“ไม่รับสายพี่ แถมยังหาข่าวให้ตัวเองอีก จริง ๆ เลยนะคะน้องจีเนี่ย” แอนนาบ่นอย่างไม่จริงจังเท่าไหร่นัก ตลอดเวลาห้าปีที่เป็นผู้จัดการของจิรัชญามา นี่นับว่าเป็นเรื่องปกติ “แต่ทางนั้นก็เหลือเกิน เล่นลิ้นแบบนั้นก็สมควรโดนน้องจีถอนหงอกแล้วล่ะค่ะ”
จิรัชญาในสายตาคนอื่นเป็นยังไงไม่รู้ แต่สำหรับแอนนา จิรัชญาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบมาก เมื่อเดือนก่อนน้องป่วยหนักจนต้องแอดมิทแต่ดันมีถ่ายละครคิวสุดท้ายพอดี เพื่อไม่ให้กองถ่ายเสียหาย นางร้ายที่ใครต่อใครพากันรุมสาปว่าไม่เอาไหนคนนี้ถึง ขั้นถอดสายน้ำเกลือไปถ่ายละครจนเสร็จ ก่อนจะกลับมานอนให้น้ำเกลือต่อจนโดนหมอดุทั้งดาราและผู้จัดการ
ดังนั้นการที่จิรัชญาเทงานแบบนี้ แอนนามั่นใจว่าน้องมีเหตุผลมากพอ
“จีไม่ชอบทำงานกับพวกไม่เป็นมืออาชีพ พี่แอนนาไม่ต้องรับงานของแบรนด์นั้นให้จีอีกนะคะ”
จิรัชญาที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนักศึกษาตอบผู้จัดการเสียงเรียบ ริมฝีปากคว่ำต่ำเพราะยังไม่หายหงุดหงิด เรื่องเมื่อวันก่อนกลายเป็นข่าวแบบที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด แน่นอนว่าคนที่เป็นผู้ร้ายก็คือเธอคนนี้
ไหนจะเรื่องเลิกกับแฟนอีก เมื่อวานแบรนดอนมีงานอีเว้นท์ที่ต้องให้สัมภาษณ์กับสื่อ รายนั้นสะอึกสะอื้นโทษว่าเป็นความผิดตัวเองซ้ำ ๆ ร้องห่มร้องไห้ตลอดการสัมภาษณ์จนนักข่าวพากันสงสารเห็นใจ
เหอะ! โทษตัวเองน่ะถูกต้องแล้ว เธอใจดีแค่ไหนที่ไม่แฉว่าสาเหตุที่เลิกกันเป็นเพราะอะไร ไม่ใช่เพราะห่วงภาพลักษณ์ของแบรนดอน แต่ผู้ชายคนนั้นไม่มีค่าให้เธอต้องพูดถึงแล้วต่างหาก
“ค่ะ เรื่องนี้พี่จะจัดการให้” แอนนารับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ ขีดฆ่าชื่อแบรนด์นั้นไว้ในใจเป็นที่เรียบร้อย
ที่จริงเธอไม่อยากให้น้องรับงานนี้ตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ ทางนั้นไม่ให้เกียรติกันเลยสักนิด เสนอค่าตัวมาต่ำกว่าที่น้องจีควรได้รับเกือบเท่าตัว แต่เด็กคนนี้ก็ดันแสนดีเหลือเกิน ยอมรับงานเพราะเห็นว่าช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี พอจะช่วยอะไรได้ก็อยากช่วย สุดท้ายก็ไม่ต่างจากชาวนากับงูเห่า ดีด้วยเท่าไหร่ก็แว้งกัดกันเหมือนเดิม
ใครกันที่บอกว่าน้องจีร้ายทั้งในละครและตัวจริง ถ้าได้ใกล้ชิดกับน้องเหมือนเธอ รับรองว่าต้องลืมความคิดนั้นไปแน่นอน นับครั้งไม่ถ้วนที่น้องช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่ออกนาม มีแค่เธอที่รับรู้มาตลอด แอนนาล่ะคันปาก อยากบอกทุกคนว่าน้องจีคนนี้แสนดีแค่ไหนจะตายอยู่แล้ว
แต่ก็นั่นแหละ น้องจีไม่อยากให้ใครรู้ เธอก็ทำอะไรไม่ได้
“น้องจีคะ อีกห้านาทีซ้อมหน้ากล้องนะคะ” ผู้ช่วยผู้กำกับชะโงกหน้าเข้ามาในเต็นท์แต่งตัว เอ่ยบอกนางร้ายสาวด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจ
“ค่ะ เดี๋ยวจีตามไป”
วันนี้จิรัชญามีถ่ายละครที่ใช้โลเคชั่นในมหาวิทยาลัย ละครเรื่องนี้เพิ่งเปิดกล้องได้ไม่นาน และเธอก็รับบทเป็นนางร้ายของเรื่องที่ชื่อว่ามัสลิน ส่วนฉากที่เธอต้องถ่ายเป็นฉากในอดีตตอนที่นางเอกกับนางร้ายยังเป็นเพื่อนรักกัน ก่อนจะแตกคอกันด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง
ทั้งเรื่องฐานะ ความสามารถ และความรัก ทุกอย่างในชีวิตของมัสลินด้อยกว่านางเอกทั้งหมด แต่ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ คือพระเอกที่มัสลินแอบรักมาตลอดคบหากับเพื่อนรักของตัวเอง ตัวนางเอกทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าเพื่อนชอบพระเอกมานาน แต่ก็ยังคบหากันได้หน้าตาเฉย นั่นทำให้หลาย ๆ อย่างที่สะสมมาระเบิดออก ทั้งคู่ตัดขาดความเป็นเพื่อน และกลายเป็นศัตรูคู่แข่งกันนับตั้งแต่นั้น
ฉากที่ถ่ายวันนี้ เป็นฉากที่รุ่นพี่ (พระเอก) เข้ามาทักทายสองสาว เธอต้องแสดงสีหน้าว่าชอบคน ๆ นี้มากจนเพื่อนจับได้ ส่วนนางเอกก็จะคอยแซว คอยเป็นแม่สื่อให้มัสลินกับพระเอก
ไม่รู้ว่าไปสื่อกันยังไง สุดท้ายเลยได้กันเอง
จิรัชญาอ่านบทแล้วอดสงสารมัสลินไม่ได้ มาก่อนตั้งนาน เขาไม่รักไม่พอ เพื่อนรักยังมาหักหลังกันแบบนี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่เท่าไหร่ แต่นี่เพื่อนกันแท้ ๆ สุดท้ายคนที่มาก่อนก็กลายเป็นตัวร้ายเสมอ
แต่ความรักมันบังคับกันไม่ได้นี่เนอะ
“น้องจีมาแล้วค่ะ”
จิรัชญาในชุดนักศึกษารัดรูปเดินเข้าไปในฉาก ม้าหินอ่อนคือสถานที่ถ่ายทำหลัก ทีมงานทั้งกล้องและไฟพร้อม นักแสดงหลักทั้งสามคนพร้อม นักแสดงตัวประกอบที่รับบทเป็นนักศึกษาเดินผ่านหน้ากล้องก็พร้อม ถึงจะเป็นแค่การซ้อมหน้ากล้อง แต่นักแสดงมืออาชีพต่างก็ทำงานกันอย่างจริงจัง
“พี่ว่าเพิ่มไฟตรงนี้หน่อยดีกว่า หน้าน้องพรีมดูหมอง ๆ เอ้... เมื่อกี้อยู่คนเดียวก็ไม่หมองนะ พอน้องจีเข้ามาทำไมน้องพรีมหมองขนาดนั้น เพิ่มไฟอีกนิด เออ ๆ แบบนั้นแหละ ช่างแต่งหน้าเติมแป้งให้นักแสดงด้วย”
จิรัชญาปล่อยให้ช่างแต่งหน้าเติมแป้งเงียบ ๆ เธอสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจเล็ก ๆ ของนางเอกสาวอย่างพิมมาดา ถึงใบหน้าสวยหวานจะยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่คนที่นั่งข้างกันแบบเธอเห็นชัดเจน ว่านางเอกผู้อ่อนหวานแอบขยำประโปรงพลีทที่ใส่จนยับยู่
ไม่มีใครชอบที่โดนเปรียบเทียบ เธอเข้าใจรุ่นพี่ในวงการคนนี้นะ แต่เธอก็ไม่ใช่คนผิด เพราะฉะนั้นอย่ามาหาเรื่องกันเชียว ไม่อย่างนั้นเธอสู้ยิบตาแน่ ๆ รุ่นพี่ก็รุ่นพี่เถอะ
“ที่ซ้อมเมื่อกี้พี่ว่าโอเคเลย กำลังได้อารมณ์แบบนี้ถ่ายจริงเลยแล้วกัน นักแสดงพร้อมนะ”
“ค่ะ/ครับ”
“กล้องพร้อม ไฟพร้อม ซีน 9 คัท 2 เทค 1 แอคชั่น!”
“ดูอะไรอยู่เหรอครับ”
“อุ้ย! ตกใจหมดเลยค่ะโปรเฟสเซอร์” มนสิชาสะดุ้งโหยง มืออวบลูบอกเบา ๆ เรียกขวัญที่วิ่งหนีไปให้กลับมา “มาไม่ให้ซุ้มไม่ให้เสียงเลย นี่ถ้ามนหัวใจวายตายใครจะช่วยงานโปรเฟสเซอร์ล่ะคะ”
“หึๆ ขอโทษครับ”
กฤตินหัวเราะน้อย ๆ ให้กับคนช่างพูดอย่างผู้ช่วยสาวแว่นหนา มนสิชาเป็นนักศึกษาปริญญาโทที่ตอนนี้เป็นผู้ช่วยของเขา เพราะตอนนี้เขากำลังทำวิจัยเรื่องอารยะธรรมที่สูญหายไปเมื่อพันกว่าปีก่อน และมนสิชาก็ต้องการผลงานสำหรับจบการศึกษา พวกเราจึงกลายเป็นคู่หูกันมาได้สักพักใหญ่ ๆ แล้ว
มนสิชามีนิสัยช่างพูดต่างจากกฤตินอย่างสิ้นเชิง แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะถ้าถึงเวลาทำงาน ต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี
“แล้วดูอะไรอยู่ครับ ผมเห็นคุณชะโงกมองตรงนั้นมาได้ซักพักแล้ว” กฤตินถามพลางเดินไปที่โต๊ะทำงาน หยิบเอกสารขึ้นมาถือ
“กองถ่ายละครน่ะค่ะ”
“หืม? ปกติก็มีกองถ่ายมาถ่ายละครที่คณะเราออกจะบ่อย ผมไม่เห็นคุณสนใจเท่านี้เลย”
“ไม่สนใจได้ยังไงล่ะคะ โปรเฟสเซอร์รู้ไหมคะว่าดาราที่มาคือใคร”
กฤตินส่ายหน้าทันที เขาไม่ค่อยได้ตามวงการบันเทิงเท่าไหร่ แทบไม่ได้ดูทีวีด้วยซ้ำ ถามประวัติศาสตร์ทั่วโลกยังง่ายกว่า
“จิรัชญาค่ะ” ดวงตาหลังกรอบแว่นเบิกขึ้นน้อย ๆ เพราะหวังจะได้เห็นปฏิกิริยาอะไรสักอย่างจากหัวหน้า แต่กฤตินกลับนิ่งเฉย แถมยังขมวดคิ้วใส่เธออีก “อย่าบอกนะคะว่าไม่รู้จักจิรัชญา”
“ผมต้องรู้จักด้วยเหรอครับ?”
“โปรเฟสเซอร์คะ ฮือ! มนไม่รู้จะพูดยังไงแล้วเนี่ย”
นักศึกษาปริญญาโทเกาหัวแกรก ๆ ก่อนเดินเข้าไปหาหัวหน้าพร้อมยื่นมือถือให้กฤตินดู
“นี่ค่ะ จิรัชญา คนเนี่ยเป็นควีนของวงการบันเทิงเลยนะคะ เพิ่งมีข่าวว่าเลิกกับแฟนไปเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง”
กฤตินมองภาพในข่าว เขารู้สึกคุ้นตาว่าเคยเห็นสองคนในรูปจากที่ไหนสักที่ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
“ไม่รู้จักจริง ๆ เหรอคะ”
“ไม่ครับ” กฤตินหัวเราะอีกครั้งเมื่อเห็นท่าทีผิดหวังของมนสิชา “ผมไปทานข้าวก่อนนะครับ นัดกับนับดาวไว้ คุณมนก็รีบไปหาอะไรทานนะครับ จะบ่ายแล้ว”
“อุ้ย... โปรเฟสเซอร์จะไปทานข้าวกับกับอาจารย์นับดาวเหรอคะ”
“ครับ มีอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่มีค่ะไม่มี๊!”
มนสิชาปฏิเสธด้วยเสียงสูงที่เต็มไปด้วยพิรุธ แต่กฤตินไม่ได้ถามเซ้าซี้อะไร เขาส่งยิ้มให้หญิงสาวก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ทิ้งให้มนสิชาแอบกรี๊ดคนเดียวเงียบ ๆ เพราะเธอกับเพื่อน ๆ และรุ่นน้องอีกหลายคน กำลังลุ้นให้ศาสตราจารย์กฤตินกับอาจารย์นับดาวเป็นแฟนกัน หลังจากที่คงสถานะเพื่อนมานานหลายปี
ทุกคนคิดเหมือนกันว่าทั้งคู่เหมาะสมกันที่สุด และสำหรับเธอที่ทำงานใกล้ชิดกับกฤตินมาสักพัก เธอกล้าพูดได้เลยว่าในใบโลกนี้ไม่มีใครเหมาะสมกับศาสตราจารย์กฤติน เท่าอาจารย์นับดาวอีกแล้ว!
กฤตินเดินลัดเลาะไปทางหลังตึกคณะ เขาไม่อยากเข้าไปกวนกองถ่ายละครที่กำลังใช้สถานที่ด้านหน้าตึกอยู่ ขายาวก้าวไปตามทางเดินที่เงียบสงบ ไม่ค่อยมีใครใช้เส้นทางนี้เท่าไหร่ เพราะมันทั้งอ้อมไกล ทั้งมีต้นไม้และวัชพืชเยอะจนน่ากลัว
ยิ่งเป็นคณะโบราณคดีที่ขึ้นชื่อว่าผีดุยิ่งไม่มีใครกล้าเดินเข้ามา แต่ กฤตินเรียนที่นี่ ทำงานที่นี่มาเป็นสิบปี เขาไม่กลัวอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว
ตุ้บ!
ความคิดของศาสตราจารย์หนุ่มหยุดชะงักลง เมื่อพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในที่แห่งนี้เพียงคนเดียว ร่างที่ก้มหน้าเล่นมือถือเดินเข้ามาชนเป็นฝ่ายเสียหลัก เธอเซถลาเกือบหงายหลังจนเขาต้องปล่อยเอกสารให้ร่วงหล่น แล้วใช้ท่อนแขนเกี่ยวเอวบางนั้นไว้ไม่ให้เธอล้ม หญิงสาวเองก็รีบกอดต้นคอกฤตินไว้แน่นด้วยความตกใจ
กลิ่นหอมอ่อน ๆ โชยเข้ามาในจมูกตอนที่เส้นผมนุ่มปัดผ่านใบหน้า ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรไหมครับ?”
“อ๊ะ!” หญิงสาวในอ้อมแขนได้สติ รีบผลักร่างสูงใหญ่ออกห่างทันที “อย่ามาแตะเนื้อต้องตัวฉันนะ! โรคจิต!”
เพิ่งได้เห็นหน้าตาคู่กรณีชัด ๆ ใบหน้าสวยที่ติดตรึงอยู่ในความทรงจำทำให้กฤตินชะงักไปครู่หนึ่ง
ผู้หญิงคนนั้น...
“เอ่อ...ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ เห็นว่าคุณจะล้มเลยช่วยไว้เท่านั้น”
“ไม่ต้อง!” เธอทำปากคว่ำ สองมือปัดเนื้อตัวที่ถูกแตะต้องหลายครั้ง แสดงออกว่ารังเกียจสัมผัสจากคนแปลกหน้ามากแค่ไหน
กฤตินอึ้ง เขาช่วยเธอไว้แท้ ๆ แต่นอกจากจะไม่ขอบคุณแล้วยังทำท่าทางรังเกียจกันอีก ดูจากชุดแล้วเธอน่าจะเป็นนักศึกษา เขาไม่อยากถือสาเด็ก ได้แต่ภาวนาให้วันหนึ่งเธอคิดได้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันไม่น่ารัก
“แล้วคุณมาทำอะไรแถวนี้ แถวนี้ไม่ค่อยมีคน มันอันตรายนะครับ”
“เรื่องของฉัน” เธอเงยหน้าขึ้น ดวงตาเฉี่ยวคมมองชายหนุ่มตัวสูง ผิวขาว หน้าจืด ๆ ใส่แว่นหนา ๆ ด้วยความไม่ชอบใจ “นายนั่นแหละมาทำอะไรตรงนี้ อย่าบอกนะว่าตามฉันมา”
“ครับ? ผมไม่ได้..”
“เป็นแฟนคลับสินะ เหอะ! ฉันรู้อยู่หรอกนะว่านายคลั่งใคล้ฉัน แต่ขอเถอะ ฉันขอมีเวลาส่วนตัวบ้างได้ไหม?” หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธออุตส่าห์หลบมานั่งพักคนเดียว ยังมีแฟนคลับตามมาเจอจนได้
“คุณครับ ผมไม่ได้...”
“แต่เอาเถอะ ไหน ๆ ก็ได้เจอฉันแล้ว นายอยากได้อะไรล่ะ ลายเซ็นไหม?”
“คุณ...”
“นี่ถึงขั้นเตรียมกระดาษปากกามาเลยเหรอ?”
จิรัชญาหยิบเอกสารที่กฤตินเย็บอย่างดีขึ้นมาจากพื้น ก่อนจะฉวยเอาปากกาที่เสียบบนกระเป๋าเสื้อของเขามาเขียนขะยุกขะยิกสองสามครั้ง แล้วยื่นมันคืนให้เจ้าของ
“อะ เอาไป แต่ฉันเซ็นให้แค่แผ่นเดียวนะ เซ็นทั้งปึกไม่ไหวหรอก อย่าเอาไปขายต่อล่ะ” เธอรีบดัก เพราะช่วงนี้ได้ข่าวมาว่าในกลุ่มแฟนคลับมีการขายลายเซ็น หรือไม่ก็สินค้าเอ็กซ์คลูซีฟของคนดังที่หาซื้อไม่ได้กันให้ว่อน
“ผม...”
“แล้วทีหน้าทีหลังอย่ามาดักเจอกันแบบนี้อีก ไปเจอกันตามอีเว้นท์ดีกว่า นี่ถ้าฉันไม่เห็นว่าเป็นแฟนคลับจะแจ้งตำรวจแล้วรู้ไหม”
เธอย่นคิ้ว ดุกฤตินเหมือนดุเด็กตัวน้อย ๆ ก่อนจะรีบเดินจ้ำอ้าวจากไป ทิ้งให้ศาสตราจารย์หนุ่มยืนงงอยู่แบบนั้นคนเดียว
กฤตินก้มมองเอกสารงานวิจัยสำคัญ ที่ตอนนี้ถูกประดับด้วยลายเซ็นน่ารักขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ
แฟนคลับ? เขาไม่รู้ว่าเธอคือใครด้วยซ้ำ...