การพูดคุยในคลับวีไอพีแห่งนั้นเป็นไปอย่างง่ายดายหลังจากที่คุณอาเหว่ยแสดงความภักดีให้กับนายใหญ่หมื่นฟ้าไปแล้ว
ตัวเลขคร่าวที่ทางนั้นเรียกคือสามสิบล้านบาท แลกกับชีวิตของเธอที่จะสามารถก้าวเท้าออกมาจากที่แห่งนั้นได้โดยไม่มีบาดแผล
ถึงราคานั้นจะแพงลิบจนเธอไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมีปัญญามาใช้คืนแล้ว แต่เมื่อฟังจากบทสนทนาต่อจากนั้นเธอก็ยิ่งขนหัวลุก ทั้งยังคิดว่าดีแค่ไหนที่ไม่โดนทางนั้นจับไปทรมานเค้นหาที่อยู่ของพ่อและครอบครัว หรือปู้ยี่ปู้ยำให้ผู้ชายสักร้อยคนมารุมโทรมเธอ
พ่อของเธอทำความเสียหายนับสองร้อยล้านบาท แต่ด้วยความฉลาดพูดของเขากลับทำให้ทุกอย่างพลิกผันไปอย่างไม่น่าเชื่อ
คำยกยอนั้นใช้ได้ผลอย่างอยู่หมัด เขาฉลาดมากที่รู้ว่าจะต้องเข้าหาผู้ใหญ่อย่างไร และแต่งเรื่องให้เธอดูน่าสงสารขนาดไหนเธอถึงจะไม่ถูกทำร้ายซ้ำอีก
แต่ถึงจะชื่นชมมากเธอก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าเขาจะทำให้เรื่องที่โกหกเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เพราะการที่เขาจ่ายเงินก้อนใหญ่ขนาดนั้นเพื่อเอาเธอออกมา
มันก็อาจหมายความว่าชีวิตของเธอเป็นของเขาไปแล้ว
“ขอโทษด้วยที่อาทำกับเธอแบบนั้น มันจำเป็นจริงๆ ถ้าไม่แสดงให้แนบเนียนเฮียหมื่นฟ้าคงไม่เชื่อ” เขาพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบของห้องโดยสาร เรียกให้เจนิตาที่กำลังนั่งก้มหน้ามองขาของตัวเองเพราะยังไม่หายกลัวให้เงยขึ้น
น้ำเสียงดุดันทว่าแฝงไปด้วยเอื้ออารีพาให้ความกังวลที่มีมาตลอดทางลดน้อยลงไปได้มาก
“...ไม่เป็นไรค่ะ หนูเข้าใจ” ทว่ายังไม่กล้าหันมองเขาแบบเต็มๆ ตาแต่อย่างใด
เพราะถึงต่อให้เขาจะไม่ได้ท่าทางน่ากลัวเหมือนสองพ่อลูกนั่น แต่เธอรู้ดีว่าเขาเองก็คงมีอำนาจไม่ยิ่งหย่อนไปมากกว่ากัน ไม่อย่างนั้นตาเฒ่านั่นกับลูกชายคงไม่ให้ความเกรงใจ
“จนกว่าทุกอย่างจะคลี่คลาย เธอต้องเป็นคนในปกครองของอาไปก่อน เข้าใจใช่ไหมเจนิตา”
“หนูถามได้ไหมคะ คุณอาเป็นเพื่อนของคุณพ่อเหรอ” เธอถามทั้งที่ยังวางสายตาเอาไว้บนต้นขาของเขาอยู่อย่างนั้น
“เราเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกันมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ ตั้งแต่เธอก็ยังไม่เกิด”
“ทำไมหนูไม่เคยเจอคุณอาเลยล่ะคะ” เจนิตายังคงถามต่ออย่างไม่ไว้ใจ
ถึงคุณอาจะไปเป็นคนไปช่วยออกมาจากที่แห่งนั้น แต่มันก็น่าแปลกที่เขาบอกว่าเป็นเพื่อนของพ่อเธอ แต่เธอกลับไม่มีความทรงจำส่วนไหนเลยที่เกี่ยวกับเขา
มีเพียงคำยืนยันจากปากของนายใหญ่กับลูกชายว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนกันจริง
“อาย้ายไปคุมธุรกิจที่จีนกับมาเก๊าตั้งแต่เธอน่าจะอายุได้สักขวบ ส่วนที่ไทยจะไปๆ มาๆ ไม่ได้อยู่นานอะไร เพิ่งจะได้กลับมาอยู่ถาวรก็รู้ว่าบ้านเธอเกิดเรื่องพอดี” งานที่เขาหมายถึงก็คงไม่ต่างอะไรกับที่ตาเฒ่านั่นทำ
ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รวยล้นฟ้าจนสามารถโยนเงินสามสิบล้านเอาไว้ที่นั่นเพื่อช่วยเหลือเธอที่เป็นเพียงลูกสาวของเพื่อน แถมเป็นลูกสาวที่ถูกทอดทิ้งราวกับเศษขยะอย่างเธอ
“แล้วคุณอารู้ได้ยังไงคะว่าหนูอยู่ที่นั่น หนูหมายถึง...เราไม่ได้เป็นอย่างที่คุณอาบอกคนพวกนั้น” และนี่เป็นเรื่องที่เธอสงสัยมาก เขารู้ได้ยังไงว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
ถึงแม้เรื่องที่เขาพูดกับพวกนายใหญ่จะดูน่าเชื่อแต่ตัวเธอรู้ว่านั้นมันเรื่องที่แต่งขึ้นมา เธอไม่ได้เป็นผู้หญิงของเขา เราไม่ได้รักกัน ไม่ได้เป็นอะไรกันเลย
ถ้าเขาย้ายไปอยู่จีนตั้งแต่เธออายุหนึ่งขวบจริงก็เท่ากับตั้งแต่จำความได้เราไม่เคยเจอกันเลยด้วยซ้ำ
“เธอกลับไปพักผ่อนที่บ้านอาก่อนเถอะ เดี๋ยวเราค่อยคุยเรื่องนี้กัน” เขามองเธออยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเรียบ
ดวงตาดุดันของเขามองตรงไปข้างหน้าไม่ได้เฉพาะเจาะจงอะไร ทว่าอำนาจบางอย่างที่แผ่ออกมาจากร่างสูงใหญ่ทำให้เธอหุบปากฉับ
รู้ได้ทันทีว่าเขาคงไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อหน้าบอดี้การ์ดทั้งสองคนที่นั่งอยู่ที่คนขับและเบาะด้านหน้า เรื่องนี้อาจใหญ่กว่าที่เธอเข้าใจ เขาถึงดูไม่ไว้ใจใครเลยแม้กระทั่งคนของตัวเอง
แม้จะอยากถามต่อว่าไอ้คำว่าจนกว่าทุกอย่างจะคลี่คลายหมายความอะไร แต่เธอจะมีทางเลือกอะไรได้บ้างนอกจากเชื่อฟังเขา
แม้จะยังไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นเลยสักนิด แต่เธอเข้าใจที่เขาบอกว่าเธอต้องเป็นคนในปกครองของเขาหลังจากนี้ได้เป็นอย่างดี
เขาจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อซื้อตัวเธอมา ช่วยเหลือเธอที่กำลังจะตกลงไปในเหวลึก ไร้ซึ่งคนในครอบครัวยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือให้ยังปลอดภัยอยู่ได้ ต่อให้เหตุผลมันจะเป็นอะไรแต่ตอนนี้เจนิตารู้ความจริงข้อนี้ดี
“...ค่ะ คุณอา”
ชีวิตของเธอกลายเป็นของเขาไปเรียบร้อยแล้ว
ก็อก ก็อก ก็อก
“เข้ามา”
เสียงอนุญาตจากคนด้านในห้องทำให้เด็กสาววัยมหาวิทยาลัยด้านหน้าผลักประตูบานใหญ่ให้เปิดออกอย่างช้าๆ
เธอโล่งใจเล็กน้อยที่เห็นว่าห้องนี้เป็นห้องทำงานไม่ใช่ห้องนอนอย่างที่นึกกลัว ทว่ายามที่มองผ่านเครื่องเรือนราคาแพง แล้วสายตาไปปะทะกับใบหน้าดุดันนิ่งขึงของเขาก็พาให้ฝีเท้าของเธอชะงักไป