​ 9 เซอร์ไพรส์

2235 Words
(พิมพ์ตะวัน) "ยัยพริ้ง?" ฉันหรี่ตามองตรงไปที่น้องสาวที่กำลังนั่งมาสก์หน้าด้วยโคลนสีเขียว ๆ และหันมาโบกมือทักทายฉันด้วยใบหน้าระรื่น "มาได้ไงเนี่ย แล้วเรามีกุญแจห้องพี่ได้ไง" ฉันแอบตกใจอยู่เหมือนกัน จริงอยู่ที่พริ้งเคยมาที่ห้องฉัน แต่ไม่คิดว่าพริ้งจะมีกุญแจเปิดเข้ามารอก่อนแบบนี้ "พอดีพริ้งเข้าไปขอยืมของในห้องพี่พิมพ์น่ะ ก็เลยบังเอิญเจอกุญแจสำรอง บวกกับคิดถึงพี่พิมพ์มาก ๆ เลยนั่งรถแท็กซี่มาหา" แล้วพริ้งก็เดินเข้ามาสวมกอดฉัน ซึ่งฉันก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรไป เพราะห้องนอนที่บ้านยัยพริ้งก็มักจะเข้ามายืมเสื้อผ้าของใช้บ่อย ๆ อยู่แล้ว เพราะความจริงเราสองคนก็ไม่ได้อายุต่างกันมาก ฉันยี่สิบเอ็ดปี ส่วนยัยพริ้งก็สิบเก้าปี "แล้วได้บอกคุณพ่อกับแม่รึยังว่า จะมาหาพี่" ฉันเดินไปวางกระเป๋าลงก่อนจะถอดเสื้อช็อปออกแขวนเอาไว้ "พี่พิมพ์! พริ้งอายุสิบเก้าจะยี่สิบแล้วนะ จะไปไหนทำอะไรไม่จำเป็น‌ต้องรายงานพ่อกับแม่แล้วไหมอะ" พริ้งถอนหายใจออกมาก่อนจะเถียงกลับทันที "พริ้งโตมากแล้ว พี่พิมพ์เองก็เหมือนกัน เลิกทำเหมือนพริ้งเป็นเด็ก ๆ สักทีน่า" เธอพูด ก่อนจะเดินสะบัดตูดเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าที่มาสก์อยู่ออก โทรศัพท์ของพริ้งพราว ยังคงสั่นไม่หยุด ซึ่งพอฉันเหลือบไปมองชื่อคนที่โทรเข้ามาก็คือคุณพ่อ ซึ่งเหมือนว่าท่านจะโทรมาหลายสิบสายแล้วด้วย ฉันตั้งใจจะรับสายท่านแทน เพื่อที่จะบอกให้ท่านสบายใจว่าพริ้งอยู่กับฉัน แต่มือยังไม่ทันจะเอื้อมไปถึงโทรศัพท์ เจ้าตัวก็เดินตรงเข้ามาแย่งโทรศัพท์ไปและปิดเครื่องไปในทันที "อย่ายุ่งกับโทรศัพท์ของพริ้ง!" น้องสาวหันมาว่าฉันเสียงดังลั่น "โอเค ๆ พี่ก็แค่อยากรับสายแทน เพราะเห็นเป็นเบอร์คุณพ่อน่ะ พี่ว่าพวกท่านจะกังวลเอาได้นะถ้าพริ้งกลับดึก" ฉันพยายามอธิบายเหตุและผล และใจเย็นกับน้องสาวให้มากที่สุด "แล้วใครว่าพริ้งจะกลับ" "หอพี่พิมพ์ไกลจากบ้านจะตายไป นั่งรถไป ๆ มา ๆ ก็เกือบสองชั่วโมงแล้ว คืนนี้พริ้งจะนอนที่นี่" พริ้งพราวยืนบ่น ๆ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟาทั้งน้ำตาซึม ๆ "เรื่องนอนที่นี่น่ะ พี่ไม่ว่าหรอก แต่ยังไงก็ต้องโทรไปบอกที่บ้านเขาก่อน" ฉันเดินไปหยิบโทรศัพท์ตัวเองมาเตรียมจะส่งข้อความไปบอกกับแม่ไว้ก่อนว่าพริ้งจะนอนอยู่ที่นี่ "ถ้าพี่พิมพ์ไม่รู้ว่าพริ้งเจออะไรมา ก็อย่าพูดดีกว่า" พริ้งพราวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ก่อนจะปาดน้ำตาแบบลวก ๆ "นี่เรา ทะเลาะกับคุณพ่อมาใช่ไหม" ฉันถอนหายใจเบา ๆ และมองที่น้องสาวอย่างพอเดาออกเลย เพราะทุกครั้งที่พริ้งมีปัญหา เธอมักจะมาหาฉันทุกครั้ง "พ่อบ่นพริ้งเรื่องที่พริ้งยังไม่มีที่เรียนน่ะสิ" พริ้งพราวระบายออกมาทั้งน้ำตา "แต่พริ้งก็พยายามแบบสุด ๆ แล้ว!" พริ้งพราวเดินกระแทกเท้าไปทั่วห้องของฉัน "ปีที่แล้วพอพริ้งติดมหาวิทยาลัยไกล ๆ จังหวัดอื่น พ่อก็บอกไกลไปไม่อยากให้ไปเรียนไกลบ้าน" คนตัวเล็กเดินไปหยิบครีมทาผิวมาทาบำรุงทุก ๆ สัดส่วนของร่างกาย พร้อมกับยืนแต่งหน้าไปเล่าไป "พอมาปีนี้พริ้งก็ไปเรียนพิเศษตามที่พ่อต้องการแล้ว อ่านหนังสือจนสมองจะระเบิดอะ... แต่มันก็สอบไม่ติด ไม่ติด ๆ ๆ พี่พิมพ์ได้ยินไหม!" พริ้ง‍พราวทึ้งผมตัวเองและดึงแรง ๆ เหมือนเก็บกด "พริ้งไม่เอาน่า ใจเย็น ๆ ก่อนสิ" "พริ้งเกลียดที่พ่อชอบเอาพริ้งไปเปรียบเทียบกับพี่พิมพ์อยู่ได้" "พริ้ง~" ฉันเองก็รู้สึกไม่สบายใจที่ได้ยินน้องสาวพูดมาแบบนั้น "ใช่ พริ้งมันโง่ พริ้งมันทำแบบพี่พิมพ์ไม่ได้ พริ้งสอบเข้ามหาวิทยาลัยดัง ๆ ไม่ได้" "พริ้งสอบชิงทุนมหาวิทยาลัยแบบอเธน่าหรือที่ไหนก็ไม่ได้" พริ้งพราวเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ ที่ส่องผ่านเห็นตึกสูงสไตล์ยุโรปและอาณาจักรความเป็นอเธน่า เธอจ้องมองอยู่แบบนั้นพักใหญ่ "บางทีพริ้งก็เบื่อเหมือนกันนะ ที่จะต้องมาทำอะไรตามรอยพี่พิมพ์ทุกเรื่อง" พริ้งหันกลับมาและพยายามปรับอารมณ์ให้ปกติ และเริ่มแต่งหน้าแต่งตัวต่อ "..…" ฉันทำได้แค่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ เพราะถึงพูดอะไรไปตอนนี้น้องก็คงไม่รับฟังอยู่ดี "แต่ช่างเถอะ มันไม่ใช่ความผิดของพี่พิมพ์หรอก พริ้งเข้าใจ" พริ้งยิ้มออกมาและสะบัดหัวซ้ำ ๆ เหมือนไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่ออีก เธอเดินไปค้นหาเสื้อผ้า และหยิบข้าวของของฉันออกมาใช้โดยไม่ได้เอ่ยขอ ซึ่งมันก็เป็นปกติอยู่แล้ว เพราะมีอะไรเราก็มักจะแบ่ง ๆ กันใช้เสมอ ….. ……. "ว่าแต่...เราจะแต่งตัวไปไหนเหรอ" ฉันขมวดคิ้วมองไปที่พริ้งที่กำลังยืนเลือกเสื้อผ้าของฉันจากในตู้ "ก็ไปหาข้าวกินไง พริ้งหิวจะแย่แล้ว" พริ้งหันมาตอบพร้อมกับลูบหน้าท้องของตัวเองเบา ๆ "พริ้งขอยืมเดรสตัวใหม่นะ" พริ้งมองไปยังเดรสตัวใหม่ที่ยังมีป้ายติดอยู่ ซึ่งมันเป็นเสื้อที่ไอ้อาร์เดลซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดปีก่อน ๆ แต่ฉันแทบไม่เคยใส่กระโปรงเลย ก็เลยไม่เคยหยิบออกมาใส่เลยสักครั้ง "ได้สิ... ถ้าชอบก็เอาไปเลยก็ได้นะ" ฉันเดินไปจัดเก็บของต่าง ๆ ที่พริ้งรื้อค้นออกมา โดยไม่ได้บ่นใด ๆ เพราะนาน ๆ ทีจะได้มีเวลาอยู่กับน้องสาวแบบนี้ ตั้งแต่เธอโตเป็นวัยรุ่นเราสองคนก็เจอกันน้อยลงทุกที "พี่พิมพ์เนี่ย น่ารักที่สุดเลย" เธอยิ้มกว้างและรีบถอดชุดเก่าออกแล้วสวมชุดใหม่แทนทันที "เอ่อ...งั้นพริ้งรอพี่อาบน้ำแป๊บหนึ่งแล้วกัน เดี๋ยวพี่พาไปกินร้านชายสี่หมี่... (พิมพ์ตะวัน) / ไม่เป็นไรพี่พิมพ์ พอดีพริ้งนัดกับเพื่อนไว้แล้วน่ะ...พี่พิมพ์เพิ่งเลิกเรียนมาเหนื่อย ๆ นั่งพักเถอะ (พริ้งพราว) " "เพื่อน? ...เพื่อนที่อเธน่า น่ะเหรอ" ฉันขมวดคิ้วถามไปอย่างข้องใจ "ก็เพื่อนเก่าสมัย ม.ปลายไง เพื่อนพริ้งมาเรียนต่อปีหนึ่งที่อเธน่า" พริ้ง‍พราวเดินมาหยุดตรงหน้า พร้อมกับเม้มปากเพื่อเกลี่ยลิปสติกสีชมพูอ่อน ‍ๆ ให้ทั่วริมฝีปากของตัวเอง "แล้วเพื่อนเรียนคณะอะไรเหรอพริ้ง พี่รู้จักไหม" ฉันเอ่ยถามไปด้วยความเป็นห่วง "โอ๊ย ๆ ๆ พี่พิมพ์เลิกถามซอกแซกเหมือนพ่อสักทีได้ไหม พริ้งโตแล้วนะ" พริ้งพราวบีบไหล่ของฉันและเขย่าเบา ๆ "โอเค ๆ งั้นตอบตามตรงแล้วกันนะ คนที่จะไปกินข้าวเป็นผู้ชายค่ะ และพริ้งก็คุยกับเขามาสักพักแล้ว" เธอกดเปิดโทรศัพท์ก่อนจะสะพายกระเป๋าถือและเตรียมจะเดินออกไปจากห้อง "จบนะ" พริ้งพราวสาวใส่รองเท้าคู่ใหม่เอี่ยมของเธอ ก่อนจะโบกมือลาฉันไปด้วย "แล้วที่สำคัญพริ้งโตมากพอที่จะมีแฟนแล้ว... ก็เหมือนพี่พิมพ์นั่นแหละที่แอบพาผู้ชายมาห้องแล้วเหมือนกัน" พริ้งพราวหรี่ตามองฉันและยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ "ฮะ?" ฉันแอบงุนงงกับคำพูดของน้องสาวตัวเองเหมือนกัน "ก็รองเท้าผ้าใบในห้องน้ำที่แช่ไว้ไง...ไม่ต้องมาทำหน้ามึนหรอกน่า" "ไปกันใหญ่แล้ว พี่ไม่เคยพาใครขึ้นมานอนค้างที่นี่" ฉันยังไม่ทันจะอธิบายเรื่องรองเท้า แต่พริ้งพราวก็เปิดประตูห้องออกไปก่อนแล้ว "ชีวิตหอพักเนี่ย อิสระดีจริง ๆ พริ้งชักเริ่มอยากจะเรียนมหาวิทยาลัยไกล ๆ บ้านเหมือนพี่พิมพ์บ้างแล้วเหมือนกัน" เธอไม่ลืมที่จะโน้มตัวเข้ามาสวมกอดฉันแน่น "แล้วคืนนี้จะกลับกี่โมง" ฉันคว้าข้อมือของน้องสาวไว้และถามอย่างอดห่วงไม่ได้จริง ๆ ในสายตาของฉัน พริ้งพราวยังเด็กมาก ๆ และเธอก็ดื้อมากด้วย "..…" พริ้งถอนหายใจและหันมามองหน้าฉันแบบไม่ค่อยพอใจ "พี่หมายถึงเผื่อพี่ไม่อยู่ห้องน่ะ แล้วก็เผื่อว่าถ้าพริ้งไม่มีรถกลับพี่จะได้แวะรับ" ฉันเลยพูดไปแบบอ้อม ๆ เพื่อให้เธอยอมบอกเวลากลับ "อ๋อ...แหม ๆ แสดงว่าพี่พิมพ์เองก็จะกลับดึกเหมือนกันอะดิ" "พริ้งน่าจะกลับสามสี่ทุ่มน่ะ แค่ไปกินข้าวดูหนังเสร็จก็กลับ" "แล้วก็...ไม่ต้องไปรับหรอกน่า ผู้ชายที่พริ้งคุยเขามีรถ" "อีกอย่าง...เลิกหวงเลิกห่วงน้องสักที เพราะพริ้งรู้ตัวดีว่าพริ้งทำอะไรอยู่" เธอตอบกลับมาเพียงเท่านั้นและปิดประตูใส่หน้าของฉันทันที "ให้มันได้อย่างนี้สิ" ฉันทำได้แค่ถอนหายใจออกมา ก่อนจะรีบกดโทรศัพท์ไปบอกแม่ก่อนว่า น้องสาวมาหาฉันที่หอพัก ไม่อย่างนั้นทางบ้านคงจะเครียดกันใหญ่ พอกลับมาถึงห้อง ฉันก็สาละวนกับการซักผ้า รีดผ้า และก็เตรียมหางานพาร์ตไทม์แถว ๆ มหาวิทยาลัยทำไปพลาง ๆ ปัง ๆ ๆ ๆ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นอีกครั้ง "คนที่เคาะเหี้ย ๆ แบบนี้ มีอยู่ไม่กี่ตัวเท่านั้น" ฉันถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องด้วยใบหน้าเซ็ง ๆ แอ๊ด! "มึงช่วยเคาะเบา ๆ แบบคนมีมารยาทหน่อยได้ไหม" ฉันกระชากประตูเปิดออกมาพร้อมกับสวนคำด่าไปในทันที "กูกลัวมึงไม่ได้ยินไง" ไอ้ออโต้ที่แต่งตัวแบบเต็มยศ พร้อมกับฉีดน้ำหอมฟุ้งจนฉันแทบจามจนจมูกจะหลุดออกมา "แล้ว...ทำไมยังไม่แต่งตัวอีก" ไอ้ออโต้เอ่ยถามเมื่อเห็นสภาพของฉันในชุดเสื้อยืดกางเกงขายาวเตรียมนอน "แต่งตัวไปไหน" ฉันเกาหัวถามไปอย่างงง ๆ "บลูมูนบาร์ไง" ไอ้โยที่เดินตามหลังมาก็พูดแทรกขึ้นมาทันควัน "นี่พวกมึงยังจะไปอีกเหรอ ทั้ง ๆ ที่คนเหมาร้านไม่ถูกกับเราเนี่ยนะ" ฉันส่ายหน้าและยืนกรานจะไม่ไป "ไอ้พิมพ์ เหล้าฟรี เบียร์ฟรี ไม่ไปก็โง่แล้วไหม" ไอ้ออโต้ผู้เห็นแก่ของฟรีพูดขึ้นทันที "ไม่เอาอะ อะไรที่ได้มาจากไอ้เพอร์ซุสอะไรนั่น กูไม่รับเด็ดขาด" ฉันยังคงยื่นคำขาดไป "และเชื่อเถอะไม่มีใครจากวิศวะไปหรอก" ฉันพูดขึ้นด้วยความมั่นใจก่อนจะเดินหันหลังกลับเข้ามาในห้อง และเหลือบมองไปทางรองเท้าผ้าใบของเขาที่วางตากไว้ที่ระเบียง...ซึ่งเป็นตามที่คิดเลยคือรอยหมึกซึมมันซักไม่ออกจริง ๆ ไอ้โยเดินตามมาหยุดตรงหน้าของฉัน พร้อมกับหยิบโทรศัพท์เปิดภาพบลูมูนบาร์ที่เต็มไปด้วยเด็กจากวิศวะ "ไม่ไปห่าอะไร บาร์เต็มจนแทบจะยกโต๊ะเลยมาขอบถนนแล้ว" เขาชี้ปลายนิ้วไปที่รุ่นพี่ปีสี่โฆษกของคณะที่เพิ่งจะบาดหมางกับเพอร์ซุสไป ตอนนี้ยืนถือแก้วเบียร์อยู่โต๊ะหน้า ๆ เลยด้วยซ้ำ "ฟังนะเว้ย ต่อให้มันจะเหมาร้านเพื่ออะไรก็ตาม แต่บาร์นี้มันถิ่นเรา ถ้าเราไม่ไป มันก็เหมือนกับว่าเราโดนแย่งที่ปะ" ไอ้ออโต้พูดเสริมพร้อมกับเดินเข้ามาในห้องของฉัน และหยิบเสื้อผ้าเที่ยวชุดเดิม ๆ โยนใส่หน้าของฉันทันที "เออ ๆ แต่กูกลับสามทุ่มนะ" ฉันหันไปตกลงกับพวกเพื่อน ๆ ก่อนไป "ก็ถ้าจะกลับไว ก็รีบไปเปลี่ยนชุดสิครับ" ไอ้โยว่าแดกดันพร้อมกับเดินไปเปิดประตูห้องน้ำ แล้วผายมือเชิญ "ถ้ามึงไม่เปลี่ยนชุด กูกับไอ้โยจะจับมึงแต่งตัวเองนะ" ไอ้ออโต้แกล้งทำหน้าหื่น ๆ หยอกล้อใส่ฉัน "ก็ลองดูดิ ถ้าพวกมึงอยากคางแตกอะ" ฉันกำหมัดแน่นและหันไปขู่พวกมัน ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ "เออ...แล้วก็อย่าทำหน้าแบบนี้อีกนะ" ฉันแง้มประตูห้องน้ำออกมาพร้อมกับชี้หน้าไอ้ออโต้อย่างจริงจัง "ทำไม...หรือว่ามึงเริ่มหวั่นไหวกับเพื่อนสนิทอย่างกู" ไอ้ออโต้ทำท่าปาดทรงผมสุดเท่ของมันขึ้นราวกับพระเอกหนังไทยโบราณ "เปล่า...หน้ามึงเหมือนลิงหิวกล้วยอะ" "กูตลก!"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD