“ขอบคุณนะคะคุณอาที่มาส่ง” ต่อจากบทสนทนานั้นเธอกับคุณอาก็นั่งข้างกันเงียบๆ มาจนถึงมหาวิทยาลัย
เจนิตายกมือไหว้อีกฝ่ายอย่างนอบน้อมขณะที่มือเตรียมกระเป๋าส่วนสายตามองไปด้านนอก เมื่อเห็นว่าเพื่อนของเธอกำลังนั่งรอเรียนกันอยู่ที่โต๊ะม้าหินซึ่งพวกเธอมักจะนั่งกันอยู่เป็นประจำ
เธอกำลังจะลงจากรถไปหาเพื่อนแล้วหากเขาไม่จู่ๆ ก็ถามออกมา
“เธอมีแฟนที่คบหาอยู่ตอนนี้ไหมเจนิตา” หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อยขณะที่มองหน้าคนอายุมากกว่าอย่างตั้งคำถาม คุณอาถามเรื่องนี้ไปทำไมกัน
“ไม่นะคะ คุณอาถามทำไมเหรอคะ”
“อาแค่จะบอกว่าถ้ามีแฟน ช่วงนี้ควรห่างกันไปก่อนเพื่อความปลอดภัยของตัวเธอเอง
“อย่าลืมว่าอาพาเธอออกมาได้ก็เพราะสร้างเรื่องว่าเธอเป็นผู้หญิงของอา ถ้าคนพวกนั้นรู้ว่าเป็นเรื่องโกหกเธออาจจะเดือดร้อนแบบที่อาไปช่วยไม่ทัน”
ได้ฟังอย่างนั้นหญิงสาวก็ส่ายหน้า แม้ไม่ได้คิดว่าเขาถามเพื่อจุดประสงค์อื่นเพราะคุณอาก็ไม่ได้ดูมีท่าทีแบบนั้น แต่เธอก็ยังถือว่าจุดนี้เป็นโอกาสที่เราจะได้ขยับเข้าหากันมากขึ้น
เพราะอย่างน้อยการที่เขาไปโกหกแบบนั้นเพื่อช่วยเธอ ก็อาจทำให้เราต้องเล่นละครอยู่ใกล้ๆ กันไปสักพัก หรืออีกความหมายถึงคือเธอเองก็มีข้ออ้างในการเอาตัวเองไปอยู่ใกล้เขา
“หนูยังไม่มีแฟนค่ะคุณอา ผู้ชายในมหาวิทยาลัยมีแต่เด็กๆ ทั้งนั้น หนูชอบผู้ชายมีอายุมากกว่า” และด้วยเหตุนั้นหญิงจึงใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการบอกใบ้ให้เขารู้
คุณอามองหน้าเธอขณะที่นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนที่ไม่นานเขาใช้มือขวาขยับคอเสื้อเชิ๊ตสีดำสนิทตัวใน และกระแอมในลำคอขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
“...ไม่มีก็ดีแล้ว ไปเรียนเถอะอาเองก็จะต้องไปทำงานแล้ว”
“งั้น...เจอกันที่บ้านเย็นนี้นะคะ หนูจะรอทานข้าวเย็นด้วย” อาการนั้นอยู่ในสายตาของเจนิตาทุกอย่าง เพราะอย่างนั้นเธอจึงกล้าที่จะเอ่ยประโยคต่อไปกับเขาด้วยรอยยิ้ม
ไหนๆ เธอก็เป็นคนในปกครองของเขาไปแล้ว หากมัวแต่กลัวก็คงไม่มีอะไรคืบหน้า ต่อให้สิ่งที่เธอคิดจะสำเร็จหรือไม่ แต่การเข้าหาคุณอาที่จะเลี้ยงดูเธอต่อจากนี้ไปก็ยังเป็นเรื่องที่ควรทำอยู่ดี
“วันนี้มีงานสำคัญอาอาจกลับดึก เธอกินก่อนได้เลย”
“อ้าวเหรอคะ งั้น...หนูไปเรียนก่อนนะคะ”
“อืม”
และเพราะคิดอย่างนั้น เมื่อเรื่องไม่ได้เป็นอย่างใจเธอจึงไม่ได้เซ้าซี้ เจนิตารู้ดีว่าคุณอาเองก็ไม่ใช่เด็กอมมือที่จะปั่นหัวได้ง่ายๆ
เขาออกจะฉลาดทั้งยังขี้โกงในบางเรื่อง หากจะเข้าหาเขาเธอต้องทำในแบบที่เขาไม่รู้ว่าเธอมีเหตุผลอะไรแอบแฝงอยู่ภายใน
อย่างน้อยเธอก็ได้บอกไปแล้วว่าชอบคนมีอายุ ต่อไปจะเป็นอย่างไรเธอคงต้องคิดให้มาก
เมื่อบอกลาไปแล้วเจนิตาก็ลงจากรถไปหาสาริศากับเกณิกาที่ยังนั่งอยู่ที่ม้าหินอ่อนที่ประจำ สองคนนั้นดูตกใจพอสมควรที่เห็นเธอเดินลงมาจากรถหรูแบบนี้ และยิ่งดูตกใจมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นคนที่มาส่ง
“ใครมาส่งน่ะเจน หล่อจัง” เกณิกาหรือซินซินหญิงสาวตัวเล็กในชุดนักศึกษาเอ่ยถามขึ้นเป็นคนแรกทันทีที่เห็นว่ารถคันนั้นเคลื่อนจากไป
ในขณะที่สาริศาหรือซิดนีย์ ดูเหมือนจะยังติดสายใครสักคนอยู่ เจนิตาเดาว่าคงเป็นแฟนหนุ่มของเจ้าตัวที่เรียนอยู่ในคณะใกล้เคียงกัน
“คุณอา” เธอตอบกลับไปสั้นๆ ไม่ได้อธิบายอะไร เพราะรู้ดีว่าวันนี้เพื่อนจะตองมีคำถามมากมายที่เธอขาดการติดต่อไป
กระทั่งโทรศัพท์ที่ใช้อยู่ในตอนนี้ก็ยังเป็นโทรศัพท์ที่เลขาของคุณอาเอามาให้ใหม่ เพราะเครื่องเก่าถูกคนของไอ้แก่หมื่นฟ้าทำพังไปแล้ว
“คุณอาไหน พ่อแกเป็นฝรั่งไม่ใช่เหรอทำไมมีน้องหน้าจีนจ๋าขนาดนั้น แล้วแกหายไปไหนมาเนี่ยทำไมพวกฉันถึงไม่มีใครติดต่อแกได้เลย” และเรื่องมันก็เป็นอย่างที่เธอคาด เพราะเพื่อนสาวตัวเล็กถามสวนขึ้นมาทันทีที่เธอพูดจบ
“ไม่ใช่น้องชายพ่อฉัน เขาเป็นเพื่อนกัน”
“เดี๋ยวนะเจน ใช่ที่ฉันคิดหรือเปล่า” สาริศาที่วางสายเรียบร้อยแล้วถามพลางหรี่ตามองเธออย่างมีเลศนัย ได้ยินอย่างนั้นเจนิตาจึงมองไปรอบตัวก่อนจะหันมาบอกเพื่อนของตัวเอง
“ไปหาที่คุยกันเถอะแก คุยที่นี่คงไม่ดีเท่าไหร่” โชคดีที่สองคนนี้ไม่ใช่คนที่เข้าใจอะไรยาก เพราะอย่างนั้นทั้งสามคนจึงย้ายที่มาคุยกันอีกฝั่ง ซึ่งไม่ได้มีคนเดินไปเดินมาพลุกพล่านเหมือนอย่างหน้าคณะ
และเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเจนิตาจึงเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ตั้งแต่ตอนที่กลับบ้านไปแล้วไม่เจอใคร ลากยาวมาจนถึงตอนที่เธอได้มาอยู่กับคุณอา
“หมายความว่ายังไงวะ ใครจับแกไป” สาริศาถามขึ้นทันทีที่เธอเล่าจบ ท่าทางทั้งตกใจทั้งสับสนไม่ต่างจากที่เกณิกาเลยสักนิด
“เป็นนายใหญ่อะไรสักอย่าง คุณอาบอกว่าตาลุงคนนั้นเป็นมาเฟียรายใหญ่คุมอยู่ที่ไทย แล้วพ่อฉันดันไปเหยียบตีนมันเข้า ก็เลยโดนตามล่าจนต้องหนีกะทันหัน”
“แล้วพ่อแกเป็น...มาเฟีย อะไรพวกนั้นด้วยไหมอ่ะ” เกณิกาถามพลางขมวดคิ้ว น้ำเสียงฟังดูเหมือนยังไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่เจนิตาไม่แปลกใจ
ตัวเธอเองยังแทบไม่เชื่อเลย หากไม่ได้โดนจับไปด้วยตัวเอง
“คุณอาบอกว่าเป็น แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าทำอะไรถึงขั้นไหน รู้แค่ว่าตอนนี้ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปซ่อนอยู่ในเซฟเฮ้าส์”
“แต่ทำไมถึงไม่เอาแกไปด้วยล่ะ ถ้าคุณอาอะไรของแกนั่นไปช่วยไม่ทันจะทำยังไง แกไม่โดนขายออกนอกประเทศไปแล้วเหรอ”
สาริศาถามขึ้นพลางขมวดคิ้ว กระนั้นก็ยังไม่ดูแปลกใจที่พ่อของเธอตัดสินใจแบบนี้ อาจเป็นเพราะเราคบกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง เพื่อนสนิททั้งสองคนพอจะรู้เรื่องครอบครัวที่ไม่อบอุ่นของเธออยู่บ้าง
เจนิตาได้แต่ยิ้มเศร้าทว่าความโกรธในดวงตาก็ยังไม่อาจรอดพ้นสายตาจของเพื่อนไปได้
“เห็นคุณอาบอกว่าพ่อต้องพาแม่เลี้ยงกับน้องฉันหนีแบบด่วนๆ ก็เลยฝากฉันเอาไว้กับคุณอา”
“ก็กล้าฝากเนอะ คุณอาคนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับแกเลยด้วยซ้ำ แล้วที่แกหายไปเพราะงี้เหรอ”
“ใช่”
“ที่แกบอกว่าไปอยู่บ้านคุณอานี่ฉันพอเข้าใจนะ แต่ที่แกบอกว่าช่วยออกมานี่...ช่วยยังไงวะ” เกณิกาถามขึ้นมาบ้างหลังจากที่สาริศาทั้งถามทั้งขมวดคิ้วจนหน้ายู่ไปหมด
“นั่นสิ ฉันนึกไม่ออกเลยว่าจะช่วยออกมาได้ยังไง แปลว่าคุณอาของแกเขาก็ต้องไม่ธรรมดาใช่ไหม”
“ก็ไม่ธรรมดาหรอก แต่กว่าจะออกมาได้ก็หนักอยู่ ทางนั้นไม่ยอมท่าเดียวเลยเพราะดูแค้นพ่อฉันมาก” เจนิตาว่าพลางนึกภาพเหตุการณ์ในวันนั้น
ตัวเธอเองก็ยังคิดว่าสิ้นหวังแล้ว แต่สุดท้ายคุณอาต้าเหว่ยก็พลิกสถานการณ์พาเธอออกมาได้
“แต่พอคุณอาบอกไปว่าฉันเป็นผู้หญิงของเขากับยอมจ่ายเงินส่วนที่ทางนั้นเรียกมา สุดท้ายฉันเลยออกมาได้”
“เดี๋ยวๆ คุณอาสุดหล่อของแกพูดขนาดนั้นเลยเหรอเจน” เกณิกาขาเม้าท์ยังเป็นคนถามเรื่องนี้เหมือนเดิม เจนิตาที่เห็นว่าเพื่อนทั้งสองคนตอนนี้ตาโตจนแทบจะเป็นไข่ห่านจึงพยักหน้า
อย่าว่าแต่เพื่อนช็อกเลยตัวเธอตอนที่ได้ยินก็ช็อกมากไม่ต่างกัน ใครจะไปคิดว่าคุณอาจะมามุกนั้น
“ใช่ แถมเรียกให้ฉันไปนั่งตักแล้วหอมนมด้วย แต่ถ้าไม่ทำฝ่ายนั้นก็คงไม่เชื่อ”
“แม่เจ้า ก็เล่นเนียนไปนะวิ”
“จริงของซินมันนะ แต่ฉันก็พอเข้าใจอยู่แหละว่ามันจำเป็น แล้วนี่แกต้องมีแบบ...เล่นละครต่ออะไรงี้ไหม แบบให้มันสมจริงว่าแกเป็นเด็กของคุณอาเขาจริงๆ น่ะ”
สาริศาหันไปพยักพเยิดกับเกณิกา ก่อนจะหันมาถามเธอสีหน้าจริงจัง
“ก็เห็นมีห้ามอยู่นะ ว่าถ้ามีแฟนก็ควรห่างกันก่อน เพราะถ้าคนของไอ้แก่นั่นมาเห็นเข้าความอาจจะแตก ฉันอาจโดนอุ้มเข้าจริงๆ ส่วนคุณอาก็อาจเดือดร้อนไปด้วย”
เพราะอย่างนั้นเธอจึงเล่าสิ่งที่คุณอาเพิ่งบอกให้เพื่อนฟัง ยิ่งเห็นสองคนนั้นมองหน้ากันแบบมีเลสนัยเจนิตาก็ยิ่งรู้สึกว่าเซ้นต์ของเธออาจจะไม่ผิด
บางทีเรื่องที่คิดเอาไว้อาจจะมีเปอร์เซ็นต์สำเร็จสูง
“แล้วแกต้องอยู่กับคุณอาเขาไปถึงเมื่อไหร่ แต่จะว่าไปเขาดูไม่น่าเป็นอาเราได้เลยนะ หน้าดูโหดๆ ก็จริงแต่ไม่เห็นดูเหมือนจะอายุสี่สิบอย่างที่แกว่าเลย” สาริศาเอ่ยขึ้นอีกครั้งพาให้นึกย้อนถึงอีกฝ่ายที่เธอลอบสังเกตบ่อยๆ
คุณอาเป็นอย่างที่เพื่อนของเธอว่าจริงๆ ถึงท่าทางของเขาจะดูสุขุมดุดัน หรือรอยผลรอยบากต่างๆ ที่ทำให้ดูผ่านโลกมาอย่างโชกโชน
แต่หากพูดกันเรื่องรูปร่างหน้าตาเขาก็เป็นคนที่หล่อมากคนหนึ่ง ทั้งหล่อทั้งแด๊ดดี๊จนคนอย่างเธออดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน แม้จะผ่านเรื่องคอขาดบาดตายมาก็ตาม
“คงต้องอยู่ไปเรื่อยๆ จนกว่าพ่อจะกลับมาหรือไม่ก็รับฉันไปอยู่ด้วยนั่นแหละ แต่ถ้าจนเรียนจบแล้วยังไม่มาฉันอาจจะย้ายจากบ้านของคุณอาไปเริ่มต้นชีวิตใหม่เอง”
เจนิตาว่าอย่างนั้น แม้ว่าความจริงในใจไม่ได้คิดเรื่องที่บ้านนัก เพราะมัวแต่คิดเรื่องคุณอาอยู่มากกว่า
“จะได้ไปเร้อ ไม่ใช่ว่าเล่นละครไปเล่นละครมา กลายไปเป็นเด็กเขาจริงเสียล่ะ”
ทว่ายามที่เธอพูดจบจู่ๆ สาริศาก็พูดขึ้นทั้งยังมองหน้าเธอด้วยสายตารู้ทันกระนั้นก็ไม่ทำให้เจนิตาแปลกใจแต่อย่างใด
คนเหมือนๆ กันมองไม่ออกสิแปลก นังคนนี้มันรู้มาตลอดว่าที่เธอไม่คบหนุ่มๆ ในมหาวิทยาลัยเลย ทั้งที่มีคนมาจีบตั้งเยอะเป็นเพราะอะไร
“จริงนะซิด ลองเป็นเพื่อนพ่อด้วยแถมต้องอยู่บ้านเดียวกัน คนร่านอย่างนังนี่ไม่ใช่ว่าจะไปอ่อยจนคุณอาเขาหัวใจวายตายหรอกนะ”
“บ้า คุณอาไม่ได้แก่ขนาดนั้นเสียหน่อย เมื่อกี้แกก็พูดอยู่ไม่ใช่เหรอซิดนีย์” หญิงสาวเถียงเสียงค่อยขณะที่หลบสายตาเพื่อนไปอีกทาง
ไอ้เรื่องสาริศารู้ทันว่าเธอชอบคนแก่น่ะก็เรื่องหนึ่ง แต่ดูท่าจะเกณิการู้ทันด้วยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“อ่ะ พูดแบบนี้แสดงว่าคิดจริง”
“...” เบื่อพวกมันจริงๆ เธอยังไม่ได้เล่าสิ่งที่คิดให้ฟังเลย สาระแนรู้ทันเสียแล้ว!!
“ใช่ไหมอิแหม่ม แกเล็งคุณอาใช่ไหมตอบมา!” สาริศาใช้นิ้วชี้หน้าเธอมือสั่น เห็นอย่างนั้นมือสวยจึงเกี่ยวเส้นผมสีบลอนด์ทองของตัวเองไปทัดหู ก่อนจะหันกลับมาสบตาเพื่อนทั้งสองคน ลองมาอีหรอบนี้ปฏิเสธไปก็เท่านั้น
“มันก็สะใจดีไม่ใช่เหรอ ถ้าพ่อฉันรู้ว่าลูกได้กับเพื่อนรักคงดีใจพิลึก ไหนๆ ก็ฝากฉันไว้กับคุณอาแล้วก็ฝากอย่างอื่นไปด้วยเลย”
ก็ยอมรับไปเสียเลยจะได้ไม่ต้องมาถามกันอีก
“เจน...ที่สนใจคุณอาเพราะแกโกรธพ่อเหรอวะ” และแน่นอนว่าพอรู้จุดประสงค์ที่แท้จริง ทั้งสาริศาและเจนิกาต่างก็หันมองหน้ากันอย่างอึ้งๆ ขณะที่เอ่ยถามเธอเสียงเบา
เห็นอย่างนั้นเจนิตาจึงพยักหน้ารับเพราะไม่มีอะไรที่เธอจะต้องปกปิดจากสองคนนี้
“อืม แล้วคุณอาก็เป็นสเป็คฉันด้วย แถมเขายังไม่มีครอบครัวมีแค่เด็กเลี้ยงไว้เรียกมาเอาชั่วครั้งชั่วคราว มันก็ไม่ผิดไม่ใช่เหรอวะ”
“แต่ระวังใจไว้หน่อยก็ดีนะแก ยิ่งเป็นไทป์ที่ชอบยิ่งต้องระวัง เผลอใจโคตรง่ายเลยนะ”
“จริงของซินมันนะ ถ้าคิดจะทำแบบนี้อย่าเอาใจไปลงเลยเชียว ผู้ชายที่เลี้ยงเด็กแนวนั้นแต่ยังไม่มีครอบครัวมันน่ากลัวนะเว้ย เขาไม่รักใครง่ายๆ หรอก”
“อะไรจะเกิดขึ้นฉันก็เตรียมใจไว้แล้วแหละ อยากรู้ว่าจะสักแค่ไหนกันเชียว”
เธอก็ไม่ได้ต้องการความรักอะไรเสียหน่อย แค่อยากให้พ่อของเธอได้รับบทเรียนก็เท่านั้น ตัวเธอไม่ได้คิดว่าจะเสียหายอะไร ส่วนคุณอาต้าเหว่ยเองเขาก็ไม่ได้เสียประโยชน์
ถ้าเขาโอเคกับเธอก็ถือว่าได้อะไรตอบแทนเงินที่จ่ายไปด้วย ถ้าจะมีใครต้องเสียก็เป็นพ่อเธอที่ทำหน้าที่พ่อได้ทุเรศมากนั่นแหละ