บทนำ เราคือแพชชั่นวัน

3070 Words
บทนำ เราคือแพชชั่นวัน            บรรยากาศภายในห้องประชุมขององค์กรลับระดับ ชาติ "แพชชั่นวัน" เริ่มตกอยู่ในความตึงเครียด สาเหตุมาจากข้อมูลล่าสุดที่หน่วยข่าวกรองส่งมาให้ ในวันนี้แพชชั่นวันจึงเต็มไปด้วยบรรดาผู้เกี่ยวข้องที่มีความรู้ความสามารถในหลายสาขาอาชีพ ที่มารวมตัวกันในฐานะพันธมิตรร่วมอุดมการณ์ ซึ่งเป้าหมายหลักของพวกเขาคือ การรักษาความสงบและสันติสุขให้กับทุกชีวิตบนโลกใบนี้  พันโทเดวิด คาร์กเนอร์ นายทหารจากหน่วยรบพิเศษ หนึ่งในสมาชิกคนสำคัญของแพชชั่นวัน ต้องลอบถอนหายใจออกมาอยู่หลายครั้ง เมื่อบุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งยังคงไม่ปรากฏกาย และดูท่าว่าทุกคนในที่นี้จะรอเขาคนนั้นอยู่เพียงคนเดียว เนื่องจากต้องพึ่งพาข้อมูลที่จะนำมาใช้ในการประชุมวันนี้นั่นเอง ในชั่ววินาทีนั้นเอง บานประตูที่ควบคุมโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้สไลด์ออก ก่อนที่บุรุษเจ้าของความสูงเกือบร้อยเก้าสิบเซ็นติเมตรจะทำท่ากระหืดกระหอบเข้ามา ด้านใน พร้อมแฟ้มเอกสารอีกสองสามอันที่ชายหนุ่มหอบติดตัวเอามาด้วย ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมาทางเขาเป็นจุดเดียว ราวกับว่าการมาเยือนของเขานั้นเป็นเรื่องที่น่าแปลกประหลาด บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบราวโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ คาร์กเนอร์เหลือบดูนาฬิกาข้อมือ เขาอดที่จะคันปากไม่ได้ เพราะความที่ไม่ลงรอยกันอยู่ก่อนแล้ว จึงรีบเอ่ยออกมาเสียงเครียด ในขณะที่ ดร.นรบดี เชาวเตชินทร์ ด็อกเตอร์หนุ่มมากความสามารถวัยสามสิบต้น ๆ กำลังจะหย่อนกายนั่งลงตรงข้ามเขา "คุณมาสายไปสามสิบนาทีกับอีกห้าสิบเก้าวินาทีนะด็อกเตอร์" เมื่อถูกแขวะ นรบดีจึงปรายตาไปยังเจ้าของคำพูด ก่อนโต้กลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  "นั่นแหละที่ผมกำลังจะชี้แจง สิบนาทีแรกผมมัวเสียเวลาอยู่กับการหาที่จอดรถ อีกสิบนาทีผมลืมเอกสารเอาไว้ในรถ ต้องเดินย้อนกลับไปเอา ส่วนอีกสิบนาทีคือช่วงเวลาที่ผมกำลังเดินมายังห้องนี้ เพราะองค์กรของเราคุณก็รู้ว่ามันใหญ่โตแค่ไหน อีกห้าสิบเก้าวินาทีคือการกด รหัสผ่านด้านหน้าประตู และระบบใช้เวลาประมวลผลเพื่อถอดรหัสให้ผมเข้ามาด้านในนี้ได้ หวังว่าทุกคนคงจะเคลียร์นะครับ" ดร.หนุ่มผู้มีสายเลือดไทยอยู่ในตัวครึ่งหนึ่งร่ายยาวเป็นชุด หากแต่ครั้งนี้เขายอมรับว่าตนเองสายจริง เนื่องจากเมื่อคืนดื่มหนักไปนิดจนแทบคลานเข้าห้อง ก่อนถูกเรียกตัวมาประชุมด่วนโดยที่ยังไม่หายมึนด้วยซ้ำ วันนี้ใบหน้าหล่อเหลาแบบมีเอกลักษณ์ตามแบบฉบับหนุ่มเลือดผสมเลยดูซูบลงไป ท่าทีอิดโรยทำให้คาร์กเนอร์ถึงกับหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างรู้ทัน "นั่นแหละ มันคือความล้มเหลวในการจัดระเบียบของคุณ เพราะถ้าคุณรู้ว่าจะเสียเวลาขนาดนี้ ผมแนะนำว่าคราวต่อไปคุณเองต้องตื่นตัวให้มากกว่านี้ ระดับคุณคงคำนวนได้ไม่ยากหรอกจริงไหม" "มันก็จริง แต่ผู้พันอย่าลืมสิว่าวันนี้มันคือวันหยุด และทุกคนก็อยากหยุด แน่นอน ผมเองก็อยากหยุด และผมผิดตรงไหนที่จะไปดื่มฉลองส่งท้ายสัปดาห์ และเมื่อเช้ายังไม่ทันได้ลุกจากเตียงเสียงโทรศัพท์ก็ลากผมมาที่นี่" "เอาละ ๆ ผมว่าเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า เวลาของพวกเรามีค่าเสมอ" เควินรีบเอ่ยแทรกพลางยกมือขึ้นเป็นเชิงปราม เมื่อเห็นว่าทั้งสองเริ่มจะมีปากเสียงกันหนักขึ้น ตามสถานะนั้นเควินคือผู้บังคับบัญชาของ ดร.นรบดีโดยตรง และเป็นบุคคลสำคัญที่พัฒนาแพชชั่นวันจนเติบโตและมั่นคง ทำประโยชน์ให้แก่รัฐบาลสหรัฐฯมานับครั้งไม่ถ้วน "เดนนิส ผมหวังว่าข้อมูลที่คุณนำมาในวันนี้จะไม่ทำให้พวกเราซวยกันไปหมดนะ" เควินเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนเลิกคิ้วขึ้นคล้ายเป็นคำถาม เมื่อเห็นใบหน้าของด็อกเตอร์หนุ่มเริ่มส่อไปในทิศทางลมที่ไม่ดี เขาจึงพยายามสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้น ทุกคนต่างรู้ว่าคนอย่างนรบดีนั้นถ้าอารมณ์เสียขึ้นมาเมื่อไหร่เป็นได้พังกันทั้งห้องประชุม ด้วยรู้ในอิทธิฤทธิ์กันดี เพราะชายหนุ่มเคยปาแผ่นกระดาษใส่หน้าคาร์กเนอร์มาแล้ว จากการประชุมคราวก่อน น้อยคนที่จะได้รู้ว่าเบื้องหลังขององค์กรนี้มีเอาไว้ทำอะไร แพชชั่นวันคือการรวมตัวของภาครัฐและเอกชน ผนึกกำลังกันเพื่อหาทางป้องกันและปราบปรามผู้ก่อการร้าย ที่ตอนนี้ขยายเครือข่ายไปทั่วโลก และดูท่าว่าขบวนการที่ว่านี้จะมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากขึ้นเรื่อย ๆ ลักษณะการก่อการร้ายจึงเปลี่ยนไปไม่ซ้ำรูปแบบ แพชชั่นวันจึงต้องอาศัยบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถมาร่วมงาน เพื่อที่จะต่อกรกับเครือข่ายของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ ดร.นรบดีคือหนึ่งในบุคลากรระดับหัวกะทิ ซึ่งเชี่ยวชาญด้านเคมีที่องค์กรต้องพึ่งพิง ทั้งนี้มาจากความรู้ความสามารถของชายหนุ่มที่หาตัวจับได้ยากนั่นเอง สาเหตุที่ทุกคนต้องมาประชุมด่วนในวันนี้นั้น เนื่องจากมีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า ผู้ก่อการร้ายกำลังคิดค้นเครื่องมือบางอย่างเพื่อพัฒนารูปแบบการโจมตีให้แนบเนียนมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว เควินจึงเรียกทุกคนมาอย่างเร่งด่วน เพื่อรีบหายุทธวิธีป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้น และนี่เป็นอีกหนึ่งภารกิจลับที่พวกเขาต้องวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อยับยั้งการก่อโศกนาฏ กรรมที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ ซึ่งถ้าผู้ก่อการร้ายกระทำได้สำเร็จ ผลที่ตามมาคือความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินที่ไม่อาจเรียกกลับคืนมาได้... จากข้อมูลที่ได้รับ นรบดีนำมาโยงเข้าด้วยกันเพื่อหาเหตุผลรองรับ รายชื่อสารเคมีต้องสงสัยที่ถูกกว้านซื้อไปในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานั้น ทำให้เขาค่อนข้างแน่ใจว่ามันจะต้องเป็นอย่างที่ลางสังหรณ์ของเขาบอกอย่างแน่นอน “ด็อกเตอร์ คุณมีความเห็นว่าอย่างไร เกี่ยวกับข้อมูลที่เราได้มา” เควินหันมาเอ่ยถามนรบดีที่นั่งเคาะปากกากับโต๊ะ ทำราวกับว่าสิ่งที่ได้รับรู้มานั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าซีเรียส "เครื่องบิน!" จู่ ๆ นรบดีก็เอ่ยขึ้น น้ำเสียงตื่นเต้นที่ออกมาจากปากของด็อกเตอร์หนุ่ม ส่งผลให้ทุกคนต่างหันมาทางเขาด้วยความสนใจ เพราะหากเขาวิเคราะห์อะไรออกมาแล้วนั้น เหตุการณ์มักจะเป็นไปในทิศทางที่ชายหนุ่มได้ตั้งข้อสันนิษฐานเอาไว้เสมอ "ด็อกเตอร์ คุณกำลังจะบอกอะไร!"  "ผมคิดว่า...พวกเขากำลังวางแผนจะระเบิดเครื่องบินหลายสิบลำภายในเวลาไล่เลี่ยกัน!" “พระเจ้า! อะไรทำให้คุณคิดได้แบบนั้น มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยนะ อธิบายมาให้กระจ่างได้ไหมด็อกเตอร์” คาร์กเนอร์ดีดผึงนั่งตัวตรงเพื่อตั้งใจฟังทันที เมื่อได้รับรู้ข้อสันนิษฐานอันน่าตกใจที่ออกมาจากปากของนรบดี ถึงแม้การทำงานที่ผ่านมา เขาและนรบดีจะไม่ค่อยลงรอยกัน แต่ด้วยความที่เป็นมืออาชีพทั้งคู่ ทำให้ทั้งสองจับมือกันร่วมสานภารกิจที่ได้รับมอบหมาย จนกระทั่งสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีทุกครั้ง ซึ่งบุคคลที่ได้เข้ามาร่วมงานกับแพชชั่นวันนั้น ต้องถือได้ว่าต่างมีคุณภาพกันแทบทั้งสิ้น  “ผมเชื่อว่า สารเคมีเหล่านั้นจะถูกนำไปประยุกต์เพื่อใช้บนเครื่องบิน เพราะมันยากต่อการถูกตรวจพบด้วย” นรบดีอธิบายให้ผู้ร่วมประชุมได้รับทราบ ชายหนุ่มเปิดแฟ้มที่เตรียมมาด้วย ก่อนนำรายละเอียดในแฟ้มมาประกอบเข้ากับข้อมูลที่ได้รับ ทำให้ได้ข้อสันนิษฐานใหม่ ๆ ที่น่าตกใจยิ่งนัก “หลักการทำงานของมันเป็นอย่างไร” เควินเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง ซึ่งเขาเชื่อว่ามันต้องมีความเป็นไปได้สูง คนอย่างนรบดีหากไม่แน่ใจอะไร จะไม่พูดออกมาอย่างส่งเดชโดยเด็ดขาด เพราะมันจะนำมาซึ่งความแตกตื่นโกลาหล นิสัยด้านนี้เควินรู้ดี เนื่องจากทำงานด้วยกันมานาน “สารไนโตรกลีเซอรีนหากผสมกับกรดไนตริกและซัลฟิวริก มันก็คือระเบิดดี ๆ ที่เขาใช้ไประเบิดภูเขากัน หากพัฒนาต่อโดยผสมกับซิลิกา ก็จะได้สารที่ง่ายต่อการบรรจุ เนื่องจากจะกลายเป็นของเหลว ทีนี้ล่ะ ระเบิดเหลวก็จะกระจายไปทั่วทุกมุมโลก การทำงานของมันก็ง่ายมาก แค่อาศัยความร้อน ก็ระเบิดได้แล้ว" "ผมพอจะเข้าใจแล้วแล้วล่ะ หากนำมาบรรจุใส่ภาชนะที่เหมาะสม ก็จะง่ายต่อการนำติดตัวขึ้นเครื่องไปด้วย เพราะจะไม่มีใครสงสัย ว่าในขวดนั้นคืออะไร" คาร์กเนอร์ยกมือขึ้นลูบปลายคางไปมา เมื่อเขาคิดว่าเหตุผลของนรบดีนั้นมีความเป็นไปได้สูงทีเดียว “ผู้พันเข้าใจถูกต้องแล้ว แค่นำมาใส่บรรจุภัณฑ์ให้แลดูคล้ายเครื่องดื่ม หรือของทานได้ แค่นี้ก็ยากต่อการถูกตรวจพบแล้ว ลองมาคิดดูเล่นๆ หากผู้ก่อการร้ายนำขึ้นเครื่องไปได้ จะเกิดอะไรขึ้นตามมา ผมคิดว่าเราน่าจะรีบเตือนทุกประเทศทั่วโลกให้เตรียมหามาตรการป้องกันเอาไว้" "นั่นน่ะสิ ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เลยนะนี่" หนึ่งในผู้ร่วมประชุมอีกคนเอ่ยขึ้น หลังจากที่นิ่งฟังอยู่นาน  "ยังมีอีกตัวหนึ่ง เราต้องระวังเอาไว้ด้วย นั่นคือ ไตรอะซีโตนไตรเพอร็อกไซด์ มีลักษณะเป็นผลึกสีขาว ตัวนี้จะไวต่อความร้อนมาก และไวต่อการสั่นสะเทือน การเสียดสี หรือการกระแทก" "แบบนี้ก็จะสามารถพกพาไปในรูปแบบผงก็ได้อย่างนั้นสิ" คาร์กเนอร์เอ่ยแทรกขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่นิ่งฟัง ด็อกเตอร์หนุ่มอธิบายอย่างตั้งใจ "ทำนองนั้น ที่สำคัญ อานุภาพของสารนี้ แค่เพียงไม่กี่กรัม ก็สามารถสลายตัวให้ก๊าซหลายพันลิตรได้ภายในเสี้ยววินาที แม้มีความร้อนเกิดขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เกิดแรงดันอย่างมากมายมหาศาล" นรบดียังคงอธิบายหลักการทำงานของสารตั้งต้นชนิดต่าง ๆ ให้ผู้ร่วมประชุมได้รับทราบ ซึ่งแต่ละชนิดต่างตกอยู่ในรายชื่อสารเคมีต้องสงสัยแทบทั้งสิ้น เนื่องจากหาซื้อได้ง่าย เหตุนี้ ชายหนุ่มจึงพุ่งเป้าไปที่ประเด็นเดียว นั่นก็คือ การนำไปใช้เป็นเครื่องมือก่อโศกนาฏกรรมครั้งรุนแรง “เราคงต้องเข้มงวดอะไรที่เป็นผงด้วย อาจจะเป็นนมผง ก็ห้ามนำขึ้นเครื่อง" นรบดีสรุปทิ้งท้าย แม้จะเสี่ยงต่อการถูกประชาชนรุมด่า ว่ารัฐบาลเรื่องมาก แต่ชายหนุ่มก็คิดว่า ด้วยสถานการณ์ยามนี้ หากจำเป็นก็ต้องทำ "อย่างนี้ก็ใช้หลักการระเบิดพลีชีพใช่ไหม" เควินเอ่ยออกมา หากเป็นเช่นนั้นจริง โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นตามมา และดูเหมือนว่าจะเลวร้ายยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ผู้ก่อการร้ายยอมที่จะพลีชีพของตนเพียงหนึ่ง แลกกับความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์ที่ประเมินค่ามิได้ "ใช่ครับ คุณต้องรีบประกาศเตือนให้สนามบินทุกแห่งเข้มงวดเรื่องการนำของเหลวขึ้นเครื่องบิน หากมีระเบิดเล็ดรอดขึ้นเครื่องไปได้ มันจะเป็นเหมือนวัวหายล้อมคอก" นรบดียกสุภาษิตไทยขึ้นมาอ้างให้ผู้ร่วมประชุมได้รับทราบ และดูเหมือนว่าทุกคนในที่นี้จะเข้าใจความหมายของมันดี เพราะมักจะเป็นเช่นนี้ในการประชุมแทบทุกครั้ง แม้ในวันนี้เขาจะได้ร่วมงานกับชาวต่างชาติมากหน้าหลายตา การสนทนาส่วนใหญ่ใช้แต่ภาษาอังกฤษ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ลืมความเป็นไทยที่มารดาได้พร่ำสอนมาตลอดนับตั้งแต่เขาและมารดาถูกทิ้งไป จนกระทั่งมันซึมซับเข้าไปในสายเลือดจนแยกไม่ออกเสียแล้ว  หากสืบสาวไปให้ลึก จะได้รู้ว่าแท้จริงแล้วด็อกเตอร์ผู้แสนชาญฉลาด และมีความเก่งกาจสามารถรอบด้านนั้นจะเป็นคนมีปมชีวิต เนื่องจากความทรงจำในวัยเด็กคือ บิดาชาวอเมริกันได้ทิ้งเขาไว้ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ มีเพียงมารดาของเขาเลี้ยงดูมาเพียงลำพัง ท่านสู้ชีวิตจนกระทั่งได้ดิบได้ดี มีฟาร์มโคนมและบริษัทส่งออกน้ำนมวัวเป็นของตนเองอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ถึงแม้วันนี้ชายหนุ่มจะมีหน้าที่การงานมั่นคง ได้รับค่าตอบแทนสูงลิบลิ่ว แต่ก็ไม่เคยลืมว่าครั้งหนึ่งเขากับมารดาเคยตกสู่จุดต่ำสุดของชีวิตมาแล้ว ชายหนุ่มเลยประกาศเอาไว้ว่า หากชาตินี้เขากับบิดามีอันต้องได้โคจรมาพบกันอีก ก็จะถือว่าบุคคลผู้นั้นเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักกัน แม้มารดาจะพูดกรอกหูมาโดยตลอด ว่าบิดาของเขานั้นเป็นคนรักครอบครัว ทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวสุขสบาย ที่ท่านทั้งสองแยกทางกันเพราะมีมุมมองที่ต่างกัน เลยจำเป็นต้องเดินคนละเส้นทางเพื่อตามหาความฝันของตนเอง และเขายังได้เลือดทระนงมาจากบิดาแบบเต็มตัวอีกด้วย แต่ถึงอย่างไรนรบดีก็ไม่มีวันที่จะมองภาพบิดาในด้านดีไปได้ เพราะเขาไม่เคยได้สัมผัสกับความรักในแบบพ่อกับลูกเลยสักครั้ง ไม่เคยได้สัมผัสว่าการอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ที่เรียกกันว่าครอบครัวนั้นเป็นอย่างไร การที่มารดาพยายามบอกว่าบิดาของเขารักครอบครัวนั้น มันจึงขัดแย้งอยู่ในใจของชายหนุ่มตลอดมา จนเกิดอคติฝังรากลึกอยู่ในใจ ตอกย้ำในความคิดว่าตนไม่มีพ่อ มีเพียงความรักจากมารดาเท่านั้น ที่คอยมีให้กันเสมอมา "ผมเห็นด้วย ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถรู้ได้ ว่าพวกเขานำสารเหล่านั้นไปกระทำอย่างที่ด็อกเตอร์สันนิษฐานเอาไว้หรือเปล่า แต่เราต้องรีบป้องกันเอาไว้ ก่อนจะสายเกินแก้ แค่ยอมให้ผู้โดยสารเสียเวลามากขึ้นอีกนิด ดีกว่าเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน” คาร์กเนอร์สนับสนุนความคิดของนรบดี ชายหนุ่มจึงส่งยิ้มเล็ก ๆ ไปให้คาร์กเนอร์ เมื่อวันนี้การประชุมเป็นไปด้วยดี ทุกคนต่างมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน "เอาละ ผมจะทำรายงานไปยังทุกภาคส่วนที่เกี่ยว ข้อง เพื่อกระจายข่าวนี้ออกไป" เควินสรุปหัวข้อของการประชุมในวันนี้ ก่อนมอบ หมายหน้าที่ให้แต่ละคนไปดำเนินการตามที่ตนรับผิดชอบ นรบดีเผยรอยยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี เพราะอย่างน้อย ความคิดของเขาก็ถูกนำไปต่อยอด เพื่อช่วยรักษาชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทั่วทุกมุมโลกเอาไว้ ถึงแม้จะเป็นการปิดทองหลังพระก็ตามที แต่ชีวิตสายลับเช่นเขา การอยู่ในที่มืด ก็ถือว่าเหมาะสมสำหรับเขาที่สุดแล้ว “เดนนิส ผมมีงานจะให้คุณทำอีกชิ้นหนึ่ง คิดว่าคงไม่ยากเกินความสามารถของคุณมากนัก” จู่ ๆ เควินก็เอ่ยขึ้น เหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้  นรบดีปิดแฟ้มลง พลางหันไปมองใบหน้าของผู้บังคับบัญชาด้วยความสนใจ “ว่ามาเลยครับ ถ้าเป็นการช่วยเหลือสังคม ผมยินดีเสมอ”          “ผมได้รับเรื่องมาว่า ตอนนี้ผู้ก่อการร้ายเริ่มพุ่งเป้าหมายไปที่หลายประเทศในแถบเอเซีย โดยมีการดึงประชาชนเข้าเป็นพวก อาศัยหลักจิตวิทยาโน้มน้าว แฝงตัวเข้าไปหลากหลายรูปแบบ ส่วนใหญ่จะไปในคราบนักธุรกิจ ผมรู้มาว่ามีองค์กรหนึ่งที่ตั้งอยู่ในประเทศแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังเจริญเติบโต มีหัวหน้าองค์กรชื่อมิสเตอร์เหวินซาน และที่สำคัญ พวกเขายังใช้เป็นศูนย์ กลางการบัญชาการไปทั่วโลก ถือว่าเป็นภัยอย่างใหญ่หลวงเชียวแหละ” เควินเผยข้อมูลในผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับทราบ ก่อนถอนหายใจออกมาด้วยความเคร่งเครียด เนื่องจากเขากำลังคิดว่า เรื่องเก่ายังไม่ทันเคลียร์ ก็มีเรื่องใหม่ ๆ เกิดขึ้นให้ต้องตามแก้อยู่เสมอ "ศูนย์บัญชาการหรือครับ ฟังดูน่าสนใจดี" นรบดีเอนกายพิงพนักเก้าอี้เอาไว้ ข้อมูลใหม่ที่ได้รับรู้ ทำให้ชายหนุ่มเกิดความสนใจขึ้นมาทันที ดูท่าว่าสาย เลือดนักสืบที่มีอยู่อย่างเข้มข้นจะเริ่มทำงานเสียแล้ว "ผมอยากให้คุณแฝงตัวเข้าไปที่นั่น และเราต้องเข้าไปอย่างแนบเนียนที่สุด แม้มันจะต้องใช้เวลาก็ตามที แต่เราก็จำเป็นต้องทำ แพชชั่นวันจะมีงบสนับสนุนให้คุณ เพื่อเข้าไปสืบหาข้อมูลของผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาให้ได้ เรื่องนี้เราต้องปิดเป็นความลับ จะให้รัฐบาลรู้ไม่ได้ ไม่ว่าจะประเทศไหนก็ตามที เพราะจะกระทบกับความปลอดภัยของคุณด้วย" “หมายความว่า ผมต้องเข้าไปในคราบนักธุรกิจเหมือนกันใช่ไหม” “คุณเข้าใจถูกต้องแล้ว ในฐานะที่คุณถนัดเรื่องฟาร์มโคนม ผมจะให้คุณเปิดฟาร์มโคนมบังหน้าก็แล้วกัน อาจมีการสร้างสนามกอล์ฟระดับมาตรฐานขึ้นมาอีกสักแห่ง พอไหวไหม คุณด็อกเตอร์นักบริหาร” ประโยคท้ายเควินกล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แต่เขาคิดว่า ถึงอย่างไรงานชิ้นนี้ก็ไม่ยากเกินความ สามารถของนรบดีเท่าไหร่นัก "สบายมากครับท่าน" "เอาเป็นว่า คุณไปศึกษาข้อมูลเรื่องที่ดินที่เราจะสร้างฟาร์มกันมาก่อน สืบหาที่ดินที่เหมาะสมเพื่อติดต่อขอซื้อ ค่าใช้จ่ายคุณดำเนินการกับฝ่ายบัญชีของเราได้เลย" “แล้วผมต้องไปที่ไหน” “ประเทศไทย!”    
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD