หญิงสาวพยายามกดปลายเท้าให้แตะถึงขอบสระ และพยายามดีดตัวเองให้พ้นขึ้นมาหายใจ แต่สิ่งที่โผล่ขึ้นมาจากน้ำได้มีเพียงแค่มือทั้งสองข้างของเธอเพียงเท่านั้น
"ชะช่วยด้วย" พิมพ์ตะวันพึมพำ ๆ ใต้น้ำ
"พะ...พ่อขา~" หญิงสาวที่แข็งแกร่งหลับตาลงและนึกถึงแต่หน้าของผู้เป็นพ่อของเธอ พ่อคนที่เธอไม่มีวันได้พบเจอท่านอีกแล้วในชีวิตนี้
และในเสี้ยววินาทีที่ลมหายใจของเธอใกล้จะหมดลงเต็มที ภาพในอดีตมันก็ย้อนกลับมาจนเธอกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ใต้น้ำสีฟ้านั้นแสงไฟจากด้านบนที่ริบหรี่ลงช้า ๆ
เธอมองเห็นมือของใครบางคนที่ยื่นลงมาจากด้านบน แต่มือเล็ก ๆ ของเธอมันเอื้อมไปไม่ถึงแล้วจริง ๆ ฟองอากาศที่มีค่อย ๆ พ่นออกจากจมูกของเธอ
ร่างบางค่อย ๆ จมลงไปจนเกือบถึงก้นสระที่ลึกเกือบ ๆ สองเมตร ขาทั้งสองข้างของเธอที่ดีดไปมาเริ่มเกร็งและแข็งตึงคล้ายเป็นตะคริว มือของเธอพยายามจะแหวกว่ายขึ้นไป แต่มันช่างไกลเหลือเกิน...น้ำคลอรีนทำให้ตาของเธอแสบพร่าจนต้องหลับตาลงและปล่อยให้ตัวเองจมลงสู่ก้นสระว่ายน้ำใจกลางบาร์สุดหรูแห่งนี้และ...
ฟุ่บ! มือหนาของใครบางคนคว้าเข้าที่ข้อมือและกระชากเธอขึ้นมาพร้อมกับประกบปาก
ทันทีที่ริมฝีปากหนักประกบทับลงและพ่นลมหายใจเข้าไปในปากของเธอ เหมือนต่อลมหายใจให้กับพิมพ์ตะวันได้อีกครั้ง เธอลืมตาใต้น้ำมองดูใบหน้าของชายผู้ที่ช่วยชีวิตของเธออีกครั้ง
พรวด! ทั้งคู่ลอยพ้นขึ้นมาเหนือผิวน้ำ และคนที่ช่วยเธอก็คือเพอร์ซุส...คนที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เธอจมน้ำเกือบตายนั่นเอง
เพราะเขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะว่ายน้ำไม่เป็น แถมเธอยังปากแข็งไม่ยอมบอกแต่แรกอีกด้วยว่าตัวเองว่ายน้ำไม่เป็น
"...เป็นไรปะ" ร่างสูงเอ่ยถามขึ้นด้วยใบหน้าที่กังวลไม่แพ้กัน เขาประคองร่างบางและอุ้มยกเธอขึ้นไปนั่งที่ขอบของสระว่ายน้ำ
"เฮ่อ ๆ ๆ " ร่างบางพยายามหายใจด้วยตัวเอง แต่มันก็จุกแน่นที่หน้าอกมาก ๆ
"..…" พิมพ์ตะวันกำหมัดแน่นทั้งสองข้างจ้องมองหน้าเพอร์ซุสอย่างแน่วนิ่ง
"นี่ไม่เอาน่า...ฉันก็แค่ล้อเธอเล่นเอง ใครจะไปรู้ว่าเธอว่ายนะ...น้ำ (เพอร์ซุส) /นายรู้ไหมตัวอะไรที่มันชอบลงมากินในน้ำ...ตัวเหี้ยไง! (พิมพ์ตะวัน) เธอพูดแทรกขึ้นมาพร้อมกับง้างหมัด แล้วต่อยกระแทกเข้าไปเต็มแรงเข้าที่มุมปากของเขา
ใบหน้าหล่อร้ายหันขวับไปตามแรงกระแทกทันที
"ว้าย...เลือด!" นางแบบสาวที่เกาะอยู่ขอบสระอีกฝั่งตะโกนขึ้น และชี้หน้าพิมพ์ตะวันอย่างเอาเรื่อง
"เธอต่อยหน้าคนที่เพิ่งจะ...จูบช่วยชีวิตเธอไปเนี่ยนะ" เพอร์ซุสใช้ปลายลิ้นดุน ๆ มุมปากที่มีเลือดของเขาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
"ชาตินี้ขออย่าให้ได้เจอกันอีกเลย" พิมพ์ตะวันรีบยกมือขึ้นถู ๆ ขยี้ริมฝีปากตัวเองด้วยความรังเกียจ ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์บาร์เพื่อเก็บของต่าง ๆ และเตรียมจะเดินออกไปจากร้าน
"ขอโทษนะพี่แอม" พิมพ์ตะวันยกมือไหว้ขอโทษรุ่นพี่อีกครั้ง เพราะเธอรู้ว่ารุ่นพี่เธอคงต้องโดนตำหนิเอาแน่ ๆ
"รู้ตัวไหมว่าทำอะไรลงไป เธอกล้าทำแบบนี้กับลูกค้าได้ยังไง" ผู้จัดการเดินตามมาด่าเธอฉอด ๆ
"ฉันจะไล่เธอ (ผู้จัดการ) / ไม่ต้องไล่...ฉันขอลาออก (พิมพ์ตะวัน) " เธอเดินตรงกลับเข้าไปหาพร้อมกับชี้หน้าไอ้ผู้จัดการร่างท้วมจอมหื่นนั่นอย่างเอาเรื่อง
"...อะ...จะ...จะออกก็ไปสิ" ผู้จัดการหน้าสั่นเล็กน้อย เพราะเห็นตอนที่เธอต่อยเพอร์ซุสแล้วก็นึกกลัวขึ้นมาเหมือนกัน หมัดหนักจนปากแตกขนาดนั้น
พิมพ์ตะวันเดินไปขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ของเธอ ซึ่งเพอร์ซุสเองก็วิ่งตามออกมาดูเช่นกัน
"นี่...ฉันแค่ล้อเล่นเองนะ เธอโกรธเวอร์ไปรึเปล่าฮะ" เพอร์ซุสตะโกนถามไป นิ้วโป้งก็กดแผลที่มุมปากไป
"ความเป็นความตาย มันล้อเล่นได้ด้วยเหรอ" พิมพ์ตะวันหันกลับมาจ้องหน้าเขาก่อนจะบิดมอเตอร์ไซค์เล็งไปที่รถหรูคันละหลายสิบล้านของเพอร์ซุสที่จอดอยู่ไม่ไกล
ปึ้ก ๆ ๆ เธอยกเท้าขึ้นกระทืบที่กระจกมองข้างรถของเขาแรง ๆ เพื่อระบายอารมณ์โกรธ
แล้วจึงขี่วนรอบลานจอดรถชูนิ้วกลางให้กับเขาเน้น ๆ ก่อนจะบิดออกไปจากบาร์ทั้ง ๆ ที่ตัวเปียกโชก
บรื้น ๆ ๆ ร่างบางบิดรถมอเตอร์ไซค์เร่งความเร็วไปบนท้องถนนที่เงียบสงัดในยามค่ำคืน ไร้ซึ่งแสงไฟใด ๆ จากรถยนต์คันอื่น ๆ แม้ว่ามันจะดูน่ากลัวและอันตราย แต่เธอก็ใช้ชีวิตแบบนี้มาจนเคยชินแล้ว
บรื้น ๆ ๆ เสียงท่อรถคำรามลั่น หลังจากที่ควบรถมอเตอร์ไซค์ออกไปได้สักพักใหญ่ ๆ ความโกรธที่ครอบงำค่อย ๆ ลดลง และเมื่อสติของเธอค่อย ๆ กลับมา...
"ฉิบหายแล้ว...นี่ฉันทำบ้าอะไรลงไปวะเนี่ย" เธอพึมพำออกมาใต้หมวกกันน็อกของตัวเองอีกครั้ง
"รถไอ้ฝรั่งบ้านั่นคันละกี่ล้านกันนะ...โอ๊ย...อิพิมพ์ ๆ ๆ ซวยแล้วไง"
"ซวยแน่ ๆ "
ป๊อก ๆ ๆ ๆ พิมพ์ตะวันยกมือซ้ายเคาะที่หมวกกันน็อกตัวเองซ้ำ ๆ
"เดี๋ยวนะ ปากของฉันไปจูบกับปากเน่า ๆ ของหมอนั่นงั้นเหรอ"
"ทำไม ๆ ๆ จูบแรกของฉันต้องเป็นไอ้...ฝรั่งจอมหื่น โรคจิตแบบนั้นด้วย"
"แบบนี้ฉันต้องล้างปากด้วยแอลกอฮอล์กี่รอบกันเนี่ย อี๋ ๆ ๆ ๆ "
-วันต่อมา-
หมู่บ้าน พฤษภา
บ้านเดี่ยวขนาดกลาง
บนโต๊ะกินข้าว
"อ้าวพิมพ์ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องออกไปทำงานพิเศษแล้วเหรอลูก" คุณพ่อเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นพิมพ์ตะวันเดินลงมาช่วยแม่ของเธอทำกับข้าว และตั้งโต๊ะสำหรับอาหารมื้อเย็น
"พอดี พิมพ์มีปัญหาที่ทำงานนิดหน่อยน่ะค่ะ ก็เลย...ลาออก" พิมพ์ตะวันตักข้าวใส่จานและเดินไปรินน้ำให้กับทุกคนในโต๊ะ
"อ๋อ...ก็ดี ๆ ขี่รถไป ๆ มา ๆ แม่เขาเป็นห่วงแย่เลยลูก" คุณพ่อพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปลูบหัวลูกชายคนเล็กวัยเจ็ดขวบอย่างเอ็นดู
"ว่าแต่พริ้งยังไม่ลงมาเหรอคะ" พิมพ์ตะวันเอ่ยถามถึงน้องสาวคนกลางของเธอเพราะนี่ก็ได้เวลากินข้าวเย็นแล้ว
"วันนี้น้องไปเรียนพิเศษน่ะลูก เห็นว่าจะกลับดึกหน่อย" แม่หันกลับมาตอบก่อนที่ทั้งสี่คนจะเดินกลับมานั่งร่วมรับประทานอาหารกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
"งั้นเดี๋ยวคุณบอกลูกแล้วกันนะว่า เลิกเรียนเสร็จให้โทรมาบอก เราจะได้ออกไปรับ" คุณพ่อพูดขึ้นพร้อมกับมองนาฬิกาข้อมือตัวเองอีกครั้ง
"กลับดึก ๆ คนเดียวมันอันตราย" ท่านถอนหายใจออกมาเบา ๆ
"ปะ ๆ กินข้าวกันลูก" คุณพ่อที่นั่งหัวโต๊ะพูดขึ้นพร้อมกับตักอาหารจานโปรดไปวางให้ลูกชายคนเล็ก และก็ไม่ลืมที่จะตักอาหารให้กับพิมพ์ตะวัน ลูกสาวคนโตด้วยเช่นกัน
"ขอบคุณค่ะคุณพ่อ" เธอก้มหัวเล็กน้อยและกินข้าวต่อไป
"เอ่อ...พอดีพิมพ์ลาออกจากงานกะทันหันน่ะค่ะ แล้ว...ค่าหอพักในมหาวิทยาลัยมันก็ยังขาดอยู่"
"มหาวิทยาลัยเอกชนน่ะ ต่อให้เราจะได้ทุนเรียน แต่ยังไงค่าใช้จ่าย ค่ากิน ค่าอยู่ มันก็สูงอยู่ดี" คุณพ่อเงยหน้าขึ้นและพูดกับเธอเสียงเรียบ ๆ
"ที่พูดเนี่ยไม่ได้จะอะไรหรอกนะ แต่พ่อแค่ไม่อยากเห็นลูกต้องเหนื่อย หางานทำระหว่างเรียนก็เท่านั้น" ท่านพูดพร้อมกับหันไปมองทางแม่เล็กน้อย
"แล้วค่าหอยังขาดอยู่เท่าไรล่ะลูก เดี๋ยวแม่ช่วยเอง" คนเป็นแม่ก็รีบพูดแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าสามีเริ่มจะพูดกดดันลูกสาวคนโตมากจนเกินไป
"พิมพ์ขาดอยู่สามพันบาทค่ะ แต่พิมพ์ไม่ได้ขอแม่ฟรี ๆ นะ พิมพ์แค่จะขอยืมก่อนนะคะ" พิมพ์ตะวันอธิบายไปตามตรง เพราะเธอไม่ได้ขอเงินทางบ้านใช้มานานแล้ว ตั้งแต่เริ่มทำงานพาร์ตไทม์ได้ พิมพ์ก็ไม่เคยขออีกเลย
"แต่ค่าไปเรียนเต้นของพี่พริ้งพราวตั้งเกือบหกพันเลยนะฮะ ทำไมพ่อไม่เห็นบ่นพี่พริ้งเลย" น้องชายคนเล็กเคี้ยวข้าวไปก็ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
"พัตเตอร์ พูดแทรกผู้ใหญ่แบบนี้ไม่น่ารักเลยนะลูก" คุณพ่อดุใส่น้องชายคนเล็ก
"พี่พิมพ์เขาโตมากแล้ว ตอนนี้เขาก็น่าจะสามารถยืนด้วยตัวเองได้แล้วเพราะอีกหน่อยพอพ่อแม่แก่ตัวมา ก็คงจะมีแค่พิมพ์เนี่ยแหละที่เป็นที่พึ่งพาของน้อง ๆ " คุณพ่อมองตรงมาที่พิมพ์ตะวันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
"เอาเป็นว่าค่าหอพักกับค่ากินใช้ เดือนนี้พ่อช่วยพิมพ์เองแล้วกัน" คุณพ่อหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิดออก และหยิบแบงก์พันขึ้นมาห้าใบวางลงบนโต๊ะ
"ขอบคุณนะคะ คุณพ่อ" พิมพ์ตะวันยกมือไหว้ขอบคุณ
"แล้วก็ไม่ต้องเอามาคืนนะ พ่อให้...ยังไงพิมพ์ก็ลูกพ่อเหมือนกัน" คุณพ่อยิ้ม ก่อนจะวางถ้วยจานและลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารไปในทันที
-กลางดึกในคืนนั้น-
พิมพ์ตะวันตั้งใจจะเดินลงมาเพื่อหยิบน้ำดื่มในตู้เย็น แต่ทว่าเธอก็ต้องชะงักฝีเท้าไป เมื่อเห็นว่าคุณพ่อกับแม่ของเธอกำลังยืนเถียงกันอยู่พอดี
"ผมทำงานเป็นผู้จัดการแบงก์นะคุณ ไม่ใช่เจ้าของธนาคารที่จะผลิตแบงก์ขึ้นมาเองได้!"
"คุณต้นเบา ๆ หน่อยได้ไหม!...เดี๋ยวลูก ๆ ก็ตื่นกันหมด" หญิงวัยกลางคนเดินไปบีบไหล่ของสามีให้เบาเสียงลง
"อีกอย่าง ยายพิมพ์แทบจะไม่เคยร้องขออะไรเลย วันนี้แค่ลูกมาขอเงินค่าหอพัก ถ้าคุณไม่ให้ฉันให้ลูกเองก็ได้"
"ให้เองงั้นเหรอ ไอ้ร้านเบเกอรีโง่ ๆ ของคุณ ผมยังต้องช่วยประคองอยู่เลย!"
"บางทีผมก็คิดนะ เพราะลำพังแค่รับผิดชอบเมียตัวเอง ลูกตัวเอง เงินเดือนผมก็แทบไม่เหลือแล้วนะ"
"แต่นี่ยังต้องมานั่งรับผิดชอบลูกติดอีก ผมเหนื่อยนะคุณ ผมเหนื่อยคุณได้ยินไหม!"