“ผมบอกแล้วไงพบขวัญว่าผมมาที่นี่ไม่ได้มาเพื่อฟังคุณพล่ามเรื่องรักใคร่ ไร้สาระ คุณบอกมาคำเดียวว่าจะเลิกยุ่งกับเจตนิพัทธ์ได้ไหม เพราะถ้าคำตอบคุณคือยังไม่ตกลงผมก็จะได้บอกลูกน้องให้จัดการส่งของขวัญมาให้คุณดูเล่นๆชิ้นหนึ่งก่อน หูซ้าย หูขวา หรือว่าไอ้ตรงนั้นดีนะ”
พบขวัญกัดริมฝีปากแน่น เป็นห่วงเจตนิพัทธ์และตัวเองขึ้นมาครามครัน เธอกลัวจะไม่ได้กลับไปพบลูกอีก “ฉันเลิกยุ่งเกี่ยวกับเขาก็ได้ คุณเองก็ต้องห้ามทำอะไรเขาเด็ดขาด”
โดมินิกกระตุกยิ้มพอใจ “ก็แค่นี้”
ตอนนี้นอกจากแผนการส่งตัวเจตนิพัทธ์ไปให้วิโอเล็ตแล้ว เขายังมีแผนการใหม่ผุดขึ้นมาคือเขาชักอยากต้อนคนตรงหน้าขึ้นเตียงกับเขาอีกสักครั้งดูสิว่าเขามันแพ้ไอ้บ้านั่นตรงไหน เขาไม่สนหรอกว่าเธอจะผ่านใครมาบ้าง เขาอยากลิ้มรสความหวานละมุนอีกสักครั้ง อยากรู้ว่าเธอยังร้อนแรงเหมือนเมื่อครั้งนั้นหรือไม่
“แล้วผมจะเชื่อได้ยังไง เผื่อพวกคุณแอบติดต่อกันอีกล่ะ” เขาขยับตัวเข้าไปนั่งเบียดอย่างจงใจแต่พบขวัญก็รีบขยับตัวถอยหนีอย่างรวดเร็ว สร้างความขบขันให้โดมินิก
“ฉันสัญญาด้วยเกียรติของฉัน และคุณต้องให้ฉันคุยกับเขาเพื่อเป็นการยืนยันว่าคุณปล่อยตัวเขาแล้ว”
ร่างกำยำของโดมินิกลุกพรวดขึ้นทันทีด้วยความไม่พอใจ “ไม่ ผมไม่ได้บอกว่าจะปล่อยเขา แต่ผมจะส่งเขาไปหาวิโอเล็ตที่แอลเอ และผมจะให้คุณคุยกับเขาก็ต่อเมื่อเขาเข้าพิธีแต่งงานกับวิโอเล็ตเรียบร้อยแล้ว”
“ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณคิดว่าวิธีนี้มันจะได้ผล บังคับฝืนใจให้มีการแต่งงานเกิดขึ้น คุณมันเป็นคนโรคจิต” พบขวัญต่อว่าอย่างหัวเสีย
“ผมไม่สน แค่คุณตกลงว่าจะไม่ติดต่อกับเจตนิพัทธ์อีกก็พอ ผมจะไม่ทำอะไรเขา เรื่องหลังจากนั้นผมจะจัดการเอง หมดหน้าที่ของคุณแล้ว”
“คุณเฮลตัน”
“เรียกผมว่าโดมินิกดีกว่าอย่างน้อยก็คนเคยแนบสนิท” เขาบอกอย่างยียวนตามเคย จนพบขวัญเม้มปากแน่น
‘ไอ้โรคจิต’ พบขวัญก่นด่าในใจ อยากเรียกเขาแบบนี้มากกว่าแต่ก็ต้องยอมทำตามเขา
“คุณโดมินิกคะ เรื่องความรักมันบังคับกันไม่ได้ คุณทำแบบนี้คุณวิโอเล็ตต้องไม่สบายใจแน่ ฉันเชื่อว่าการแต่งงานต้องเกิดมาจากความรักของคนสองคนแต่ถ้ามีแค่ฝ่ายเดียวยังไงมันก็ไม่สมบูรณ์แบบไปได้ สุดท้ายจะต้องมีแต่ความเสียใจ”
“หยุดเดี๋ยวนี้พบขวัญ คุณไม่รู้อะไรเท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้วิโอเล็ตก็เสียใจเหมือนตกนรกทั้งเป็นอยู่แล้ว ถ้าจะไม่มีความสุขผมก็จะดึงให้ไอ้เจตนิพัทธ์มันตกนรกไปกับวิโอเล็ตด้วย ผมจะไม่ให้มันมีความสุขเด็ดขาด”
“ใจร้ายที่สุด” พบขวัญบริภาษ ถ้าเป็นเธอจะไม่ยอมแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักเด็ดขาด ทว่าสิ่งที่เธอคิดไม่ได้หมายความว่าคนทั้งโลกต้องคิดเหมือนเธอ อย่างเช่นโดมินิกที่คิดว่าเขาควบคุมทุกอย่างไว้ในกำมือได้
“เอาล่ะเลิกทำหน้าเหมือนจะตายได้แล้ว ผมจะส่งตัวคุณกลับบ้าน แต่ถ้าหากตุกติกล่ะก็ คุณรู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะเล่นงานคุณเป็นคนแรกแล้วตามด้วยชู้รักของคุณ”
พบขวัญไม่อยากเถียงเขาเรื่องเจตนิพัทธ์ เธอจึงแค่นเสียงต่ำบอก “ระวังนะคะ สุภาษิตไทยบทหนึ่งบอกไว้ว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นจะถึงตัว ฉันขอเตือนคุณด้วยความหวังดี”
“ผมไม่เคยได้ยิน แต่พอเข้าใจว่าที่คุณพูดคงด่าผมอยู่ใช่ไหม จะบอกอะไรให้นะผมไม่เคยทำตัวเลวแบบมัน ผมรู้จักป้องกันเป็นอย่างดี คุณไว้ใจผมได้ คุณเองก็รู้ดีนี่นา” จบประโยคพร้อมกับรอยยิ้มแฝงนัยที่ทำให้คนฟังหน้าร้อนผ่าว “แล้วคนอย่างผม ถ้าพลาดทำผู้หญิงท้อง ผมจะยืดอกรับทันทีไม่ทำเหมือนชู้รักคุณหรอก แต่ผมก็ยังไม่เคยพลาดสักทีนะ”
พบขวัญฟังแล้วอยากจะกรีดร้องว่าไอ้ถุงยางอนามัยที่เขาคิดว่าดีแต่ทำไมมันถึงส่งผ่านสายเลือดเขามาสู่เธอได้ล่ะ แต่ก่อนจะกรีดร้อง เธอก็ต้องตัวเกร็งแข็งทื่อเมื่อถูกโดมินิกเชยคางมนขึ้นอย่างจงใจข่มขวัญ
“เสียใจด้วยนะพบขวัญที่คุณกลายเป็นตัวปัญหาที่ผมต้องกำจัดทิ้ง ถ้าไม่มีคุณ เจตนิพัทธ์มันก็จะได้เลิกคิดหนีไปจากวิโอเล็ต”
“คุณมันเลือดเย็น โหดร้ายเกินกว่าจะเป็นคน” พบขวัญสวนกลับอย่างลืมกลัว
“ผมโหดร้ายได้มากกว่านี้อีกถ้าใครทำให้คนที่ผมรักต้องเจ็บจำไว้”
“แล้วคุณจะเสียใจที่ทำแบบนี้”
เขายิ้มมุมปากแทนการตอบ จากนั้นเขาก็ปล่อยให้พบขวัญกลับไปตามคำสัญญา
พบขวัญรีบโทรหาสายพิณว่าแทนคุณยังปลอดภัยดีอยู่ที่โรงพยาบาลใช่ไหม เธอไม่แน่ใจว่าอำนาจเงินของโดมินิกจะทำให้สืบรู้ว่าเธอมีลูกชายได้หรือเปล่า เธอกลัวเขารู้แล้วจะขโมยลูกไปแต่ฟังจากป้าสายพิณพูดว่าทุกอย่างปกติดี ก็แสดงว่าเขาไม่รู้ว่าเธอมีลูกชายนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล พบขวัญหายใจสะดวกขึ้น รีบกลับเข้าทำงานแต่ช้ากว่าเวลาที่ขออนุญาตไปมากจึงเปลี่ยนเป็นเขียนใบลากิจแทนแล้วนั่งทำงานต่อ เธอไม่มีสมาธิกับการทำงานเพราะเป็นห่วงลูกเป็นห่วงเจตนิพัทธ์ กระทั่งหมดเวลาทำงานไม่รู้ตัว พบขวัญรีบเก็บกระเป๋า พยายามทำตัวให้เป็นปกติเมื่อมีใครพูดถึงว่ารองประธานมีข่าวว่าไปต่างประเทศกะทันหัน
พบขวัญพยายามไม่ใส่ใจ ทำหูทวนลม โดมินิกบอกแล้วว่าจะไม่ทำอะไรเจตนิพัทธ์ เขาจะทำตามสัญญา
แต่บังเอิญสายตาของเธอเหลือบไปเห็นรถยนต์คันหนึ่งตอนเดินออกมาถึงลานจอดรถ ภายในนั้นมีชายต่างชาติร่างใหญ่นั่งอยู่สองคน เขามองเธอเหมือนคอยตาม พบขวัญรู้ในนาทีนั้นว่าชีวิตเธอกับลูกจะไม่เป็นปกติสุขอีกต่อไป พบขวัญหาทางสะบัดหลุดจากการติดตามด้วยการรีบขับรถหนีเข้าศูนย์การค้าที่อยู่ใกล้ๆแล้วจอดทิ้งไว้ก่อนวิ่งออกมาขึ้นรถแท็กซี่โบกให้ไปโรงพยาบาลที่แทนคุณรักษาตัวอยู่
เธอมองข้างหลังไม่เห็นว่ามีรถน่าสงสัยติดตามมาก็ปล่อยลมหายใจที่กักไว้ออกมา รถแท็กซี่มาจอดหน้าโรงพยาบาลแล้ว พบขวัญไม่ลืมมองซ้ายมองขวาอีกครั้ง ก่อนจ่ายเงินแล้วเปิดประตูลงมา แม้จะสบายใจที่สลัดคนพวกนั้นหลุด แต่ใบหน้าหวานก็ยังเคร่งเครียด เพราะวันพรุ่งนี้และวันต่อๆไปล่ะ พบขวัญเดินไปคิดไปจนมาถึงห้องพักของแทนคุณเธอรีบไปดูลูกชาย จับเนื้อตัวอย่างเป็นห่วง
“คุณขวัญทำไมหน้าซีดแบบนี้ ไม่สบายหรือเปล่าคะ” พบขวัญเหลือบไปมองสายพิณ ยังดีที่อีกฝ่ายยังสังเกตและถามไถ่เป็นห่วง
“เปล่าค่ะป้าพิณ ไม่มีอะไร” พบขวัญส่ายหน้า เธอไม่อยากบอกให้คนสูงวัยหวาดกลัวไปด้วย ทั้งที่ตอนนี้เธอไม่ไว้ใจโดมินิกอีกต่อไปแล้วเขาให้คนคอยตามเธอแบบนี้
“ไม่มีอะไรจริงๆค่ะป้าพิณ ขวัญรับรอง”
“ค่ะ งั้นถ้าไม่มีอะไร คุณมาแล้วป้ากลับก่อนนะคะ”
พบขวัญพยักหน้าพร้อมกับให้เงินค่าแท็กซี่ไปอีกห้าร้อย คล้อยหลังพี่เลี้ยงสูงวัย ร่างบางก็กระสับกระส่ายเดินไปมาอยู่ในห้อง
ความเป็นห่วงกลัวใครจะมาพรากเอาแก้วตาดวงใจไปจากตัว ทำให้พบขวัญตัดสินใจพึ่งตัวเอง มือเรียวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามอง เธอจะตกอยู่ใต้การบังคับข่มขู่ของเขาตลอดไปไม่ได้ เธอจะต้องได้รับความคุ้มครอง เมืองไทยไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อนให้เขาทำอะไรตามใจชอบ พบขวัญรีบโทรหาตำรวจแล้วบอกว่าเป็นผู้หวังดีที่เห็นเหตุการณ์คนถูกลักพาตัวไป เมื่อตำรวจถามต่อว่าเธอเป็นใคร พบขวัญก็บอกว่าเป็นคนเหตุการณ์ แล้วเล่าเรื่องที่เจตนิพัทธ์หายตัวไปแล้วเธอไปเห็นว่าเขาถูกมาเฟียต่างชาติตามไล่ล่า
เธอบอกที่อยู่ที่เพ้นต์เฮ้าส์ของโดมินิกให้ตำรวจฟัง ฝ่ายนั้นบอกจะดำเนินการในทันที เพราะนามสกุลของเจตนิพัทธ์เป็นตระกูลนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง