‘ตายแน่….’ คำเดียวที่ปรากฏขึ้นมาในหัวของเทพพยากรณ์สาว
“ข้าเปลี่ยนใจลงตรงนี้เลยได้หรือไม่ หลังจากนี้ทางใครทางมันเถอะ” นางเสนอก่อนที่จะปล่อยมือออกจากรอบคอของจางหย่งฟู่ที่ตนเผลอกอดไว้แน่นเสียนาน สายตาคมมองมาเชิงรู้ทันว่านางจะถอนตัวกลายเป็นว่ามือข้างที่ประคองร่างบางเอาไว้โอบกระชับยิ่งกว่าเดิม
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!” คนด้านหลังที่ตามมาพร้อมอาวุธออกคำสั่ง ดูจากจำนวนแล้วไม่คณามือตัวร้ายหลักของเรื่องอย่างเจ้าสำนักเวยอี้ไปได้ เพียงแต่เสื้อสีขาวสว่างของซือเมี่ยวยามนี้ถูกย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงเข้มซึ่งมาจากตัวเขาเต็มไปหมด ถ้าเป็นคนทั่วไปเลือดออกขนาดนี้มีหวังได้เตรียมตัวไปพบหน้าบรรพบุรุษบนสวรรค์แล้ว แต่จางหย่งฟู่ยังคงวางสีหน้าอวดดีอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด
ชายหนุ่มมักจะสวมเสื้อผ้าเพียงสองสีไม่ดำสนิทก็สีแดงเข้มคล้ายกลีบใบของดอกสือซว่าน (พลับพลึงแดง) เพื่อปกปิดบาดแผลบนร่างกายที่เกิดจากการต่อสู้ คนยอมหักไม่ยอมงอแบบเขาต่อให้บาดเจ็บมากเพียงใดเจ้าตัวก็ยังทำสีหน้าไม่สะทกสะท้านได้อยู่ดี
“อยากได้ตัวนางงั้นรึ ถ้าตามมาบอกเลยว่าข้าจะปล่อยให้ร่างเล็กกระจ้อยร่อยนี้หล่นไปกระแทกพื้นด้านล่าง เอาให้แม้แต่ศพก็ยังหาไม่เจอ” พูดไม่พอสองขายาวก้าวไปยังแผ่นไม้ผุที่จวนเจียนจะพังตลอดเวลาอย่างช้าๆ
“!!!”
‘ไอ้คนชั่วววววว’ คนงามทำได้แค่ตะโกนด่าในใจ ที่เขาอาสาช่วยเหลือนางเพราะต้องการเอามาเป็นโล่กำบังงั้นเหรอ!
“ทำอะไรของท่านกัน” มือเล็กตีบนอกกว้างไปสองสามที แต่เมื่อจางหย่งฟู่คลายวงแขนออกจนร่างบางเกือบหลุดมือซือเมี่ยวจึงเป็นฝ่ายจำต้องรีบคว้าตัวเขาไว้แน่นแทน
หัวใจดวงน้อยเต้นโครมครามจนจะทะลุออกมาอยู่รอมร่อ
“ไอ้สารเลว เจ้ายังมีศักดิ์ศรีอยู่หรือไม่ถึงได้เอาผู้หญิงมาเป็นตัวประกัน!!” คนตัวเล็กพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนี้ทุกประการ
“ข้าทำได้มากกว่านี้อีกเยอะ อยากรู้จะลองดูก็ได้” หย่งฟู่ยักไหล่อย่างไม่สนใจคำด่าพวกนั้นก่อนจะหันหลังก้าวออกไป
โครม!!
“กรี้ดดดด” ไม้แผ่นหนึ่งที่ร่างสูงเหยียบอยู่หักออกเป็นสองส่วน ดีที่เจ้าตัวไม่ได้ลงน้ำหนักมากเขาจึงกระโดดข้ามไปยังแผ่นถัดไปได้อย่างฉิวเฉียด
“เจ้าจะรัดข้าแน่นไปไหน อย่าขยับได้ไหม!” เจ้าสำนักหนุ่มตวาดร่างเล็กก็โอบรัดเสียแน่นยิ่งกว่างูพันเหยื่อ หากรวมร่างกันได้นางคงทำไปแล้ว
ตอนนี้เขาเริ่มคิดว่าตนคิดผิดที่เอานางมาด้วยหรือควรโยนทิ้งเสียเลยดีรึไม่ ถ้าไม่ติดว่าเวลานี้เกินกำลังจะต่อสู้กับคนพวกนั้นได้เขาคงไม่เก็บสตรีเจ้าปัญหามาให้เปลืองแรง
“ไม่ได้ตั้งใจจะขยับตัวเสียหน่อย” หม่าซือเมี่ยวที่ตัวสั่นเป็นลูกหมาตกน้ำแม้จะหลับตาก็ยังอดมองพื้นด้านล่างและจินตนาการถึงความผิดพลาดหากตกลงไปไม่ได้
“หย่งฟู่ข้างหลัง!”
ร้อยวันพันปีไม่เคยมีใครเรียกเขาด้วยชื่อต้นมาก่อนทำให้ร่างสูงชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงหันไปยังทิศทางที่คนตัวเล็กร้องบอก
“หากเราไม่ได้นางไป ก็อย่าหวังว่าใครจะ-”
ฉึก!
กระบี่เล่มยาวอันเป็นอาวุธคู่กายมาตั้งแต่สมัยที่เขาเพิ่งตั้งตนเป็นเจ้าสำนักพุ่งทะลุลำคอของคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มลักพาตัวจนอีกฝ่ายล้มลงสิ้นใจทันทีโดยไม่มีเวลาให้ทรมาน
“อาจารย์!” บรรดาลูกศิษย์รีบวิ่งเข้ามาดูอาการคนที่ล้มลงไป เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่หายใจแล้วจึงโกรธแค้นและกรูกันเข้ามาหมายเอาชีวิตของผู้ลงมือหวังเอาเลือดไปล้างเท้าอาจารย์ของตน
“ข้าคงก้าวเท้าออกจากบ้านผิดข้างเป็นแน่ จับไว้!”
“ไม่บอกก็ไม่ปล่อยอยู่แล้ว!! กรี้ดดดด” นาทีชีวิตนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ร่างสูงวิ่งเหยียบสะพานไม้ไปข้างหลังซึ่งมีคนตามมาไม่ขาด น้ำหนักที่มากเกินกว่าเชือกเส้นหนาจะรับไหวทำให้ใจของหญิงสาวคล้ายจะหยุดเต้น
เปรี๊ยะ!
เสียงฉีกขาดของมันดังสนั่นรอบบริเวณเป็นวินาทีเดียวกับที่ร่างของคนทั้งสองหล่นวูบลงราวกับธรณีสูบโดยที่ห่างจากปลายทางเพียงหนึ่งจั้ง (2.5 เมตร)
จางหย่งฟู่ใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่กระโดดผ่านขึ้นไปได้ทันทำเอาร่างบางตกใจจนแทบสิ้นสติ วิญญาณของนางลอยเข้าออกร่างของซือเมี่ยวไม่ต่ำกว่าสามรอบ แค่คืนเดียวนางเฉียดตายไปแล้วถึงหลายหนไม่รวมตายจริงอีกหนึ่งครั้ง!
เมื่อถึงฝั่งแขนขาของคนงามอ่อนแรงจนคลายออกจากร่างเจ้าสำนักหนุ่มก่อนจะทรุดตัวล้มลงบนพื้นแข็ง มือสากประคองใบหน้าพริ้มเพราเอาไว้สีหน้าคล้ายจะตำหนิอะไรบางอย่างทว่าหูสองข้างของนางอื้อไปหมดจนไม่ได้ยินว่าคนตรงหน้ากำลังกล่าวสิ่งใด
เปลือกตาหนักอึ้งเหมือนตอนที่นั่งอยู่ตรงหน้าหลุมศพของเข่อซิงไม่มีผิดเลย จะว่าไปแล้วตอนนั้นโค้ชเองก็พยายามจะพูดอะไรกับนางกันนะ ไม่นานภาพตรงหน้าพลันแปรเปลี่ยนซ้อนทับไปยังวันนั้น....
สติที่มีอยู่น้อยนิดดับลงก่อนที่ภาพจะตัดไปยังสถานที่สุดท้ายในความทรงจำ ร่างโปร่งแสงของหญิงสาวบางเบาจนกลืนไปกับอากาศ ตรงหน้าคือตนเองที่กำลังนั่งร้องไห้อย่างเงียบๆ ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายหนักหน่วง ที่นี่คือสุสานชานเมืองที่เข่อซิงกำลังพักผ่อนอย่างสงบนั่นเอง
“หนูดีใจที่พี่มาหานะคะ” เสียงใสกังวานขึ้นด้านหลังจนร่างโปร่งแสงซึ่งบัดนี้อยู่ในรูปร่างของอันฉีหันไปมอง
“เข่อซิง?!” เด็กสาวตัวเล็กยืนอมยิ้มให้ ใบหน้าหวานน่าเอ็นดูของเธอเหมือนกับวันสุดท้ายที่ได้บอกลากันหน้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมื่อ 10 ปีก่อนไม่มีผิด
“ขอโทษนะ พี่ขอโทษจริงๆ ถ้าพี่คิดถึงเธอมากกว่านี้อย่างน้อยตอนที่มีชีวิตเราก็ยังได้อยู่ด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน” อันฉีคิดไปว่าหลังจากได้รับชัยชนะอาจมีเวลาอีกมากจึงเอาเวลาทั้งหมดตั้งใจกับการฝึกฝนเพื่อเป็นนักกีฬาทีมชาติทั้งที่เวลาเป็นสิ่งที่มีจำกัดมาแต่ไหนแต่ไร น้ำตาของเธอไหลอาบแก้มไม่ต่างจากกายหยาบที่นั่งร้องไห้อยู่ไม่ไกล
“หนูรู้ว่าพี่ทำงานหนักแค่ไหน เงินที่ได้มาต่อลมหายใจของหนูก็เพราะพี่ทั้งนั้น ถ้าไม่ได้พี่หนูอาจจะตายตั้งนานแล้วก็ได้นะคะ และคงไม่ได้เป็นนักเขียนแบบที่เคยบอกกับพี่ไว้หรอก”
ร่างกายของเข่อซิงอ่อนแอมาตั้งแต่เกิด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่จึงเอาเธอมาทิ้งอย่างไร้เยื่อใย พวกเขาไม่ต้องการสิ้นเปลืองเงินทองที่หามาได้อย่างยากลำบากเพื่อเด็กคนหนึ่ง ต่อให้เด็กคนนั้นจะเป็นลูกในไส้ของพวกเขาก็ตาม
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เธออยู่ไม่ได้มีเงินทองเหลือเฟือจะจุนเจือเรื่องการแพทย์ ทำให้อาการป่วยของเด็กน้อยไม่เคยได้รับการรักษา หลายครั้งเจ้าตัวเองก็ตัดใจและใช้ชีวิตแบบไม่คาดหวังพร้อมกับลมหายใจที่สวรรค์มอบมาให้เพียงน้อยนิด จนวันหนึ่งพี่สาวผู้แสนใจดีกับเธอมากเหลือเกินต้องออกจากสถานรับเลี้ยงไป...
‘ฉันจะตั้งใจทำตามทุกอย่างที่ได้รับมอบหมายค่ะ ไม่ว่าอะไรที่สมาคมต้องการฉันสาบานด้วยชีวิตว่าจะเอามาให้ได้ ดังนั้นได้โปรดช่วยดูแลน้องๆ ของฉันด้วยนะคะ’
อันฉีที่อายุแค่ 8 ขวบก้มศีรษะจนติดพื้นอ้อนวอนสมาคมที่เข้ามาเฟ้นหาเด็กหน่วยก้านดีไปฝึกฝนเป็นนักกีฬาทีมชาติ ภาพนั้นยังคงตราตรึงในความทรงจำของเข่อซิงเสมอมา
ไม่ได้เป็นพี่น้องกันจริงๆ เสียหน่อย อยู่ด้วยกันแค่ไม่นาน ไม่เคยรู้จักหรือพบเจอกันมาก่อนเลยด้วยซ้ำ ทำไมต้องทำอะไรให้คนแบบฉันถึงขนาดนี้?
เด็กน้อยในวันนั้นไม่เข้าใจการกระทำของอันฉีเพราะขนาดคนที่ผูกพันทางสายเลือดยังตัดขาดกันได้อย่างไม่ไยดี นับประสาอะไรกับคนที่เพิ่งรู้จักกัน