กลางดึกคืนนั้น
"นังแพศยา อย่าคิดนะว่าฉันจะยอมให้แกมาเป็นเมียน้อยพี่หวังเหว่ยได้เลย รอให้ฉันตายไปก่อนแกถึงจะได้ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านหลังนี้!"
เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ
เสียงด่าทอต่างๆ นานา รวมถึงฝ่ามือที่ฟาดใส่ใบหน้ามนจนเกิดร่องรอยสีแดงช้ำโชว์หราอย่างเห็นได้ชัด สาวน้อยผู้ถูกกระทำผอมบางร่างปลิวลมไม่มีแม้แต่แรงที่จะลุกขึ้นสู้ เสื้อผ้าการแต่งตัวของเธอก็เก่าจนแทบจะหลุดลุ่ยติดมือออกมาเป็นชิ้น ๆ แม้หน้าตาของหญิงสาวจะมีเค้าโครงที่สวยและมีเอกลักษณ์ แต่ก็ถูกความเศร้าหมองกลืนกินความงามไปหมดจนไม่หลงเหลือ
"ฮึก ยะ..อย่าทำฉัน ได้โปรด ฮึก"
เพี๊ยะ
"หุบปากแกไปเลย คิดว่าฉันไม่รู้รึยังไงว่าป้าของแกพยายามยัดเยียดร่างกายของแกมาขัดดอกที่ยืมไป นี่ก็คงหวังจะเอาความสาวเข้าแลกให้ตัวเองสบายสินะ ทุเรศจริง ๆ!"
หลิวอิ๋ง ภรรยาของเมิ่งหวังเหว่ย ลูกชายเพียงคนเดียวของเฒ่าเมิ่งคุน ที่เป็นหัวหน้าบ้านหลักของสกุลเมิ่งเอ่ยด้วยความเดือดดาล มีอย่างที่ไหนที่ลูกหนี้ของสามีเธอคิดจะเอาตัวหลานสาวมาดึงความสนใจไปจากเธอ หากเป็นเช่นนั้น หากเธอยอมให้สามีนอนกับผู้หญิงขัดดอกพวกนี้ เธอไม่ต้องตกกระป๋องเพราะแพ้ให้กับความสาวความสวยของเด็กสาวตรงหน้าหรอกหรือ
"มะ...ไม่ใช่ ฉันไม่ได้จะทำแบบนั้น ฮึก"
สาวน้อยที่จิตใจบอบช้ำร้องไห้ออกมาอย่างน่าเวทนา เธอมองไปรอบห้องเพื่อมองหาสิ่งของป้องกันตัวแต่ก็เจอเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น 3 วันแล้วที่เธอถูกพามาขัดดอกให้กับบ้านเมิ่งแห่งนี้ นับแต่วันแรกจวบจนวันนี้เธอก็ถูกขึงไว้ในห้องเล็ก ๆ โดยไม่มีข้าวปลาอาหารตกถึงท้องเลยสักเม็ด
"หึ! หน้าฉันเหมือนคนโง่นักรึไง!"
ไม่รู้เหตุใดหลิวอิ๋งจึงได้ชิงชังเด็กสาวตรงหน้ายิ่งนัก ทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ได้ทำอะไรให้เธอด้วยซ้ำ แต่พอมองเห็นเค้าโครงความงามของเด็กสาวก็ทำให้หลิวอิ๋งเริ่มร้อนรนในใจ
"ฮึก ให้ฉันไป หะ..ให้ฉันไปทำงานที่อื่นก็ได้"
คำพูดของเด็กสาวทำให้หลิวอิ๋งนึกบางอย่างขึ้นได้ แต่เธอก็ไม่วายที่จะใช้ท่อนไม้ที่ถือติดมือมาฟาดไปที่ร่างบางตรงหน้าอยู่หลายครั้งเพื่อคลายโทสะจนคนตรงหน้าสลบไป
ตุ๊บ! ตุ๊บ! ตุ๊บ! ตุ๊บ!
"อั๊ยหยา อาอิ๋ง พอแล้ว ๆ เดี๋ยวก็ตายกันพอดี จิ๊! น่าเสียดายจริง ๆ"
หลิวอิ๋งหันมองสามีด้วยสายตาคาดโทษ หากว่าเธอฟังไม่ผิดสามีของเธอกำลังเสียดายเด็กสาวตรงหน้าเป็นแน่ กว่าเธอจะได้มาอยู่จุดนี้ต้องทนลำบากฟาดฟันกับผู้หญิงของเมิ่งหวังเหล่ยมาไม่น้อย
"พี่หมายความว่ายังไง? เสียดายอะไร!"
"ไม่ใช่จ้ะไม่ใช่ อาอิ๋งอย่าเข้าใจฉันผิดสิ ฉันก็แค่กลัวว่าเด็กนี่จะมาตายในบ้านของเรา ถ้าเป็นอย่างนั้นคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ"
แม้ว่าสามีของเธอจะปฏิเสธแต่หลิวอิ๋งย่อมรู้ดีว่าเมิ่งหวังเหล่ยเป็นคนอย่างไร ยิ่งสายตาหื่นกระหายที่สามีของเธอใช้มองเด็กสาวตรงหน้า หากเธอยังเก็บเด็กสาวคนนี้ไว้ในบ้าน สักวันคงเป็นเธอที่ต้องตกลำบาก
"ป้าของนังเด็กนี่เป็นหนี้พี่เท่าไหร่"
ผู้ชายเพียงคนเดียวที่อยู่ในห้องจ้องมองภรรยาที่กำลังเอ่ยถามด้วยความสงสัย เดิมทีเมิ่งหวังเหล่ยกับเมิ่งคุนผู้เป็นพ่อชอบปล่อยเงินกู้ให้นักพนันที่เข้าไปเล่นในบ่อนอยู่เป็นประจำ ลูกหนี้บางคนไม่มีเงินชดใช้ก็นำสิ่งของมาแลกเปลี่ยน บางคนก็นำลูกหลานมาขายขัดดอก แต่ก็ไม่เห็นภรรยาของเขาจะสนใจอะไรนอกจากนั่งนับเงินใช้ชีวิตมีความสุขไปวัน ๆ
"200 หยวน ว่าแต่อาอิ๋งถามทำไมเหรอ?"
หลิวอิ๋งไม่ได้ตอบกลับแต่เธอกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง อย่างน้อยตัวเธอและสามีก็จะได้ไม่ต้องขาดทุน อีกทั้งตำแหน่งภรรยาของเธอก็ยังมั่นคงเช่นเดิม
"พวกที่อยู่ข้างนอกเข้ามานี่ซิ"
คนงานชาย 2 คนรีบเดินตรงเข้ามาทันทีที่คุณนายของบ้านเรียกหา
"ครับคุณนาย"
"ลากตัวนังนี่ไปที่บ้านรองเดี๋ยวนี้"
ใบหน้าหลิวอิ๋งพยักพเยิดไปที่ร่างอรชรที่นอนหมดสติอยู่กลางห้องมืด
"ครับ/ครับ"
ร่างของเด็กสาวถูกยกขึ้นอย่างง่ายดาย ทันทีที่ร่างกระทบเข้ากับแสงสว่างรอยฟกช้ำทั้งเก่าใหม่ บาดแผลที่เกิดจากการถูกทำร้ายฉายชัดขึ้นมาให้ทุกคนได้เห็น ก่อนที่ร่างของเด็กสาวจะถูกวางลงบนรถเข็นแล้วมุ่งตรงไปที่บ้านรองสกุลเมิ่งตามคำสั่งคุณนายของบ้าน
"อาอิ๋ง เธอจะทำอะไร"
เมิ่งหวังเหล่ยเอ่ยถามภรรยาด้วยสายตาสุดแสนจะเสียดาย อ้อยเข้าปากช้างแล้วแท้ ๆ แต่กลับจำใจต้องปล่อยให้คนอื่นหยิบออกไปเสียได้
"ฉันจะหาเมียให้ญาติผู้น้องของพี่ไงล่ะ อีกอย่างถ้าเอาตัวนังเด็กนั่นไว้ที่นี่ ฉันว่าเราไม่มีทางได้เงินคืนแน่ ๆ แต่ถ้าพี่ทำตามแผนของฉัน พี่จะได้เงิน 200 หยวนคืน แล้วก็ยังได้คำว่าบุญคุณเอาไว้คอยกดขี่บ้านรองด้วยไง หรือพี่ไม่อยากทำเรื่องสนุก ๆ"
คำพูดของหลิวอิ๋งทำให้แววตาของเมิ่งหวังเหล่ยเป็นประกายกลับขึ้นมาอีกครั้ง เมียของเขาก็ช่างรู้ใจจริงแท้ ฉลาดแบบนี้สมแล้วที่เขาเลือกให้มาเป็นภรรยาที่คอยดูแลเรื่องเงินทอง
"จุ๊บ อาอิ๋งนี่รู้ใจฉันจริง ๆ ไปเร็วเข้าเดี๋ยวฉันไปเรียกพ่อก่อนนะ"
หญิงสาวยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อการชักจูงของเธอประสบผลสำเร็จ สามีของเธอกับบิดาชื่นชอบการกดขี่ข่มเหงบ้านรองมากแค่ไหนมีหรือที่เธอจะไม่รู้ หากจะโทษก็ต้องโทษที่โชคชะตา ใครบอกให้ครอบครัวนั้นมาเกิดเป็นลูกเมียน้อยกันล่ะ เช่นนี้แล้วจะโทษใครได้
หลิวอิ๋ง เมิ่งหวังเหล่ยและเมิ่งคุนผู้เป็นพ่อเดินนำหน้าลูกน้องที่กำลังเข็นรถเคลื่นย้ายร่างของเด็กสาวมุ่งหน้าผ่ากลางหมู่บ้านไปที่กระต๊อบเก่า ๆ ที่อยู่ปลายทุ่งของบ้านรองอย่างมีความสุข เพียงแค่คิดว่าจะได้ทับถมบ้านรอง ใจของทั้งสองพ่อลูกก็เป็นสุขแล้ว
"อาฉือ อาฉือนายอยู่ไหม?"
เมิ่งฉือได้ยินเสียงที่คุ้นเคยก็รีบละมือจากการเหลาไม้ไผ่แล้วเดินออกมาดูที่หน้าบ้านพร้อมกับเมิ่งซูอี้ผู้เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของตน
"พี่ใหญ่ มีเรื่องอะไรรึเปล่า ยังไม่ถึงวันที่ต้องส่งเงินเดือนไม่ใช่เหรอครับ"
ชายวัย 50 ปลาย ๆ เอ่ยถามพี่ชายที่มาเยือนถึงหน้าบ้าน ปกติแล้วหากไม่ใช่ว่าถึงวันที่ต้องส่งเงินเดือนให้บ้านหลักเพื่อแสดงความกตัญญูต่อบรรพชน คนที่บ้านนั้นไม่มีทางมาเหยียบที่กระต๊อบปลายทุ่งแน่นอน นอกเสียแต่ว่า....
"ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ฉันแค่เห็นว่าลูกชายของนายน่าจะมีเมียคอยช่วยเหลืองานในบ้านได้แล้ว มีอย่างที่ไหนกันไปทำงานตั้งหลายปีแต่หอบลูกกลับมาแทนที่จะเป็นเงิน หึ!"
เมิ่งคุนตั้งใจพูดกระทบเมิ่งซูอี้ที่ยืนอยู่ข้างเมิ่งฉือน้องชายต่างมารดาของเขา ชีวิตของเด็กหนุ่มคนนี้ก็คงจะขี้แพ้ขี้ขลาดไม่ต่างจากผู้เป็นพ่อสักเท่าไหร่ ดูอย่างเมิ่งฉือสิ! ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็เชื่อฟังไปเสียหมด ยิ่งยกเรื่องบุญคุณและความกตัญญูขึ้นมาพูด ไม่แคล้วที่เมิ่งฉือจะยอมทำตามที่เขาสั่งทุกอย่าง
"แล้วรถเข็นด้านหลังนั่นคือใครเหรอพี่ใหญ่ ดูท่าไม่ค่อยดีเลยนะครับ พาไปหาหมอไม่ดีกว่าเหรอ"
"ไม่ต้อง ๆ เปลืองเงินเปลืองทองเปล่า ๆ ต่อไปนี้ผู้หญิงคนนี้จะมาอยู่ที่นี่ในฐานะลูกสะใภ้ของนายนะอาฉือ ขอให้พวกนายโชคดีแล้วอย่าลืมว่าบ้านหลักของพวกเราดีกับนายขนาดไหน มีความสุขมาก ๆ นะหลานชาย อ้าว พวกแกทำไมยังไม่เอาตัวหลานสะใภ้ของฉันลงมาล่ะ"
"ครับ ๆ "
เมิ่งฉือกับลูกชายต่างก็มองหน้ากันด้วยความมึนงง เรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนพวกเขายังไม่ทันได้พูดอะไร ร่างของเด็กสาวก็ถูกย้ายมาวางไว้ที่แคร่หน้าบ้านแล้ว
"เดี๋ยวก่อนครับลุงใหญ่ นี่มันเรื่องอะไรกัน พวกเราไม่รู้จักเธอแล้วจะให้เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน"
เมิ่งซูอี้เริ่มแสดงอาการไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น สภาพของครอบครัวเขาก็แย่เต็มทีแล้ว ไม่ว่าเขาจะไปรับจ้างหาเงินได้มาเท่าไหร่ก็ต้องถูกส่งเข้าไปที่บ้านหลักเพื่อแสดงความกตัญญู ไหนจะมีลูกน้อยที่ยังต้องดูแลอีก แล้วนี่บ้านหลักยังจะหาเรื่องร้อนใจมาให้พวกเขาอีกทำไมกัน
"อย่ามาเสียงดังใส่ฉัน! ทำไมนายไม่รู้จักสั่งสอนลูกบ้างล่ะอาฉือ ถึงนายจะไม่มีความรู้ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เรื่องความกตัญญูนายต้องสอนลูกบ้างสิ!"
เมิ่งคุนไม่ลืมที่จะหยิบยกปมด้อยของน้องชายต่างมารดาขึ้นมาบดขยี้ ก่อนจะเหยียบซ้ำด้วยคำพูดที่ว่า ไม่รู้จักสั่งสอนลูก
"ขอโทษด้วยครับพี่ใหญ่ ต่อไปผมจะอบรมลูกให้ดี ส่วนแม่หนูคนนี้....เดี๋ยวพวกเราจะช่วยกันดูแลเธอเองครับ"
"หึ! ก็แค่นั้น"
หลังจากที่เมิ่งคุนพูดจนพอใจแล้ว จึงเป็นคราวที่ลูกชายจะได้วางระเบิดลูกใหญ่ต่อก่อนจะเดินกลับ
"อ้อ ดูเหมือนพ่อฉันจะลืมบอกบางเรื่องให้นายรู้นะซูอี้ ภรรยาของนายคนนี้ เป็นหนี้ฉันอยู่ 200 หยวน นายต้องหาเงินมาชดใช้ให้ฉันทุกเดือนพร้อมกับเงินรายเดือนที่ส่งอยู่เป็นประจำ เงินเดือน 10 หยวน เงินใช้หนี้อีก 20 หยวน 10 เดือนต่อจากนี้บ้านรองต้องส่งเงินเข้าบ้านหลักเดือนละ 30 หยวน เข้าใจตรงกันนะ"
พ่อลูกบ้านหลักพูดจบก็เดินกลับบ้านของตนเองพร้อมหลิวอิ๋งและลูกน้องอย่างมีความสุข ทิ้งไว้เพียงพ่อลูกบ้านรองที่กำลังอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน ไหนจะร่างที่นอนหมดสติอยู่บนแคร่นั่นอีก ไม่รู้ว่าป่านนี้จะยังมีลมหายใจอยู่หรือไม่
"อาซูอี้ มาช่วยพ่อพาน้องเข้าบ้านก่อนเร็วเข้า"
พ่อเฒ่าฉือมองดูร่างที่นอนหมดสติด้วยความเวทนา ดูเอาเถิดว่าคนที่โชคร้ายกว่าเขาก็ยังมีอีกมาก เด็กสาวคนนี้แม้แต่ลมหายใจก็จะรักษาเอาไว้ไม่ได้
"เฮ้อ เอาเถอะ ถือว่าช่วยเอาบุญ"
เมิ่งซูอี้ถอนหายใจยาว ๆ แล้วมองตามแผ่นหลังของสตรีเพียงคนเดียวในกลุ่มคนที่กำลังเดินจากไป ก่อนจะเดินเข้าไปอุ้มเด็กสาวที่นอนไม่ได้สติอย่างระมัดระวัง รอยฟกช้ำกับบาดแผลเล็กใหญ่มากมายบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเด็กสาวคนนี้ต้องผ่านเรื่องเลวร้ายมาไม่น้อย เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อเธอฟื้นขึ้นมาแล้วจะมีนิสัยใจคอเป็นเช่นไร
เฮือก!
เจียงลี่จูสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยความรู้สึกที่หดหู่ ภาพในห้วงแห่งความฝันทุกอย่างยังคงฉายชัดอยู่ในโสตประสาทของเธอ แต่เหตุใดไม่รู้เหมือนกับว่าเธอได้เข้าไปอยู่ตรงนั้น ความเจ็บปวดที่เด็กสาวได้รับทำให้เธอน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
"ฮึก นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมใจร้ายขนาดนี้ ฮึก นี่มัน...."
หญิงสาวรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติในตอนที่เธอจะเอื้อมมือไปหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดน้ำตา แหวนหนึ่งวงพร้อมกับกระดาษหนึ่งใบถูกวางทิ้งไว้ที่โต๊ะข้างเตียงนอนพร้อมกับข้อความว่า...