เช้าวันต่อมาลี่จูออกตระเวนหาซื้อยาสามัญประจำบ้านตามร้านต่างๆ ไปทั่วบริเวณ ทั้งยังสั่งซื้อผ่านไรเดอร์ตามแอปพลิเคชันต่าง ๆ ช่วยอีกทาง แต่การซื้อยาบางประเภทก็มีขอบเขตในการซื้อขาย เธอจึงได้มาเพียงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
ระหว่างที่ขับรถเธอมองเห็นร้านวัสดุก่อสร้าง ลี่จูแวะสั่งสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ในการสร้างบ้านให้เอาไปส่งที่ร้านของเธอจนครบถ้วน ก่อนจะขึ้นขับออกไปสายตาของเธอมองเห็นป้ายก้อนเชื้อเห็ด ลี่จูจึงนึกอยากได้ติดตัวไปยังสถานที่แห่งนั้นอีกสักหน่อย สุดท้ายเธอก็สั่งซื้อก้อนเชื้อเห็ดนางฟ้าไปอีกกว่า 200 ก้อน
ในช่วงเที่ยงของวัน ลี่จูรวบรวมเงินที่เหลือไปซื้อทองคำแท่งมาเก็บไว้ทั้งหมด ก่อนจะกลับมาที่บ้าน แล้วทยอยเก็บของที่เหลือทุกชิ้นในบ้านเข้าไปในมิติ รวมถึงเสื้อผ้าของมารดาผู้ล่วงลับไปแล้ว
กระทั่งเวลาล่วงเลยถึงช่วงค่ำ ลี่จูอาบน้ำแต่งตัว แล้วเตรียมตัวเข้านอน หลังจากเดินสำรวจดูแล้วว่าสิ่งของทั้งหมดในบ้านหลังนี้ถูกเก็บเข้านิติจนหมดเหลือเพียงเตียงนอนที่เธอกำลังจะนอนเท่านั้น
"พร้อมแล้วใช่หรือไม่แม่หนู?"
เสียงนุ่มทุ้มแต่กลับทรงพลังและแฝงไปด้วยพลังอำนาจบางอย่างจนลี่จูขนกายลุกซู่ หญิงสาวรีบตั้งสติให้คงที่ก่อนจะตอบกลับผู้ที่ไม่เคยเห็นหน้าด้วยความมั่นอกมั่นใจ
"หนูพร้อมแล้วค่ะ แต่หนูมีเรื่องนึงที่อยากจะถามค่ะ?"
"เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องรถของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเอารถยนต์ของเจ้าออกมาในช่วงปีไหน รถของเจ้าก็จะปรับเปลี่ยนไปตามที่ปีนั้น ๆ รับรองว่าไม่แปลกตาจนผู้คนแตกตื่นแน่นอน"
เป็นอีกครั้งที่ลี่จูอึ้งกับสิ่งที่ตนได้ยิน เธอยังไม่ได้พูดอะไรสักคำแต่ผู้เฒ่าด้ายแดงกลับรู้ทุกเรื่องในหัวของเธอ
"ค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูก็ไม่มีเรื่องอะไรสงสัยแล้วค่ะ"
"หลับตาเถิดแม่หนู ได้เวลาที่เจ้าต้องไปแล้ว"
ลี่จูจ้องมองไปรอบ ๆ ห้องอีกครั้ง ตึกแห่งนี้มีความทรงจำมากมายระหว่างเธอกับมารดา โชคดีที่เธอยังได้เสื้อผ้าและสิ่งของของมารดาติดตัวไปด้วย เช่นนั้นเธอจึงไม่มีอะไรต้องห่วงอีกต่อไปในกาลเวลานี้
หญิงสาวล้มตัวลงบนที่นอนก่อนจะค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลง ไม่นานสติของลี่จูก็วูบดับไป เธอไม่อาจรู้ได้ว่าวิญญาณของตนเองกำลังจะหลุดลอยข้ามกาลเวลาไปด้วยวิธีไหน และล่องลอยอยู่เช่นนั้นนานเท่าไหร่
ปี 1980 ณ หมู่บ้านเทียนซวง เมืองกวางโจว มณฑลกวางตุ้ง
กลางบ้านดินที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่เพียงหลังเดียวบริเวณชายป่า ซึ่งเป็นที่อาศัยของบ้านรองสกุลเมิ่งผู้ถูกกดขี่จากบ้านหลัก จนต้องระเห็จออกมาอาศัยอยู่นอกหมู่บ้านอย่างน่าเวทนา
แม้พวกเขาจะยากจนเงินทอง แต่น้ำใจและความมีเมตตาของคนในบ้านนี้ยังคงมีมากพอที่จะเผื่อแผ่ให้กับสหายร่วมโลก แม้ว่าหญิงสาวตรงหน้าจะเป็นเหมือนเผือกร้อนที่ถูกโยนเข้ามาในมือของบ้านนี้ แต่ทุกคนก็ยังดูแลร่างบอบช้ำของเธอเป็นอย่างดี
ยาแก้ปวดที่เหลืออยู่เพียง 2 เม็ดสุดท้ายในบ้านถูกป้อนให้คนที่กำลังไข้ขึ้นไปจนหมด ขอเพียงแค่เธอผ่านคืนนี้ไปได้เรื่องอื่น ๆ จะเอาอย่างไรต่อค่อยว่ากันอีกที
"ยายเฒ่า นังหนูเป็นยังไงบ้าง รู้สึกตัวรึเปล่า?"
พ่อเฒ่าเมิ่งฉือเอ่ยถามภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่กำลังดูแลเด็กสาวอยู่ในห้อง ส่วนเมิ่งซูอี้ผู้เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของพวกเขากำลังเอากะละมังไปเปลี่ยนน้ำอยู่
"ยังเลยตาเฒ่า แม่หนูคนนี้ตัวร้อนมาก ตามแขนขาก็มีแต่รอยฟกช้ำน่าสงสารยิ่งนัก"
สองสามีภรรยากำลังกลัดกลุ้มกับเหตุการณ์ตรงหน้า แต่เสียงเล็ก ๆ ของหลานสาวทำให้ผู้เฒ่าทั้งสองยิ้มบาง ๆ จนได้
"ฉงฉาน ปู้ปู้ฉงฉาน~"
"ฮะ ฮะ พู่พู่ของปู่เป็นเด็กดีที่สุด หลานต้องรู้จักมีเมตตาต่อคนอื่นนะลูก"
มือเหี่ยวย่นของพ่อเฒ่าเมิ่งฉือลูบหัวหลายสาวตัวน้อยที่มีอายุเพียง 2 ขวบด้วยความเอ็นดู แม้เมิ่งซูอี้ผู้เป็นลูกชายจะไม่เคยพูดถึงเรื่องแม่ของพู่พู่ แต่เมิ่งซูอี้ก็ทำหน้าที่เป็นพ่อและแม่ให้หนูน้อยได้อย่างสมบูรณ์ จนเมิ่งพู่พู่เติบโตมาอย่างร่างเริงสดใสและเป็นรอยยิ้มของทุกคนในบ้านรองแห่งนี้
"ปู้ปู้เดะดี~"
แปะ แปะ แปะ
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังหันไปสนใจเด็กหญิงตัวน้อย เวลานั้นเองเป็นจังหวะที่ดวงวิญญาณของหญิงสาวที่นอนป่วยหลุดลอยออกจากร่างไป และดวงวิญญาณของเจียงลี่จูก็เข้ามาอยู่ในร่างของเด็กสาวคนนี้แทน
เสียงปรบมือของเด็กหญิงตัวน้อยเรียกสติของลี่จูให้ตื่นฟื้นจากการหลับใหล เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างทรมาน ความเจ็บปวดมีมากราวกับว่าเธอถูกสิบล้อทับก็ไม่ปาน แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรภาพความทรงจำต่าง ๆ ของร่างนี้ก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวของเธอไม่ขาดสาย
เจ้าของร่างนี้เป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่เสียไปเมื่อตอนเกิดการปฏิวัติในช่วงที่บ้านเมืองชุลมุน แม้พ่อแม่ของเธอทิ้งสมบัติไว้มากพอสมควร แต่ครอบครัวของป้า ซึ่งเป็นพี่สาวฝั่งแม่ที่รับเลี้ยงเธอ ก็นำไปถลุงในบ่อนจนหมด
นับแต่ที่เธอหมดผลประโยชน์ ร่างนี้ก็ถูกใช้งานและทำร้ายร่างกายไม่ต่างจากทาส ท้ายที่สุดก็ถูกนำตัวมาปลดหนี้เงินกู้เพื่อใช้เรือนร่างของเธอให้เกิดประโยชน์ แม้ตามร่างกายของเด็กสาวจะมีรอยฟกช้ำแต่เธอก็ยังเป็นสาวบริสุทธิ์ พวกเขาใช้ประโยชน์จากเรือนร่างนั้นจนถึงวินาทีสุดท้าย
"อ๊ะ! โอ๊ย~ ปวดหัว ทำไมปวดหัวแบบนี้"
ในระหว่างที่ลี่จูกำลังใช้มือทั้งสองข้างกุมขมับอย่างเจ็บปวด เมิ่งซูอี้ที่ออกไปเปลี่ยนน้ำก็เดินเข้ามาในบ้านพอดี ทำให้เขาต้องรีบวางกะละมังใบเก่าลงแล้วรีบรุดเข้าไปดูหญิงสาวช่วยผู้เป็นมารดาอีกแรงหนึ่ง
"ตื่นแล้วเหรอแม่หนู ตาเฒ่าเราจะทำยังไงดี ทำไมแม่หนูดูเจ็บปวดขนาดนี้ล่ะ?"
"แม่ถอยออกมาก่อนครับ เดี๋ยวผมดูเธอเอง"
เมิ่งซูอี้เห็นว่ามารดาลนลานจนทำอะไรไม่ถูก รอบนี้เขาจึงอาสาเข้าไปดูเด็กสาวด้วยตัวเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่แม้จะแตะต้องตัวเธอ เพราะการใกล้ชิดหรือแตะเนื้อต้องตัวในยุคสมัยนี้ถือเป็นเรื่องที่เคร่งครัดพอสมควร
"ได้ลูกได้"
"คุณครับ คุณเป็นยังไงบ้าง ได้ยินที่ผมพูดไหม?"
ซูอี้พยายามเรียกสติหญิงสาวตรงหน้าอย่างระมัดระวังและเว้นช่องว่างระหว่างกันไว้เล็กน้อยเพื่อความเหมาะสม ลี่จูที่ได้เห็นภาพความทรงจำของร่างนี้และพอจะรู้เรื่องราวความเป็นมาของเด็กสาวบ้างแล้วอาการปวดหัวของเธอก็ดีขึ้นอย่างน่าแปลกใจ
มือทั้งสองข้างของลี่จูถูกลดลงเพื่อไม่ให้บดบังระยะสายตา สิ่งแรกที่เธอมองเห็นคือใบหน้าคมเข้มมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลี่จูเชื่อว่าหากเธอได้มองใบหน้านี้กี่ครั้งก็คงไม่มีวันเบื่อ ให้ตายเถอะ คนอะไรหล่อเป็นบ้าเลย
"อ๊ะ!"
"ผมช่วยครับ"
หญิงสาวค่อย ๆ พยุงตัวเองขึ้นจากที่นอนเพื่อจะได้มองทุกอย่างให้ชัดเจน แต่ความเจ็บปวดทั่วเรือนกายทำให้เธอหมดแรงเอาเสียดื้อ ๆ จนเมิ่งซูอี้ต้องรีบเข้าไปช่วยพยุง ใบหน้าของทั้งคู่ห่างกันเพียงคืบเดียว ทันทีที่ได้จ้องมองนัยน์ตาของกันและกัน ก้อนเนื้อในอกซ้ายของทั้งคู่ก็เต้นรัวเร็วอย่างน่าแปลกทั้งที่มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
"ขะ..ขอบคุณค่ะ"
"ดีขึ้นไหมครับ?"
"..."
ลี่จูพยักหน้าตอบรับก่อนจะหันมองไปทั่วบริเวณบ้านดินที่ใกล้จะถล่มทับหัวทุกคนเต็มทีแล้ว แต่สายตาของเธอไปหยุดอยู่ที่ร่างเล็กจ้อยของเด็กหญิงตัวน้อยที่นั่งอยู่บนตักของผู้เป็นปู่
เด็กหญิงตัวน้อยถึงแม้จะผอมไปสักหน่อยและใส่เสื้อผ้าสีซีดบ่งบอกว่าผ่านการใช้งานมานานแล้ว แต่ใบหน้าและแววตาของเด็กน้อยกลับสดใส ยังถือเป็นความโชคดีของบ้านรองสกุลเมิ่งที่ยังมีเด็กคนนี้คอยเติมเต็มรอยยิ้มให้ผ่านเรื่องแย่ ๆ ไปได้
"หลังจากนี้คุณจะเอายังไงต่อ?"
ซูอี้เอ่ยถามเมื่อเห็นลี่จูหันมองทุกคนและบริเวณบ้านอยู่พักใหญ่แล้ว เขารู้ตัวดีว่าบ้านของเขาไม่ใช่ที่พึ่งที่ดีสำหรับหญิงสาวตรงหน้า หากเธอคิดอยากจะหนีไปอยู่ที่อื่นเขาก็ไม่ห้าม
"สวัสดีสาวน้อย หนูชื่ออะไรจ๊ะ"
ลี่จูไม่ตอบกลับซูอี้แต่เธอเลือกที่จะเอ่ยทักทายเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังจ้องมองมาที่เธอ
"ปู้ปู้จื้อปู้ปู้"
เด็กหญิงตัวน้อยตอบกลับแต่ด้วยคำพูดที่ไม่ชัดเจนทำให้ลี่จูฟังไม่เข้าใจ แม่เฒ่าเมิ่งซูเจินจึงเป็นคนแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน ด้วยว่าได้มองดูท่าทีของเด็กสาวตรงหน้าแล้วเห็นว่าไม่น่าจะมีพิษภัยอะไร
"เมิ่งพู่พู่จ้ะ เป็นลูกของอาซูอี้ลูกชายป้าเองแหละ ว่าแต่แม่หนูชื่ออะไร ไปยังไงมายังไง ทำไมถูกคนบ้านนั้นทำร้ายร่างกายขนาดนี้"
"หวัดดีจ้ะพู่พู่ ไว้เราค่อยคุยกันนะ"
"..." เด็กหญิงตัวน้อยพยักหัวหงึกหงัก ก่อนที่ลี่จูจะหันไปคุยกับแม่เฒ่าเมิ่งซูเจินต่อ