคนเป็นนายดังขึ้น ขณะที่สายตาของเขายังคงเล็งลูกสนุ๊กอยู่ มาร์โคไม่เคยชะงักกับรายชื่อโทรเข้าของใคร มาร์โครู้ดีว่าถ้าอยู่กับเขาไม่ควรรับสายใครหน้าไหนที่ไม่ใช่เรื่องงานทั้งสิ้น ทว่าการชะงักไปของมาร์โคก็ทำให้เขาเกิดความใคร่รู้ “เอ่อ...คุณมินตราครับ” ชายหนุ่มไม่ได้กดตัดสาย ซึ่งชื่อของเธอทำให้ไม้สนุ๊กนั้นหลุดจากเป้าหมายในทันที คาลเวิร์ตกะพริบตาถี่ ๆ มองลูกสนุ๊กที่กลิ้งผิดทิศทางนั้น ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ “ผมขอรับสายได้หรือเปล่า เอ่อ พอดี...เอ่อ ตอนนี้ก็ไม่ได้ทำงาน” “อืม” มาร์โคยกยิ้มบาง ๆ ให้กับการตอบรับของอีกฝ่าย ก่อนที่เขากดรับสาย ทว่าพอจะเดินออกไปคุยข้างนอก ไม้คิวสนุ๊กของคนเป็นนายก็ได้ยกขึ้นขวางหน้าเขาเสียก่อน “ครับ มีอะไรเหรอครับ” มาร์โคยกมือขึ้นปิดโทรศัพท์ไม่ให้เสียงของตนเล็ดเข้าไป ทว่า “เปิดลำโพง” “อะไรนะครับ?” คาลเวิร์ตเอียงศีรษะ เขาไม่เข้าใจว่ามาร์โคไม่เข้าใจเขาพูดหรืออย่างไร ซึ่งพอเห็นนายทำหน้าไม่พอใจชายหนุ่มก็รีบกดเปิดลำโพงทันที [ฮัลโหลค่ะ ทำไมไม่ได้ยินเสียงเลยคะ...มาร์โค พี่คะ...] คาลเวิร์ตขมวดคิ้ว เสียงของเธอทำให้ใจแกร่งสั่นไหว ราวกับถูกโอบด้วยสายน้ำอุ่น มันกระชุ่มกระชวยกับน้ำเสียงสดใสของเธอ ทว่า ทำไมเธอถึงเรียกลูกน้องคนสนิทของเขาว่าพี่เช่นนี้ “เอ่อ ได้ยินไหมครับ” [โอ๊ะ! ได้ยินแล้วค่ะ นึกว่าที่โรงพยาบาลไม่มีสัญญาณซะแล้ว] “โรงพยาบาล? ไปทำไมครับ ไม่สบายหรือครับ” คาลเวิร์ตกำลังจะอ้าปากถามอย่างลืมตัว ทว่าก็ไม่ทันมาร์โคเสีย [เอ่อ นิดหน่อยค่ะ อ้วกบ่อยมาก แล้วก็เวียนหัวค่ะ แต่ว่าไม่ต้องห่วงนะคะ ที่ฉันโทรมาแค่จะถามว่า...โรมตื่นยังคะพี่] “ตื่นแล้วครับ” ต้นสายเงียบไป ขณะที่ในหัวของมาเฟียหนุ่มเต็มไปด้วยคำถามว่าเธอไม่สบายหรืออย่างไร ทำไมถึงอยู่โรงพยาบาล [ตื่นเช้าจังค่ะ ตอนนี้ที่อิตาลีคงเพิ่งหกโมงเช้าหรือเปล่าคะ ทำไม...] “คุณคาร์นตื่นน่ะครับ” [อ่อ เหรอคะ เขา...ทำอะไรอยู่เหรอคะ] มินตราคงไม่รู้ว่าเอ่ยถามถึงเขาโดยที่เจ้าตัวยืนฟังอยู่ ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มบาง ๆ “ทำงานครับ” มาร์โคโกหก นายของเขาคงไม่อยากให้เธอรู้ว่าเจ้าตัวกำลังแอบฟังเสียงของเธออยู่ แต่แล้ว [มินครับ พยาบาลเรียกแล้วนะ...] เสียงทุ้มลึกภาษาไทยไม่คุ้นหูทำให้คาลเวิร์ตหันขวับมองตามเสียงจากโทรศัพท์ทันที คิ้วหนาขมวดเข้าหากันด้วยความใคร่รู้ว่าเสียงผู้ชายที่เรียกมินตรานี้เป็นใคร [พี่คะ มินต้องไปแล้วนะคะ เอ่อ...ถ่ายรูปกรุงโรมให้ด้วยนะคะ...] ติ๊ด! ริมฝีปากหนาอ้าค้างไว้กลางอากาศ คาลเวิร์ตอารมณ์คุกรุ่นอย่างบอกไม่ถูก เขากำลังจะยื่นมือไปคว้าโทรศัพท์จากลูกน้องคนสนิท แต่เธอกลับตัดสายทิ้งเสียก่อน “โทรกลับ” “อะไรนะครับ” “โทรหาเธอ...” มาร์โคเลิ่กลั่ก เขาไม่อยากรบกวนเจ้าหล่อน ขณะเดียวกันน้ำเสียงของคนเป็นนายก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ “เอ่อ ครับ” สุดท้ายแล้วมาร์โคจักทำอะไรได้ เขากดโทรหาเธออีกครั้งตามที่นายต้องการ ทว่ากลับไม่ได้รับการตอบรับจากเธอ “ไม่รับครับ” “ทำไม” “เอ่อ...ไม่ทราบครับ” คาลเวิร์ตขมวดคิ้ว เขาหายใจฮึดฮัดด้วยความไม่พอใจ น้ำเสียงของชายที่อยู่ในโทรศัพท์ของเธอเมื่อครู่ ดูสนิทสนมกับเธอเสียเหลือเกิน “เอ่อ ผมฟังไม่ออก เหมือนจะมีคนพูดแทรกเธอนะครับ” “จิ๊!!...” คาลเวิร์ตจิ๊ปากอย่างไม่พอใจ เขาขมวดคิ้วจนผูกเป็นโบว์ได้ ทำเอามาร์โคมึนงง ชายหนุ่มฟังภาษาไทยไม่ออกและไม่รู้ว่าเจ้านายหงุดหงิดอะไร แต่ให้เดาก็คงหวงของไม่รู้ตัว... @The great feature group [Bangkok, Thailand] “พู่ว~” ตึกสูงระฟ้าตรงหน้าทำให้มิล่าต้องพ่นลมหายใจออกมา เธอนั่งอยู่ในร้านกาแฟหน้าบริษัทที่ตนกำลังจะเข้าทำงานในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า หญิงสาวยกแขนมองดูนาฬิกาเรือนหรูก่อนจะเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ดวงตาคู่สวยเลื่อนมองโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะกาแฟ มิล่ากลืนน้ำลายลงคอ เธอนั่งรอสายเขาคนนั้น และตอนนี้ถึงเวลาที่จะจบความคิดที่จะรอนี้เสีย ฝ่ามือบางจับโทรศัพท์เครื่องหรูขึ้นก่อนที่เธอจะหย่อนมันลงแก้วน้ำเปล่าที่วางอยู่ตรงหน้า นั่งมองมันอยู่อย่างนั้นก่อนที่มันจะดับไป “ดีแล้ว...” ริมฝีปากบางขมุบขมิบพูดคนเดียว ก่อนที่เธอจะแค่นหัวเราะให้กับตัวเอง ถ้าเขารู้คงมองว่าเธอไร้ค่า แต่ที่แย่กว่านั้นคงเป็น...เขาไม่เคยสนใจเธอเลย ครืดด~ มิล่าลุกขึ้นยืน เธอเปิดกระเป๋าถือใบเล็กพร้อมกับวางเงินจำนวนหนึ่งลงที่โต๊ะกาแฟก่อนจะเดินออกจากร้านไป ทว่า “คุณลูกค้าคะ...โทรศัพท์ค่ะ” “เอาทิ้งเลยค่ะ” มิล่าตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจนัก เธอเปิดประตูออกจากร้านกาแฟนี้ พร้อมกับมองตรงไปยังตึกสูงตรงหน้า เรียวขาเล็กในส้นสูงสามนิ้ว ชุดเดรสสีชมพูอ่อนตัดกับผมบ๊อบสั้นสีดำสนิท เธอก้าวขาเดินอย่างฉับไวโดยไม่หันหลังกลับไปมองแม้แต่น้อย ปล่อยทุกอย่างให้เป็นเพียงเรื่องในอดีต และสนใจแต่อนาคตตรงหน้านี้ มิล่าดึงดูดสายตาใครหลายคนในบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับประเทศ เดอะเกรทฟีเจอร์กรุ๊ปเป็นเครื่องหมายการค้าที่หลายคนรู้จักหรือเห็นโดยทั่วไปจากอักษรย่อจีเอฟ (Gf) บริษัทนี้ประกอบด้วยหลาย ๆ บริษัทที่ประกอบธุรกิจหลากหลายภายใต้เครือบริษัทเกรทฟีเจอร์จำกัด ซึ่งเป็นบริษัททำการค้าหลายสิ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ ที่อยู่อาศัย โรงแรม คอนโดมิเนี่ยม แม้กระทั่งการเกษตรกรรม รวมถึงสาขาวิชาที่เธอเรียนจบมา โปรดักซ์ดีไซน์ (Product design) หรืองานฝ่ายออกแบบผลิตภัณฑ์คือแผนกงานที่เธอได้ตำแหน่งมา มิล่ายกยิ้มให้กับอนาคตการทำงานที่รออยู่ เธอเดินมาหยุดที่หน้าลิฟต์ที่เต็มไปด้วยเพื่อนพนักงานในบริษัท หญิงสาวยืนยิ้มให้กับตัวเองหน้าประตูลิฟต์ที่สะท้อนเงาของเธออยู่ ก่อนที่จะได้ยินเสียงกระซิบของเพื่อนร่วมบริษัท “ใช่ หัวหน้ามาใหม่ หล่อมาก...เป็นคนอิตาลีนะถ้าจำไม่ผิด” มิล่าไม่ได้สนใจเสียงกระซิบกระซาบของคนที่ยืนรอลิฟต์มากนัก เธอเริ่มรู้สึกประหม่ากับสังคมใหม่ตรงหน้านี้ ติ๊ง! และทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกคนที่กรูขึ้นลิฟต์ทำให้มิล่าตกใจ เธอก้าวขาถอยหลังเมื่อเห็นกลุ่มคนเดินขึ้นลิฟต์ตัวเดียวกันจนแออัดเต็มไปหมด กว่าจะรู้ตัวอีกทีลิฟต์ตัวนี้ก็เต็มไปด้วยผู้คน “จะขึ้นไหมน้อง...” “คะ? ...อ้อ ค่ะ” มิล่าตกใจที่มันยังสามารถขึ้นได้อีก แต่พอได้รับสายตากดดันจากเพื่อนร่วมบริษัทเธอก็จำใจก้าวขาขึ้นลิฟต์ไป หญิงสาวกลั้นลมหายใจ เธอไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจแรง คนที่เต็มลิฟต์นี้เงียบสงบ และดูเร่งรีบไปเสียหมด ตัวเลขที่ปรากฏอยู่บนประตูลิฟต์กำลังบอกหมายเลขชั้น เธอจำได้ว่าชั้นสิบเป็นแผนกดีไซน์ของเธอ “ถึงแล้ว...” มิล่าพึมพำออก ซึ่งพอประตูลิฟต์เปิดออก ไม่ทันที่จะได้เริ่มก้าวขาออกจากลิฟต์ไป กลุ่มคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอก็รีบร้อนออกมาจนชนไหล่บางของเธออย่างแรง ตุบ! “อ๊ะ!!...” “ชักช้าเป็นเต่าอยู่ได้ ช้าขนาดนี้...พนักงานใหม่สินะ” มิล่าล้มหน้าขมำลงพื้น การทำงานที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบแปลกใหม่สำหรับเธอ ขณะเดียวกันนี่คงเป็นวิธีต้อนรับพนักงานใหม่ของแผนกนี้ “บ้าชะมัด...” ไม่มีใครยื่นมือมาช่วยพยุงเธอขึ้นเสียด้วยซ้ำ แม้จะมีชายหนุ่มหลายคนอยากจะช่วย แต่เวลานี้ทุกคนต้องรีบไปสแกนใบหน้าเพื่อเข้าทำงาน ทว่า กึก! รองเท้าคัดชูหนังสีดำเป็นเงาราคาแพงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ มิล่าขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอรู้สึกเจ็บหัวเข่าทำให้ลุกขึ้นในทันทีไม่ได้ แต่แล้ว “เจ็บเหรอ....” น้ำเสียงทุ้มลึกคุ้นหูที่ดังขึ้นทำให้มิล่าเงยหน้าขึ้นมองในทันทีโดยไม่คิดอะไร ก่อนที่เปลือกตาบางจะเบิกกว้างให้กับสิ่งที่เห็นตรงหน้า “คะ เคเรนด์...” ราวกับรอบกายหยุดเคลื่อนไหว ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหลากำลังส่งยิ้มให้เธอ เขายื่นฝ่ามือขาวผ่องจนมองเห็นเส้นเลือดนี้ให้กับเธอ “ไม่ได้ยินที่ถามเหรอ....” “นะ นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” มิล่าว่าเสียงสั่น เธอไม่ได้ยื่นมือไปจับฝ่ามือของเขาอย่างที่ควรจะเป็น จนคนตัวโตต้องย่อตัวลงนั่งยอง ๆ ต่อหน้าเธอ “เหมือนเธอจะเจ็บนะ” “ฉันถามเคเรนด์!” ความรู้สึกบางอย่างมันพลั่งพลูให้เธอตะคอกออกมาเสียงดัง จนคนรอบกายนิ่งงันและมองมาที่คนทั้งคู่ “ใครเหรอแก...หัวหน้าใหม่ปะ ที่บอกจะมาวันนี้” “ใช่ ฉันว่าใช่แน่ ๆ” เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นอย่างเนือง ๆ กับบุคคลปริศนานี้ ซึ่งพอมิล่าได้ยินอย่างนั้นเธอก็เบิกตากว้างขึ้นมากกว่าเดิม และรับรู้ว่าตัวเองไม่ควรทำตัวรู้จักกับเขา “ฉันไม่เป็นไร...” เธอไม่สนใจเขาอีกต่อไป มิล่ากลืนน้ำลายลงคอก่อนจะพยายามพยุงตัวเองลุกขึ้น ขณะเดียวกันที่เคเรนด์ก็ปล่อยให้เธอได้ตั้งหลัก เธอคงตกใจที่ได้เจอเขาหลังจากไม่ได้เจอมานานถึงสามเดือนด้วยกัน แม้จะเจ็บแปล๊บที่หัวเข่าแต่ก็พยายามเก็กหน้าเข้าไว้ ซึ่งก็ไม่รอดคนสายตาไวอย่างเขาไปได้ “เธอเลือดออกนะ...” ใจแกร่งเต้นตุบ ๆ ด้วยความเต้นเต้นที่ได้เจอเธออีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้อยากเจอเขา มิล่าไม่สนใจคำพูดของเขาแม้แต่น้อย หญิงสาวค่อย ๆ ก้าวขาเดินสวนเขาไป แต่แล้ว “สวัสดีค่ะ...คุณเคเรนด์ใช่ไหมคะ” เคเรนด์หันหน้าไปตามเสียงเรียกของผู้หญิงคนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะยกยิ้มให้กับเธอด้วยความเป็นมิตรตามปกติ ทว่าเสียงนี้ พรึ่บ! “ฉัน...โรสรินค่ะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD