ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
‘ขอให้ไม่ใช่เขาๆๆ’ แม้จะหมดสติไปช่วงขณะหนึ่งแต่นางจำได้ว่าภาพสุดท้ายที่เห็นเป็นใบหน้าของผู้ใด ต่อให้พยายามหลอกตนเองว่าไม่มีทางเป็นไปได้แต่กลิ่นที่อบอวลอยู่ในห้องเป็นกลิ่นของ ‘ไม้จันทน์หอม’ ไม่ผิดแน่ มันไม่ง่ายเลยหากต้องหลอกตนเองทั้งที่คำถามนี้มีเฉลยเตรียมรอเอาไว้ตั้งแต่ต้น
“…” เส้นผมสีดำยาวล้อมกรอบใบหน้าหล่อเหลาซึ่งกำลังอยู่ในห้วงนิทรา แพขนตาหนาปิดซ่อนดวงตาดุดันคู่นั้นเอาไว้ การตื่นมาพบว่ามีบุรุษนอนอยู่ข้างๆ ไม่ได้น่ากลัวเท่ากับการที่รู้ว่าเขาคือใคร
‘จางหย่งฟู่’ ซือเมี่ยวทวนชื่อในใจคล้ายต้องการตอกย้ำตนเอง นางลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนพยายามดึงมือที่ถูกเขากุมเอาไว้ออก ถือว่าโชคเข้าข้างที่อีกฝ่ายไม่ได้ตรึงมือเล็กเอาไว้แน่นเกินกว่าที่จะสลัดให้หลุด
ร่างบางขยับกายลงจากเตียงอย่างแผ่วเบาและเดินออกไปยังประตูบานใหญ่ฝั่งตรงข้ามกับเตียงกลางห้อง ประตูไม้ส่งเสียงเอี๊ยดขึ้นฉับพลันเส้นผมสีดำสนิทคุ้นตาก็ตกลงบนไหล่มนพร้อมกับมือใหญ่ข้างหนึ่งซึ่งเอื้อมมาดันประตูเอาไว้ไม่ให้เปิดออก
“คนของตำหนักเทพไร้มารยาทขนาดที่ตอนจะไปก็ไม่คิดจะลาเจ้าของบ้านงั้นรึ”
“!!!” พริบตาเดียวคนที่นอนอยู่บนเตียงก็โผล่มาด้านหลังในระยะประชิดโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
“มันจะดีกว่าถ้าเจ้าไม่ส่งเสียงหนวกหูตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ‘เรา’ เพิ่งเข้านอนไปเมื่อไม่นานนี้เอง” น้ำเสียงทุ้มกล่าวขึ้นเป็นจังหวะด้วยเจตนามองอีกฝ่ายเป็นสตรีที่เมื่อถูกบุรุษทำให้ศักดิ์ศรีหม่นหมองคงโวยวายอย่างไม่ยินยอม
ซือเมี่ยวหันกลับมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายทำเอาจางหย่งฟู่ยิ้มอย่างพอใจกับความไม่เกรงกลัวผู้ใดของนาง เขาคิดว่าแมวน้อยของสือเฟิงเหมียนจะเป็นพวกขี้กลัวจนหัวหดเหมือนหญิงสาวทั่วไปที่มีดีแค่ความงามเสียอีก
“ข้าไม่ใช่คนที่จะมาสนใจเรื่องชายหญิงเพียงเพราะแค่ใกล้ชิดกันชั่วครั้งชั่วคราวหรอกนะ เรื่องที่ท่านช่วยไว้ตรงป่าในสำนักเถียนเจี๋ยไฉ่ข้าตอบแทนให้แล้ว ดังนั้นทางใครทางมันเถอะ” หนี้ชีวิตที่มีจบลงตั้งแต่เขาเอานางเป็นโล่แล้ว
“ชั่วครั้งชั่วคราวงั้นรึ หึ” จางหย่งฟู่หัวเราะในลำคอก่อนที่จะยกมืออีกข้างมากันไว้ไม่ให้คนตัวเล็กหนีไปไหน
“ท่านจะทำอะไร”
“ดูท่าเจ้าจะยังไม่รู้ถึงฐานะของตนเองนะเทพพยากรณ์ ที่นี่คือสำนักเวยอี้และข้าคือกฎ เจ้าจะอยู่เฉยๆ รอให้เฟิงเหมียนมาช่วยไปดีๆ หรือจะให้ข้าส่งร่างไร้วิญญาณของเจ้าให้เขาคืนนี้ก็เลือกเอา” จบคำร่างบางถูกรวบขึ้นอุ้มกลับไปยังเตียงกว้างที่นางจากมาโดยมีวงแขนของจางหย่งฟู่พันธนาการไว้แน่น
“ปล่อยนะ!”
“อย่าให้ข้าต้องลงมือให้เจ้าเงียบดีกว่า เพราะข้าคงเลือกวิธีที่ทำให้ชายผู้นั้นต้องเสียใจที่สุดเป็นแน่” นิ้วยาวลากผ่านริมฝีปากนุ่มทำเอาซือเมี่ยวสะดุ้งตัวหนีก่อนจะถูกดึงกลับเข้ามาในอ้อมแขนแกร่งดังเดิม
ความแค้นระหว่างพวกเขามากมายเกินจะกล่าวก็จริง แต่มันจะดีกว่าไหมหากทั้งคู่ไปฆ่ากันให้ตายที่อื่นโดยมิต้องลากนางมาข้องเกี่ยว
“ข้ากับเฟิงเหมียนไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบนั้น เขาไม่เดินมาตกกับดักที่ท่านวางไว้หรอก” พูดไปนางก็อยากจะกัดลิ้นตนเองนัก หากไม่เกิดเรื่องที่ตัวร้ายตรงหน้าบุกสำนักป่านนี้นางกับสือเฟิงเหมียนได้อุ่นเตียงกันล่วงหน้าไปก่อนแล้ว แค่นึกถึงใบหน้าสวยหวานพลันร้อนขึ้นมาคล้ายคนมีไข้อ่อน
“โกหกไม่เก่งเลยนะ”
“มะ ไม่ใช่แบบนั้น” ทำไมเรื่องบนเตียงวันนั้นต้องผุดขึ้นมาในหัวของนางตอนนี้ด้วย
“ผู้ชายด้วยกันทำไมจะดูไม่ออก เขามาแน่พนันได้เลย” ชายหนุ่มตอบด้วยความมั่นใจ
“ถ้าเขาไม่มาในสามราตรีนี้ท่านต้องปล่อยข้าไป” หญิงสาวยื่นข้อเสนอ
“ย่อมได้”
“เช่นนั้นตอนนี้ก็ปล่อยข้าเสียที สตรีเพียงคนเดียวจะหนีไปไหนได้” คนตัวเล็กดิ้นไปมาแต่ยิ่งขยับวงแขนของหย่งฟู่ก็รัดแน่นขึ้นจนยากจะเคลื่อนไหว กลายเป็นว่านางถูกเขากอดเสียจนจมอกไม่มีพื้นที่เว้นว่างพอให้หายใจ
“สตรีเช่นเจ้าอย่างไรเล่า”
“ข้า-”
“ถ้าพูดอีกรอบข้าจะไม่ทนอีกต่อไป รอให้เช้าแล้วข้าจะส่งเจ้าให้อิ้งเยว่จัดการต่อ” เขาพูดทั้งที่หลับตาอย่างตัดรำคาญ
อิ้งเย่ว คือน้องสาวบุญธรรมของจางหย่งฟู่ หากจะเล่าคงต้องย้อนกลับไปช่วงที่เขายังเป็นลูกศิษย์ของสำนักเถียนเจี๋ยไฉ่ ด้วยฝีมือไม่ธรรมดาของเจ้าตัว อนาคตก็สามารถเป็นใหญ่ได้ไม่ยากจึงเข้าตาตระกูลจางที่เป็นตระกูลสาขาของตระกูลสือ แม้มีฐานะไม่ธรรมดาแต่กลับจวนเจียนจะล่มสลายเต็มทีเพราะขาดผู้นำที่ฝีมือ ซ้ำร้ายทายาทรุ่นถัดไปก็มีเพียงจางอิ้งเยว่ซึ่งเป็นสตรี พวกเขาจึงรับเด็กคนนั้นเข้าบ้านและตั้งใจให้เป็นผู้นำคนต่อไปแม้สุดท้ายหนทางที่หย่งฟู่นำไปจะกลายเป็นวิถีของผู้ล้มล้างตระกูลหลักก็ตามที
...................................................
.................................
ยามเช้าตะวันทอแสงอุ่นเข้ามาด้านในห้องนอนกว้าง หญิงสาวตื่นขึ้นมาในวงแขนของตัวร้ายหนุ่ม เมื่อคืนกว่าจะได้เข้านอนก็เล่นเอาเกือบเช้า ส่วนหนึ่งเพราะมัวต่อปากต่อคำกับจางหย่งฟู่
บุรุษผู้นี้ไม่กี่ชั่วยามก่อนยังขู่ฟ่อๆ อยู่เลยตอนนี้กลับหลับลึกจนนางสามารถลุกออกมาได้ง่ายๆ ลมหายใจอุ่นร้อนที่เข้าออกเป็นจังหวะทำให้ซือเมี่ยวมั่นใจได้ว่าคราวนี้เขาคงไม่ลุกขึ้นมาอีกครั้ง
“...” ทันทีที่เปิดประตูห้องบานเดิมออกก็พบว่ามีชายหนุ่มอีกคนยืนรออยู่หน้าประตู ท่าทางสมเป็นสุภาพชนเพียงแต่สีหน้าและแววตาดูไร้พิษสงต่างจากหย่งฟู่โดยสิ้นเชิง
เมื่อพิจารณาจากเครื่องแต่งกายแล้วหาใช่เพียงคนธรรมดา ข้างเอวมีดาบคู่สองเล่มเหน็บอยู่ซึ่งมันสลักคำกล่าวที่ว่า ‘ดาบชนะด้วยกำลัง กระบี่เอาชัยด้วยยุทธวิธี’ วลีนี้ไม่มีอะไรเกินจริง ดาบเน้นการจู่โจมดุดันหนักแน่นและรุนแรง ดังนั้นผู้ที่ใช้มันย่อมมีพละกำลังมากกว่าผู้ฝึกกระบี่
เขาโค้งศีรษะเชิงขอโทษเมื่อเห็นว่าตนเองทำให้นางตกใจก่อนเอ่ยปากถาม
“ไม่ทราบว่าท่านคือ…” ดูเหมือนว่าเรื่องที่เจ้าสำนักตนเองออกไปก่อเรื่องเมื่อคืนจะยังไม่มีผู้ใดทราบ ทางด้านเถียนเจี๋ยไฉ่เองก็คงพยายามปิดข่าวเพื่อมิให้ชื่อเสียงของสำนักต้องด่างพล้อยจากความเสียหายมากมายที่เกิดขึ้นเมื่อคืนด้วยเช่นกัน
“เอ่อ คุณชายอย่าใส่ใจเลยเจ้าค่ะ ข้าเพียงหลงทางมาเท่านั้น คงดีหากท่านช่วยบอกทางออกให้” คำถามกะทันหันแบบนี้ซือเมี่ยวที่ไม่ได้เตรียมคำตอบมาก็พูดส่งๆ ไปหวังเพียงแค่เอาตัวรอด นี่อาจเป็นคำโกหกที่โง่เง่าที่สุดเท่าที่นางจะเคยได้ยินด้วยซ้ำ
“หลงทาง?” เขาทวนคำอีกครั้งด้วยสีหน้าไม่วางใจก่อนมองกลับมายังสตรีปริศนาผู้อยู่ดีๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นในส่วนที่ลึกที่สุดของสำนัก สิ่งแรกที่ควรสงสัยนอกจากคำพูดของนางแล้วก็คือความปลอดภัยของคนด้านใน
“เช่นนั้นข้าจะนำทางไป” ชายผู้นั้นยังคงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ
“…” คนตัวเล็กลอบกลืนน้ำลาย มีความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัวแล้วว่าคำพูดของนางเชื่อถือไม่ได้ทว่าหากไม่ตามไปก็มีพิรุธอีก สุดท้ายต่อให้ปลายทางจะเป็นลานประหารคนงามก็ทำได้เพียงไปตายเอาดาบหน้า
เวยอี้ (เปี่ยมล้นไปด้วยอำนาจอันน่าเกรงขาม)
คำที่เป็นชื่อของสำนักสลักไว้บนหินดำซานซีก้อนใหญ่ซึ่งดำสนิทไร้แร่อื่นเจือปนแสดงถึงปณิธานอันตั้งมั่นว่าจะไม่แปรผันแม้กาลเวลาและอำนาจใดแทรกแซงเข้ามาก็ไม่หวาดหวั่น
นางกำลังยืนอยู่หน้าประตูสำนักจริงๆ .....
“สำนักเวยอี้ต่างจากสำนักอื่นตรงที่มิได้อยู่บนยอดเขาแต่อยู่บนที่ราบข้างทะเลสาบหมิงจิ่ง หากจะเข้าออกจำต้องใช้เรือโดยสาร เจ้าจะใช้เรือที่นี่พายไปก็ได้” ชายที่หญิงสาวยังไม่ทันได้ถามชื่อแซ่นอกจากจะนำทางออกมาแล้วยังช่วยเหลือเรื่องการออกจากที่นี่ให้โดยที่ไม่ซักไซ้ความจริงอะไรจากนางเพิ่ม
“….” เมื่อครู่นางคิดเยอะไปหรือเขาซื่อเกินไปกันแน่
“หากไม่มีอะไรแล้วข้าขอตัวก่อน”
“ขอบคุณคุณชายมากนะเจ้าคะ” ร่างบางโค้งศีรษะให้ด้วยความงงๆ ก่อนจะสาวเท้าไปยังท่าเรือทันที
‘อะไรมันจะง่ายดายปานนี้!’ ซือเมี่ยวยิ้มร่า นึกว่าเรื่องราวจะยากกว่านี้เสียอีกแต่ก็ดีมากแล้วที่ไม่มีอุปสรรคใดมาขัดขว้าง
“เหวินหนิง! อย่าให้นางออกจากสำนักไปได้!!” เสียงอันคุ้นเคยของหย่งฟู่ดังก้องหน้าประตูสำนัก จากนั้นไม่กี่อึดใจต่อมาร่างเล็กของหม่าซือเมี่ยวก็ถูกหิ้วลอยกลับเข้าไปด้านในสำนักอีกครั้ง