บทที่ 5 เปิดตัวสามีอีกคน
ฝ่ามือใหญ่ของท่านอ๋องวางทาบลงอีกครั้งที่กลางแผ่นหลังที่ขาวนวลเนียนของอนุเฟย แต่กลับรู้สึกแปลกใจ ที่ร่างกายที่ขาวผ่องนี้กลับอุ่น และมีกระแสพลังสีม่วงอ่อนไหลวนอยู่ทั่วร่าง
‘นี่มันพลังวัตรนี่นา ไหนท่านอำมาตย์เสวี่ยนบอกว่า เฟยจูไม่มีพลังอันใดยังไงหล่ะ หรืออนุเฟยไม่รู้ ว่าตนมี’ อ๋องโม่หรานคิดในใจ แต่อีกคนกลับได้ยินจนหมด และไล่อ่านความคิดของอีกคนจากการที่สัมผัสกันจนหมดสิ้น
ผู้ชายคนนี้หื่นกาม และถือว่าค่อนข้างมี SEX ที่สิ้นเปลือง อาจเป็นเพราะยศสูง ใคร ๆ จึงยกลูกสาวของตนมาให้เสพสมทั้งนั้น
‘มีเมียเยอะ แถมดูแลไม่ดี ทำให้บรรดาเมียใหญ่ ๆ ต่างก็ชิงดีชิงเด่นกัน แถมทำร้ายคนที่ไม่มีทางสู้แบบเฟยจูอีกด้วย’
เธอเพิ่งมาอยู่ในร่างของเฟยจูยังไม่ถึงวัน ก็กลับเจอเรื่องราวมากมาย จนสุดแสนจะทึ่ง ถ้าอยู่ไปเรื่อย ๆ คงได้เป็นอำมาตย์แทนอีตาเสวี่ยนฮุ่ยนั่นเป็นแน่
หญิงสาวคิดในใจอย่างเคลิบเคลิ้ม แล้วก็หลับไป ทั้งที่อ๋องโม่หรานถ่ายทอดพลังวัตรให้ไม่เสร็จ
“อุ้ย อนุเฟยเจ้าคะ” นางกำนัลแฝดต่างตกใจ ที่ผู้เป็นนายอยู่ดี ๆ ก็ตัวอ่อนเป็นผัก แล้วก็พิงที่อกแกร่งของท่านอ๋องแบบเต็มแรง จนอ๋องสี่รับเกือบไม่ทัน
“ไม่เป็นไร พวกเจ้าอย่าได้แตกตื่นไปเลย อนุเฟยเพียงแค่อ่อนเพลียและบอบช้ำมากไป เมื่อรับพลังวัตร จึงทำให้หมดสติได้ พวกเจ้าไปต้มยาเอาไว้ให้นายของเจ้าเถอะ” โม่หรานสั่ง
สองแฝดก็พยักหน้าอย่างเหงาหงอย เพราะอยากดูแลผู้เป็นนาย แต่ขัดคำสั่งของคนที่ยิ่งใหญ่กว่าไม่ได้ จึงต้องออกจากห้องนอนไปที่ห้องเล็กริมสุด เพื่อต้มยาให้อนุเฟย
ภายในห้องนอน
อ๋องโม่หรานถ่ายพลังวัตรเพื่อรักษาอาการเจ็บและบอบช้ำภายในร่างกาย จนรู้สึกได้ว่า พลังอุ่น ๆ ในกายของอนุเฟย รับกับพลังวัตรของตนได้แล้ว ก็เอนกายของอนุนอนลงบนที่นอน จัดการห่มผ้าห่มให้ ทั้งที่ในชีวิตนี้ไม่เคยห่มให้กับใคร ไม่ว่าจะพระชายาคนไหนก็ตาม
ดวงตาคมดุเหมือนเหยี่ยว จับจ้องไปที่วงหน้าใสแต่ตอนนี้มีริ้วรอยแห่งการถูกทำร้ายมา ก็ยิ่งเจ็บใจ ก่อนที่จะกำหมัดแน่น แล้วคลายออก
นิ้วแกร่งจากการที่ร่ำเรียนศาสตราวุธและพลังยุทธ ไล้ไปที่ใบหน้างามนวลเนียนของอนุอย่างไม่ทันได้ฉุกใจคิด ว่าทำไม ต้องอ่อนโยน และทำแบบนี้กับนางด้วย
หูที่มีประสาทสัมผัสที่ดีเยี่ยม ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของเหล่าพระชายาและนางกำนัล ที่ถูกสำเร็จโทษ ด้วยการแยกร่าง เขาไม่มีความสงสารให้ เพราะก่อนนั้นทำกับคนอื่นไว้เยอะ แล้วคราวนี้ตนเองถูกกระทำบ้าง มันก็สมควรแล้ว
นิ้วแกร่งยังคงไล้อยู่ที่ใบหน้าเนียนนุ่มอย่างเคลิบเคลิ้ม ไม่คิดว่า แค่ลูบไล้ใบหน้าของสตรีจะมีความรู้สึก ที่ดีเยี่ยมได้แบบนี้
เวลาผ่านไป สองแฝดก็เข้ามาในห้อง หลังต้มยาเสร็จ แต่แล้วก็ชะงัก กึก
เพราะท่านผู้ยิ่งใหญ่ ก็ยังคงอยู่ แถมจับนุ่นดึงนี่ของอนุเฟยอีกต่างหาก
“เอ่อ ท่านอ๋อง คือว่า” หนิงเจียวพูดไม่ออก
“…ต้มเสร็จแล้ว พวกเจ้าก็เข้ามาปลุกนายของเจ้า มากินยา ข้าจะออกไปดูเหล่าอดีตพระชายาสักหน่อย” คนมีอำนาจพูดขึ้น ก่อนจะลุกเดินออกไปจากห้องนอนของอนุตน แม้ไม่อยากจะไปก็ตามที
“เจ้าค่ะ” นางกำนัลแฝดมองตาม แล้วก็หันหน้ามามองกัน ก่อนจะส่ายหัว แล้วก็ปลุกอนุเฟยมาทานยา แล้วก็หลับไปอีกรอบ
หลายวันผ่านไป
อันที่จริงแผลของเฟยจูนั้นจางไปมากแล้ว แถมร่างกายก็แข็งแรงที่สุด แต่ท่านอ๋องกลับยังมาถ่ายพลังวัตรนั้นให้อีก ทั้งที่เธอบอกไปแล้ว ว่า ไม่ต้องมาอีกนะ
ผลก็คือ ช่วงสาย ๆ ของวันนี้ก่อนที่ท่านอ๋องจะไปในวัง เธอก็เห็นหน้าของเจ้าของพระตำหนักมานั่งรอที่หน้าห้องแล้ว
ในยามไห (09.00-10.59 น .)
เท้าเรียวสวย ทำเป็นชะงัก ให้พอเป็นพิธี เมื่อเห็นว่า สามี เอ๊ย ท่านอ๋องมานั่งรอ ก็ทำเป็นกระมิดกระเมี้ยน เดินเข้าไป ทำความเคารพ แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ ตรงข้ามกับผู้ยิ่งใหญ่ แล้วพูดขึ้นมา
“ท่านอ๋อง คือว่าข้าหายแล้วนี่เจ้าคะแล้วทำไม เอ่อ ท่านยังต้องมาที่ตำหนักข้าอีกล่ะเจ้าคะ” บอกเสียงเบา เหมือนกลัวเสียเหลือเกิน
“หายแล้วก็ดี ข้ามานี่ เพื่อจะบอกเจ้าว่า ยามหุ้ย (16.00-17.59 น .) ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวตลาด เจ้าอยากไปหรือไม่” ถามพลางมองใบหน้างามของอนุเฟยนิ่ง ๆ แล้วยกน้ำชาขึ้นมาจิบ เหมือนไม่สนใจในคำตอบ แต่หญิงสาวรู้ ว่าท่านอ๋องนั้น อยากฟังจนหูกระดิก
“อยากไปเจ้าค่ะ” เอ้า ตามใจหน่อยก็แล้วกัน
“ดี แล้วข้าจะมารับไป เจ้าแต่งตัวรอข้าก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็จิบน้ำชาอีกรอบ ก่อนที่จะลุกขึ้น
“ข้าไปเข้าวัง เจ้าหายดีแล้วใช่ไหม” ถามเรื่องแผล หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงัก
“หายแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านอ๋องมากนะเจ้าคะ” จินลู่ ทำความเคารพ โม่หรานพยักหน้า แล้วก็ลุกขึ้น ก่อนที่จะเดินออกไปจากตำหนักของอนุลำดับที่ยี่สิบแปด
ระหว่างทาง
“คืนนี้ท่านอ๋องจะไปที่ตำหนักใดดีขอรับ” เว่ยเทียนเอ่ยถามผู้เป็นนาย ท่านอ๋องก็นิ่งเงียบ แล้วก็ส่ายหน้า เป็นเชิงว่าไม่
“ไม่” สั้น ๆ แต่เหล่าองครักษ์ต่างสงสัย เหตุใด เจ้านายของพวกตน ถึงไม่สนใจจะเข้าห้องอนุกันล่ะ ทั้งที่มีอยู่ตั้งหลายคน กลับไม่เลือกใครเลยสักคน แปลกมาก
“พวกเจ้าสงสัยอะไร” ถามคนสนิทเสียงเรียบ โอวหยู เว่ยเทียน ไหหลิว และฮุ่ยหง ต่างก็มองหน้ากัน แล้วหน่วยกล้าตาย จึงถามขึ้น
“อนุเฟย เป็นยังไงบ้างขอรับ” ถามเป็นนัย ผู้เป็นนายเหลือบตามอง
“ดีแล้ว เจ้าจงเฝ้าให้ดี อย่าให้ใครเข้ามาทำอันตรายนางได้” บอกกับองครักษ์คนสนิท
“ขอรับ”
“ข้าจะเข้าวัง เห็นว่า เซี่ย เรียกประชุมด่วน คงมีราชกิจสำคัญแน่” บอกกับองครักษ์
“ขอรับ” จากนั้น โม่หรานก็ขึ้นม้า มู่กวา ควบตะบึงไปที่ราชวัง เพื่อประชุม
ที่วังหลวง
เชี่ย ของเสิ่นเจิ้น มีรูปร่างที่ใหญ่โต พอ ๆ กับท่านอ๋องโม่หราน ใบหน้าคมเข้ม และมีหนวดยาวประมาณสองคืบ นั่งอยู่บัลลังก์ทองรูปเหยี่ยวสยายปีก ดูน่าเกรงขาม สมกับเป็นผู้ที่ครองแคว้น พระพักตร์นั้นเหมือนกับอ๋องโม่หราน อย่างกับพิมพ์เดียวกัน
ถูกแล้ว ที่เหมือนกันได้ขนาดนี้ เพราะเป็นแฝดกันนั่นเอง โดยที่เซี่ย นั้นเป็นอนุชาของอ๋องโม่หราน แต่ผู้เป็นพระเชษฐากลับไม่รับตำแหน่ง เซี่ย ปล่อยให้ผู้ที่เป็นอนุชาเป็นผู้ครองแคว้นเอง
เหล่าเสนาธิการในตำแหน่งต่าง ๆ รวมทั้งเหล่าอำมาตย์และขุนนางระดับชั้นสูงอีกเป็นจำนวนมาก คงถึงเวลาสรุปผลงานประจำปีเป็นแน่
“คาราวะท่านอ๋อง” เหล่าขุนนางและเสนาธิการ คาราวะอ๋องโม่หรานกันอย่างพร้อมเพรียง เมื่อร่างสูงใหญ่ของอ๋องสี่แห่งเสิ่นเจิ้นเดินเข้ามาในท้องพระโรง
“ขอบคุณทุกท่าน” น้ำเสียงนั้นเรียบนิ่งสนิท เพราะวันนี้ นอกจากที่มาประชุมแล้ว โม่หรานมีเรื่องสำคัญที่จะบอกกับบิดาของอดีตพระชายาของตน
ร่างสูงใหญ่ของโม่หราน หันหน้าไปทางผู้ครองแคว้น แล้วทำความเคารพ
“ถวายพระพร เซี่ย ขอทรงพระเจริญ” น้ำเสียงของอ๋องสี่ ดังกังวานไปทั่ว
“ตามสบายอ๋องสี่” มังกรสวรรค์ตรัส ก่อนที่จะเปิดประชุม
“ทุกท่าน ที่วันนี้เรียกประชุม ไม่ใช่แค่การสรุปผลงานประจำปีเพียงเท่านั้น แต่มีหลายเรื่อง ที่แคว้นเสิ่นเจิ้นของเราเจอ เหตุการณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก นั่นก็คือ” โอรสสวรรค์กวาดพระเนตรมองไปรอบท้องพระโรง ก่อนที่จะตรัสออกมา
“ในหนึ่งปีมานี้ มีสัตว์อสูรออกมาอาละวาดทำร้ายประชาชนของเราอยู่เนือง ๆ เมื่อปราบได้ก็จะมีอสูรตัวใหม่ที่มีฤทธิ์มากกว่าตัวเดิม เข้ามาอีก ทำให้เราต้องเสียไพร่พลเป็นจำนวนมาก เท่านั้นยังไม่พอ ราชาอสูร ยังก่อให้เกิดฝนกรดตกในแหล่งพืชพันธุ์ธัญญาหารของประชาชนของเราอีก จนทำให้ราษฎรเดือดร้อนกันเป็นจำนวนมาก พวกท่านคิดว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไง” เซี่ย ตรัสถาม เหล่าขุนนางทั้งหลาย
“เราเจรจาดีหรือเปล่า ขอรับ” เสนาธิการฑูตเอ่ยขึ้นมา ผู้ครองแคว้นมองนิ่ง ไม่ตรัสอะไร รอดูว่า จะมีใครมีแนวทางที่ฉลาดที่เป็นถึงเหล่าเสนาได้หรือเปล่า
“ถ้าเราไปเจรจา ราชาอสูร จะหาว่าเสิ่นเจิ้นหงอหรือเปล่าท่าน เสิ่นเจิ้นของเราไม่เคยง้อใครมาก่อนนะ ศักดิ์ศรีของเรามี ไม่จำเป็นต้องง้อใคร” เสนาธิการฝ่ายกรมเรือนพูดขึ้น เซี่ย ยังคงทอดพระเนตรแล้วยังไม่ตรัสอะไร ดูเหตุการณ์ไปก่อน เผื่อจะมีใครมีแนวคิดดี ๆ กว่านี้
“การที่จะเจรจานั้น ต้องดูก่อนเพราะดูท่าแล้ว ราชาอสูร คงเหงามากกว่า เพราะการที่อสูรตัวเล็ก ๆ บุกขึ้นมาถึงดินแดนของเราได้ แต่ไม่มีการเข่นฆ่าประชาชนของเรา ก็น่าจะบอกอะไรหลาย ๆ อย่างได้” อ๋องโม่หรานพูดขึ้น เซี่ยเห็นด้วย
“แต่ว่าทหารของเสิ่นเจิ้นตายไปเพราะอสูรเหล่านี้นะท่านอ๋อง” อำมาตย์ฮุ่ยพูด พร้อมกับมองตาของลูกเขยนิ่ง ๆ โม่หรานมองตอบ ก่อนที่จะเอ่ยออกมาอีกรอบ
“การที่ทหารของเสิ้นเจิ้นตาย เพราะอะไรหรือท่านอำมาตย์ ไม่ใช่เพราะไปฆ่าเขาก่อนหรือ คนของเราบุกรุกพื้นที่หวงห้ามไหม อสูรฤทธิ์น้อย ๆ จึงขึ้นมาก่อกวน และที่ทหารของเราฆ่า ส่วนหนึ่งมาจากหน้าที่การงาน แต่อีกส่วน คือการฆ่า เพื่อจะบอกว่า ตนเองแน่ ที่กำจัดอสูรนั่นได้ใช่ไหม” ถามแบบตรงมาก พร้อมกับมองหน้าของอดีตพ่อตาเขม็ง
ทำเอาอำมาตย์เฒ่าไม่พอใจ แต่ก็ไม่อาจทำอะไรอ๋องโม่หราน เพราะอ๋องสี่นี้ เก่งเกินใครในหล้า แถมอำนาจบารมี ดูมีกว่า เซี่ย แม้จะเป็นเขยของตน แต่ตนกลับไม่สามารถจะเอามาเป็นพวกได้ จึงได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและฮึดฮัด เพียงเท่านั้น