ฟังแล้วกูจะร้องไห้ ไม่ใช่ซึ้งหรืออะไรหรอกนะ แต่คนที่เดินผ่านไปผ่านมารวมถึงคนที่นั่งกินข้าวกันอยู่ต่างพากันหันมามองผมเป็นตาเดียว
หน้าด้านยังไงกูก็เขินเป็นนะโว้ย
ผมรีบตักข้าวเข้าปากเร็ว ๆ จะได้ไปจากตรงนี้เสียที ทว่าพวกเพื่อนกลับเคลิ้มไปกับเสียงเพลงเพราะ ๆ ที่พวกมันเป็นคนพิมพ์เสนอเข้าไป โดยที่ไม่ตักข้าวกินสักคำ
“กินสิโว้ย”
ขนาดผมตะโกนกรอกหูคนที่เอาแต่ร้องเพลงตามอย่างไอ้เอ็ม มันก็ไม่ได้สะทกสะท้านแต่อย่างใด ยังคงร้องตามโดยที่มีเสียงเคาะโต๊ะจากไอ้คุณ
เห็นแบบนี้แล้วกูกลุ้ม! ยกมือขึ้นกุมขมับอย่างเหนื่อยใจ กระทั่งเพลงจบลง พวกมันถึงได้กลับมาเป็นปกติ!
“พวกกูอุตส่าห์ช่วยให้พริกรู้ว่ามึงยังคิดถึงอยู่เสมอ แทนที่จะขอบคุณเสือกตาขวาง ไอ้เวร” หมอกส่ายหน้าคล้ายกับระอา ท่าทางแบบนั้นผมควรเป็นผู้ทำหรือเปล่า
“มึงไม่แสดงออกให้พริกรู้เลยว่ามึงเสียใจที่เลิกกับเขา” คุณพูดต่อ
“แล้วเขาจะรู้กับมึงหรือไง แบบนี้เขาถึงไม่กลับมาหามึงเลย” แล้วต่อด้วยเอ็ม
“กูก็ไม่ได้อยากให้กลับมานิ เลิกก็เลิกไปดิ” ผมยกไหล่ขึ้นสูงราวกับไม่แคร์อะไรทั้งนั้น แต่หัวใจกลับเต้นแรงราวกับต้องการประท้วงว่าคำพูดของผมมันสวนทางกับความรู้สึก
“หรา” เสียงลากยาวของพวกมันที่ประสานกันดังลั่นอย่างน่าหมั่นไส้เรียกสายตาจากคนรอบข้างให้หันมามองทางผม
จังหวะนั้นผมจึงถอนหายใจออกมาพรืดยาวแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หากยังอยู่ตรงนี้ก็จะถูกมองไม่เลิก ทว่ากลับมาคนมายืนขวางผมไว้ไม่ให้ขยับไปทางไหน
“มึงคิดว่าพริกอยากรู้หรือไงว่ามึงมีแฟนใหม่หรือไม่มี” คิ้วของมันยกขึ้นสูงอย่างยียวน
ผมหรี่ตามองคนตรงหน้าแล้วเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม บุคลิกและการแต่งกายของมันก็ดูดี ทว่าสิ่งที่ผมได้รับรู้มามันไม่ได้ดีแบบนี้เลยสักนิด
“ก็ไม่แน่” ผมแสยะยิ้มให้นักศึกษาแพทย์ที่กำลังจะมีสถานะเป็นแฟนใหม่ของดีเจสาวที่กำลังพูดเสียงหวานอยู่ในตอนนี้
“บางทีพริกอาจจะอยากรู้แต่ไม่แสดงออกก็ได้” ผมปลุกความเดือดดาลของอีกฝ่ายโดยที่ไม่ได้เกรงกลัวเลยสักนิด
“ยังไงพริกก็ไม่กลับไปเอามึง”
มุมปากของผมยกขึ้น รอยยิ้มเยาะเย้ยของผมทำให้คนตรงหน้าไม่มีความมั่นใจอย่างคำพูดที่เอ่ยออกมา แววตาของมันสั่นระริก
ผมตบบ่าไอ้นายแล้วเดินออกจากโรงอาหารไป
ฟู่วววว พ่นลมออกจากปากทันทีที่พ้นสายตาของพวกนั้น ไม่อยากให้มันเห็นว่าตัวผมเองก็ไม่ได้มีความมั่นใจอะไรเลย
“ไม่ลองคุยกับพริกดูวะ” ไอ้หมอกเอ่ยออกมา มันถือแก้วที่ยังมีน้ำอยู่เต็มแก้วออกมาด้วย แล้วยกขึ้นดูดอย่างกระหาย
“มีไรให้คุย”
“อ้าว ที่มึงไปตามสืบเรื่องไอ้นายนี่มึงแค่อยากรู้เฉย ๆ เหรอวะ” เอ็มถามด้วยความแปลกใจ
“อือ ให้พริกไปรู้ด้วยตัวเอง กูไม่เกี่ยว”
“มึงไม่ห่วงพริก?” คุณเลิกคิ้วขึ้นถาม ผมก็เลยหยักหน้าส่ง ๆ เป็นคำตอบ
“พริกเลือกที่จะเดินทางนั้นเอง” ผมเอ่ยเสียงเรียบ แหงนมองลำโพงที่ติดอยู่มุมตึก เสียงของพริกยังคงดังอย่างต่อเนื่อง…
แม้ปากจะพร่ำบอกใครต่อใครว่าไม่ได้คิดจะง้อกลับมา ทว่าสมองและหัวใจกลับตรงกันข้ามกับคำพูดเหล่านั้น
จนในที่สุด ผมก็ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ…
ผมพาตัวเองมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าตึกคณะนิเทศซึ่งเป็นอาคารเรียนของพริก ถ้าจำไม่ผิดอีกประมาณครึ่งชั่วโมงคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนเก่าก็จะเลิกเรียนแล้ว
หลายคนมองผมด้วยความสงสัย…
“มาทำไม” รวมถึงนักศึกษาปีสามที่อยู่ในชุดเสื้อสีขาวสะอาดและกระโปรงทรงเอ ทั้งชุดรัดรูปเสียจนกังวลว่าจะปริขาด
สายตาคู่คมของผมไล่มองเธอตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าแล้วส่ายหน้าอย่างระอา พร้อมทั้งถอนหายใจออกมาหนัก ๆ ให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าผมไม่พอใจในการแต่งตัวของเธอ
“ถามว่ามาทำไม หูตึงเหรอ” น้ำเสียงหวานของคนถามค่อนไปทางหงุดหงิด อาจจะหงุดหงิดกับสายตาที่ไล่มองเธอมากกว่าการที่ผมมาที่นี่
ผมดึงสายตาตัวเองกลับมาที่ใบหน้าสวย แก้มป่องของเธอมีสีชมพูประกายวิงค์ในยามที่แสงส่อง ริมฝีปากกระจับแต่งแต้มสีชมพู และดวงตากลมโตก็มีคอนแทคเลนส์อยู่
เธอยังเหมือนเดิม…
สวยเหมือนเดิม…
“ถามเนี่ย” ดวงตาคู่โตถลึงใส่ผม น้ำเสียงยิ่งบ่งชัดถึงระดับความหงุดหงิดที่เพิ่มมากขึ้น
“เกี่ยวไรกับเตงล่ะ”
ผมแอบขำในใจและแสดงสีหน้านิ่งเรียบใส่อีกฝ่าย เธอง้างมือขึ้นคล้ายกับอยากจะฟาดลงที่หลังของผมจนแอ่น
คำพูดกวนตีนของผมทำให้พริกรู้สึกได้ว่าตัวเองหน้าแตกชนิดที่หมอน่าจะไม่รับเย็บ
“เตงบ้านแกสิ” พริกสะบัดผมสลวยที่ดัดลอนใส่ผม ก่อนที่ขาเรียวจะก้าวฉับ ๆ ไปทางรถที่จอดอยู่ด้านข้างอาคาร
“ว่าที่แฟนไม่มารับหรือไง”
“มีรถย่ะ”
“ตอบไม่ตรงคำถามอะ” ผมรีบวิ่งไปดักหน้าเธอไว้ คนตัวเล็กมุ่ยหน้าแล้วจ้องผมด้วยสายตาเชือดเฉือน
“ไปให้พ้น!”
“ไปกับเตงได้ป้ะ”
“โอ๊ค!”
“เรียกเตงเหมือนเดิมดิ”
“ไม่!”
“ทำไม?”
“จะอ้วก!”
“เตงเป็นคนบอกให้เราเรียกแทนกันว่าเค้าเตงเองนะ จะมาอ้วกอะไร”
พริกกลอกตาไปมาแล้วยกมือข้างซ้ายขึ้นเท้าเอว
“ใจเย็นดิวะ คุณหนูขี้วีนนะเราอะ” ผมสะกิดปลายคางมนของคนตรงหน้า ซึ่งเธอก็รีบปัดออกด้วยความรังเกียจ!
ผมก็เลยพูดระโยคที่ทำให้พริกเบิกตาโตแล้วหยุดยืนนิ่งราวกับถูกสาปไว้
“คิดถึงเลยมาเจอหน้า”
ผมไม่รู้ว่าตอนนี้พริกจะรู้สึกยังไง ผมรู้แค่ว่าหัวใจตัวเองมันพองโตที่ได้พูดในสิ่งที่อยากพูดมาตลอดหลายเดือน
ตั้งแต่ที่เราเลิกกัน ไม่มีวันไหนที่ไม่คิด…
“ไปกินข้าวกันไหม”
“ไม่” พริกตอบกลับทันทีแบบไม่ใช้ความคิดเลยสักวินาทีเดียว เธอเดินผ่านผมไปที่รถของตัวเอง
ผมได้แต่ชั่งใจคิดว่าจะเอายังไงต่อ จะเดินตามไปหรือจะหยุดยืนนิ่ง อยู่ตรงนี้
สุดท้ายแล้วก็เดินเข้าไปหาแล้วเอามือดึงประตูไว้ไม่ให้เธอปิด
“ขับรถดี ๆ นะเตง”
“เออ!”
“เตงไม่อ่อนโยนเลยอะ”
“เราเลิกกันแล้วนะโอ๊ค” พริกพูดด้วยน้ำเสียงที่คล้ายจะเหนื่อยใจกับการกระทำของผม ดวงตาคู่คมจึงมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยของคนที่นั่งอยู่ภายในรถ
“เลิกแล้วเป็นห่วงไม่ได้หรือไง?”
“…”
“เลิกแล้วคิดถึงไม่ได้ มาเจอหน้าไม่ได้ ใครจะไปใจแข็งได้เท่าเตง บอกเลิกแล้วตัดขาด ใจดำ!” ผมปิดประตูดังปึงแล้วหมุนตัวหันหลังให้ ริมฝีปากคลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ เพราะรู้ดีว่าพริกจะต้องรู้สึกอะไรกับคำพูดตัดพ้อและต่อว่าของผมอย่างแน่นอน
แต่มันดันผิดจากที่คิดไปมาก
เธอไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือรู้สึกผิดเลยสักนิด
“โอ๊ค! ปิดประตูแรงขนาดนี้มือหรือเท้า อยากรุนแรงก็ไปใช้กับรถตัวเองดิ” มีแต่ความโมโหซะงั้น
ผมหันไปยิ้มแห้งแล้วเกาท้ายทอยแกรก ๆ ด้วยความกระดากเขิน นักศึกษาที่อยู่แถวนี้ต่างพากันมองเป็นตาเดียว
“อย่าโวยดิเตง”
“ทำไมจะโวยไม่ได้ ก็โอ๊คปิดประตูโคตรแรง มันไม่…”
“คนอื่นเขาจะคิดว่าผัวเมียทะเลาะกัน” ผมรีบพูดแทรกก่อนที่พริกจะพูดจบประโยค พลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อให้พริกมองตาม
เมื่อเธอเห็นสายตาของคนอื่น ๆ แล้ว เธอก็รีบเข้าไปนั่งในรถอย่างเดิม แต่ก็ไม่วายที่จะลดกระจกลงแล้วถลึงตาดุใส่ผม
“ขับรถดี ๆ นะครับเตง”