CHAPTER 2
ห้างสรรพสินค้า
“บังเอิญจังเลยครับเตง”
คนที่ผมโผล่หน้าไปทักเบิกตาโตจนแทบถลน โบโลน่าพริกที่อยู่ในมือเล็กเกือบหลุดร่วงลงรถเข็นที่เจ้าตัวใช้แขนเท้าไว้อยู่
“โรคจิตปะเนี่ยโอ๊ค”
“โรคจิตไรวะ เห็นเดินเหงา ๆ คนเดียวก็เลยมาเดินเป็นเพื่อนเหอะ” อุตส่าห์มาช่วยเข็นรถและเลือกของยังจะมาต่อว่ากันอีก
“ก็นายสะกดรอยตามมาอะ”
“ตลกละ ไปสะกดรอยตามคนสวย ๆ ไม่ดีกว่าเหรอ”
คราวนี้ใบหน้าสวยแสดงความโกรธขึ้นมาทันที เรื่องความสวยนี่ยอมได้ที่ไหนกัน
“แต่คนนี้เค้ารักงายยยย” ผมต้องรีบพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส ก่อนที่ความหายนะจะมาเยือน เธอเลื่อนมือมาจับที่จับเพื่อที่จะเข็นหนี แต่ผมก็เบียดจนคนตัวเล็กเซเล็กน้อยแล้วก็เป็นฝ่ายจับไว้แทน
“โอ๊ค” พริกเอ่ยเสียงเรียบที่คล้ายกับจะอ้อนวอนขอให้ผมช่วยไปให้พ้นหูพ้นตาสักที แต่เรื่องอะไรที่ผมจะยอมไปง่าย ๆ
“อะไรพริก” ผมถามหน้าตาเฉย เธอจึงมองบนแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยังไม่ทันได้พูดต่อว่าอะไร ผมก็รีบแทรก “โบโลน่าเตงกินวันไหน แพ็กนี้ใกล้หมดอายุแล้วนะ”
“กินวันนี้”
“เตงจะทำไรกิน เค้ากินด้วยได้ไหม”
“จะเอาไปฉีกผสมข้าวหมา ถ้าไม่ถือสาก็เชิญไปกิน”
“ตลกละเตง เตงจะบอกว่าเตงเป็นหมาเหรอ”
“โอ๊ค!”
“ก็นี่มันโบโลน่าพริก หมาบ้านเตงกินเผ็ดหรือไง”
คราวนี้พริกถึงปิดปากตัวเองสนิท ไม่มีคำเถียงหลุดรอดออกมา คิดจะกวนผมแต่ไม่ได้ดูเลยว่าตัวเองหยิบอะไรไว้ ฮึ!
“เอาแฮมป้ะ เตงชอบกินนิ”
“ถามจริง”
“อะไร?”
“มาวุ่นวายกันอีกทำไม เรื่องของเรามันจบไปตั้งนานแล้ว”
“ที่ตอนแรกยอมจบก็เพราะคิดว่าเตงจะไปได้ดี แต่พอรู้ว่าเตงจะดิ่งลงเหว เค้าก็เลยกลับเข้ามา” ผมพูดไปตามความจริง หากพริกมีแฟนใหม่ที่ดี ที่รักพริกจริงและพร้อมจะดูแลพริกได้ ผมก็ยินดีที่จะปล่อยเธอไป
แต่ในเมื่อมันไม่ใช่แบบนั้น ผมก็มาขอคนของผมคืน
“ดิ่งบ้าบอ”
“เตงกินยี่ห้อไหนวะ” ผมเอาให้พริกดูสองห่อ เพราะสีของถุงที่ใส่นั้นคล้ายคลึงกันจนไม่แน่ใจ
“อันนี้” เธอชี้บอกผมจึงวางใส่ในรถเข็น “ที่พูดมาเมื่อกี้หมายถึงอะไร ดิ่งลงเหวคือ?”
“ไม่บอก” ผมยกไหล่ขึ้นสูงแล้วเข็นรถเข็นนำหน้าเธอออกมา เพื่อให้จบเรื่องที่เราพูดคุยกันอยู่
พริกรีบสาวเท้าก้าวตามมาให้ทัน เธอคว้าด้านหน้าของรถเข็นแล้วดึงให้เลี้ยวไปอีกทาง ซึ่งเป็นโซนของพวกแยมต่าง ๆ
“ทำไมพริกถึงมาเลือกซื้อของพวกนี้ล่ะ” คำถามของผมทำให้คนที่กำลังเอื้อมหยิบแยมส้มที่อยู่ชั้นบนสุดต้องชะงัก ก่อนจะหันมามองหน้าผมแวบหนึ่งแล้วหันกลับไปหยิบมาได้สำเร็จ
“พริกกลับมาอยู่คอนโดแล้วเหรอ”
“พูดเรื่องนี้ก็ดี…ขอคีย์การ์ดคืนหน่อย” ดูจากสายตาของคนพูดแล้ว ผมไม่มั่นใจว่าตอนนี้เธอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่จากน้ำเสียงก็ไม่ได้หนักแน่นสักเท่าไหร่
ผมจึงลองใจด้วยการหยิบออกจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ เจ้าของคีย์การ์ดมองด้วยแววตาประหลาดใจ คงสงสัยว่าทำไมผมถึงคืนให้อย่างง่ายดายขนาดนี้
ดวงตาคู่โตค่อย ๆ ช้อนขึ้นสบตากับผม สายตาของเธอมีคำถามซ่อนอยู่ แต่ริมฝีปากกลับไม่ปริถามออกมา และเมื่อมือเล็กยื่นมาจะรับคืนไป ข้อมือของผมก็บิดไปอีกทางทันที
“โอ๊ค!”
“ไม่คืนครับ” ผมตอบแล้วคลี่ยิ้มกว้างจนตาหยี และคนตรงหน้าก็พยายามกลั้นยิ้มเอาไว้ แสดงความไม่พอใจออกมาแทน แต่ดูยังไงก็ไม่ได้น่ากลัวเหมือนทุกที
ผมเองก็อยากถาม ‘ไม่อยากให้เค้าคืนใช่ไหมล่ะ’ แต่ก็ไม่ถาม เนื่องจากว่ากลัวเธอจะเอาคืนขึ้นมาจริง ๆ
“ไม่ได้กลับไปอยู่คอนโด” พริกพูดเสียงเบา เธอไล่สายตามองหาสิ่งที่ตัวเองต้องการเพิ่มเติมแล้วหยิบใส่รถเข็น ก่อนจะหันมาพูดเสียงเข้ม “ไม่ต้องไปล่ะ”
“ก็ไม่ได้คิดจะไปเหอะ” ยังไม่ได้พูดสักคำว่าจะไป คิดเองทั้งนั้น!
คนหน้าแตกมองหน้าผมด้วยแววตาว่างเปล่า เธอคงเหนื่อยที่จะต้องคิดคำมาเถียงกับผมให้ชนะ จึงเลือกที่จะส่งสายตาแบบนี้มาให้ และแน่นอนว่าผมก็จะต้องหยุดกวน แววตาแบบนี้น่ากลัวกว่าแววตาตอนโกรธเสียอีก
Rrrrr
เสียงเรียกเข้าดังขึ้นมา ผมจึงเอาออกมาดูและพบว่าเป็นเบอร์แปลก กดรับสายทันที
“(สวัสดีครับ ลงโปรแกรมเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ)”
“โอเคครับ อีกสักพักจะไปรับนะครับ”
“(ได้ครับ สวัสดีครับ)”
“จะไปรับใครก็ไปเหอะ” เสียงหวานดังขึ้นมาทันทีที่ผมเก็บสมาร์ตโฟนไว้ในกระเป๋ากางเกง
มุมปากพลันยกยิ้มทันทีที่ได้ฟัง คนที่เดินอยู่ด้านหน้าหันกลับมามองเนื่องจากผมไม่ได้พูดอะไรกลับไป
“ไปสิ” สายตาของเธอเสมองไปทางอื่นเมื่อพูดจบ
“เอาจริงป้ะ คำพูดของเตงเหมือนประชดอะ คิดไรกับเค้าอยู่ปะเนี่ย” ผมโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ อีกฝ่ายผวาหลบด้วยความตกใจ
“ประชดเพื่อ? เราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว จะไปไหนก็ไปไป๊” เธอโบกมือไล่ ก่อนจะผลักผมแล้วก็เข้ามาเข็นรถแทน
“ที่ย้ำว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วนี่…ย้ำเค้า หรือว่าย้ำตัวเองอะ เตือนตัวเองว่าต้องหักห้ามใจไรงี้” ถึงแม้ผมจะไม่ได้เข็นรถให้ แต่ผมก็เดินข้าง ๆ ไปกับเธอ