7
“หยุดร้องไห้ได้แล้ว ทำตัวเป็นเด็กสี่ห้าขวบไปได้”
“ก็คุณเกื้อบอกว่าจะเอาผมไปขาย”
“...”
“แล้วตกลงคุณเกื้อจะเอาผมไปขายจริง ๆ เหรอครับ? จะเอาผมไปขายเนี่ยนะ” ใบว่านถามย้ำ ขณะที่ดวงตาสวยก็ยังเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา เพราะยังรู้สึกขวัญผวากับเหตุการณ์เมื่อครู่นี้อยู่
“ยังไม่เลิกอีกนะ ฉันแหย่นิดแหย่หน่อยไม่ได้หรือไง” อีกฝ่ายถามกลับมาทั้งหน้านิ่ง
“ค—แค่แหย่จริง ๆ ใช่ไหมครับ”
“ฉันเพิ่งรู้ว่านายเป็นมนุษย์ที่น่ารำคาญก็วันนี้แหละ” ว่าจบ คุณเกื้อก็หันไปทางคุณกานต์เล็กน้อย เมื่ออีกฝ่ายต้องการสั่งบางอย่าง
“กานต์ ตอนนี้นายช่วยพาใบว่านไปห้างตามที่ฉันบอกที เพราะอยู่กับใบว่านนาน ๆ แล้วฉันปวดหัว”
“ได้ครับ คุณเกื้อ” คุณกานต์พยักหน้ารับคำสั่ง จากนั้นอีกฝ่ายก็เดินเข้ามาหาใบว่านแล้วพูดบางอย่างกับเขา
“คุณใบว่านครับ เราไปห้างสรรพสินค้าด้วยกันเถอะครับ”
แม้ใบว่านจะมีอาการงุนงงอยู่ไม่น้อย เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าทำไมคุณเกื้อถึงต้องใช้ให้คุณกานต์พาเขามายังห้างสรรพสินค้าด้วย แต่ใบว่านก็ยังตามมาอยู่ดี โดยห้างสรรพสินค้าที่คุณกานต์พาใบว่านมานั้น มันก็ไม่ได้อยู่ไกลจากโรงแรมเท่าไรนัก เป็นห้างหรูใจกลางเมือง มีกลุ่มลูกค้าอย่างชัดเจนว่าจะต้องเป็นพวกมีเงินเท่านั้น ถึงจะสามารถมาจับจ่ายในห้างนี้ได้
เนื่องจากในห้างนี้มีแต่ของแพง ๆ คนที่ได้ค่าแรงสามร้อยต่อวัน เห็นทีหากคิดจะมาเดินห้างนี้ก็คงจะซื้อได้แค่น้ำเปล่าเท่านั้น
“คุณกานต์พาผมมาที่นี่ทำไมเหรอครับ?” ระหว่างที่กำลังเดินตามหลังคุณกานต์คล้ายกับเด็กหลงทาง ใบว่านก็ตัดสินใจถามอีกฝ่ายด้วยสายตาใคร่รู้ เนื่องจากเขาเดาไม่ได้จริง ๆ ว่าทำไมต้องพาเขามายังห้างนี้
“อ๋อ พอดีคุณเกื้อนัดคน ๆ หนึ่งไว้ให้คุณใบว่านน่ะครับ”
“ครับ?”
“เดี๋ยวพอไปถึง เขาจะช่วยดูแลเรื่องการแต่งตัวและปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ให้คุณใบว่านนะครับ เพราะงั้นคุณใบว่านไม่ต้องกังวลนะ” คุณกานต์ขยายความต่อ ทว่านั่นกลับทำให้คนที่ยังไม่รู้อะไรเกิดอาการงงเป็นไก่ตาแตกยิ่งกว่าเดิม
“แล้วทำไมเขาต้องมาดูแลภาพลักษณ์ของผมด้วยเหรอครับ มันทำไมเหรอ” เมื่อใบว่านถามออกไปเช่นนั้นคุณกานต์ก็นิ่งไปพักหนึ่ง อีกฝ่ายไล่สายตามองใบว่านตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยท่าทีหนักใจแล้วพูดบางอย่างกลับมา
“หากคุณใบว่านจะไปพบผู้ใหญ่ด้วยชุดแบบนี้ ผมเกรงว่ามันจะไม่เหมาะนะครับ”
ยังไม่ทันที่ใบว่านจะได้ถามต่อว่าผู้ใหญ่คนที่อีกฝ่ายพูดถึงคือใคร คุณกานต์ก็เดินดุ่ม ๆ หนีใบว่านไปเสียก่อน ซึ่งพอใบว่านเดินตามอีกฝ่ายไปถึงร้าน ๆ หนึ่งและผลักประตูเข้าไปข้างใน เขาก็ถูกพนักงานในนั้นพาไปนั่งบนเก้าอี้แล้วจัดแจงหยิบเอาอุปกรณ์ต่าง ๆ มาติดตามผมเผ้าของใบว่าน เหมือนจะทำผมให้
“เดี๋ยว ๆ นี่มันอะไรกัน” ใบว่านถามเสียงงง
“ก็ตามที่ผมบอกไงครับคุณว่าน เดี๋ยวพนักงานของคุณพงษ์จะเป็นคนจัดการปรับภาพลักษณ์ให้คุณใบว่านเอง เพราะก่อนหน้านี้คุณเกื้อได้เข้ามาคุยให้แล้วครับ” พูดจบ คุณกานต์ก็ทิ้งใบว่านแล้วเดินไปรอที่มุมหนึ่งของทางร้านทันที ทิ้งให้ใบว่านนั่งทำหน้างงอยู่บนเก้าอี้
ใจจริงเขาอยากจะโวยวายเสียให้รู้แล้วรู้รอดด้วยซ้ำ แต่เพราะกลัวว่าเรื่องนี้มันจะไปถึงหูคุณเกื้อ สุดท้ายใบว่านจึงทำได้แค่โวยวายกับตัวเองในความคิดเท่านั้น
ราวกับเป็นละครหลังข่าวที่ใบว่านกำลังถูกใครไม่รู้มาแปลงโฉมให้...
หลังนั่งนิ่งทำตัวเป็นตุ๊กตาให้พนักงานจับเบี่ยงซ้ายขวาอยู่นานเป็นชั่วโมง ในที่สุดช่วงเวลาที่ใบว่านรอคอยก็มาถึงเสียที นั่นก็คือการเดินออกจากร้านนี้ เพราะใบว่านรู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ผิดที่ผิดทางอย่างบอกไม่ถูก
นี่มันไม่ใช่ที่ของเขาเลยสักนิด ใบว่านรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมา เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่เขาก็ได้มาจากตลาดนัดของมือสองทั้งนั้นแถมการตัดผมใบว่านก็มักจะไปใช้บริการที่บาร์เบอร์ของคุณลุงท้ายซอยเป็นประจำ ไม่เคยได้มาใช้บริการแต่งหน้าทำผมในห้างหรูแบบนี้เลยสักครั้ง
“ตอนนี้ทุกอย่างก็เรียบร้อยหมดแล้ว ถ้างั้นพวกเรารีบไปกันเถอะครับ เดี๋ยวจะสาย” เมื่อคุณกานต์ใช้สายตาตรวจดูความเรียบร้อยของใบว่านเสร็จแล้ว อีกฝ่ายก็บอกกันด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“แล้วจะไปไหนเหรอครับ กลับโรงแรมไปหาคุณเกื้อเหรอ”
“ไม่ใช่ครับ” คุณกานต์ส่ายหน้าปฏิเสธและพูดต่อ “เดี๋ยวเราจะไปอีกที่ ๆ หนึ่ง แล้วคุณเกื้อก็จะไปเจอพวกเราที่นั่น”
“ถ้าผมถามว่าคุณกานต์จะพาผมไปไหน คุณกานต์ก็คงไม่ยอมบอกผมใช่ไหมครับ?”
“...”
“เฮ้อ งั้นก็ตามใจคุณกานต์เถอะครับ พวกคุณอยากทำอะไรกับผมก็ทำเถอะ เพราะยังไงนี่ก็คงไม่ใช่ชีวิตของผมอีกต่อไปแล้ว” ใบว่านพูดด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ เนื่องจากเขารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะขาดอิสรภาพในอีกไม่ช้านี้
เวลาต่อมา หลังขึ้นมานั่งบนรถตู้และใช้เวลาเดินทางอยู่นานพักใหญ่ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจุดหมายอีกที่หนึ่งเสียที ซึ่งปลายทางที่คุณกานต์พาใบว่านมา มันก็ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้าอีกแล้ว แต่เป็นโรงแรมแห่งหนึ่งที่ใบว่านไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
“นั่นไงครับ คุณเกื้อกำลังยืนรออยู่พอดีเลย” คุณกานต์พูดกับใบว่าน พร้อมผายมือไปยังทางหนึ่งที่ ๆ มีผู้ชายตัวสูงชะลูดยืนคอยอยู่ โดยคุณเกื้อก็ยังใส่ชุดทำงานของเมื่อเช้าอยู่ ที่เป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวพับแขนขึ้นพอลวก ๆ พร้อมด้วยกางเกงขายาวสีดำสนิทและรองเท้าหนังของแบรนด์หรู
“ฉันนึกว่าจะต้องรอนานกว่านี้ซะอีก” คุณเกื้อพูดกับคุณกานต์ หลังผู้ช่วยของอีกฝ่ายพาใบว่านเดินมาหาเจ้าตัวแล้ว ซึ่งหลังจากที่คุณเกื้อพูดกับผู้ช่วยของตัวเองเสร็จ อีกฝ่ายถึงค่อยเลื่อนสายตาหันมามองใบว่าน เพื่อดูผลงานที่เจ้าตัวไปสั่งเอาไว้กับเจ้าของร้าน
“ค่อยดูดีขึ้นมาหน่อย” อีกฝ่ายเอ่ยพร้อมยกยิ้มมุมปากจาง ๆ คล้ายกับพึงพอใจกับอะไรบางอย่าง แล้วค่อยพูดต่อ “ตอนนี้เรารีบขึ้นไปกันเถอะว่าน เพราะแม่ฉันมาถึงที่นี่ได้สักพักแล้ว”
“อ—อะไรนะครับ” เพียงแค่ได้ยินอย่างนั้น ใบว่านก็ถึงกับต้องหลุดคำถามออกมาทันที เมื่อตอนแรกเขาตั้งท่าจะไม่พูดกับคุณเกื้ออยู่แล้วเชียว
เหตุการณ์ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ใบว่านยังไม่ทันจะได้รับคำตอบอะไรจากคุณเกื้อด้วยซ้ำ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เขากำลังนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับคุณนายคนหนึ่งแล้ว
“นี่แม่นึกว่าเราจะเบี้ยวนัดแม่แล้วนะเนี่ย”
“ผมเคยทำแบบนั้นเสียที่ไหนกัน” คุณเกื้อที่นั่งอยู่ข้างใบว่านตอบกลับไป
“แหม... แกทำแบบนั้นกับแม่เป็นประจำนั่นแหละตาเกื้อ” คุณนายเอ่ยทั้งรอยยิ้ม จากนั้นเธอถึงค่อยเลื่อนสายตามองมาที่ใบว่านที่เอาแต่นั่งเงียบเป็นเป่าสาก ไม่มีปากไม่มีเสียง
“ชื่ออะไรเหรอจ๊ะ?” คุณนายเอ่ยถามใบว่าน ทำเอาคนที่ยังงงกับสถานการณ์ทุกอย่างเผลอสะดุ้งเล็กน้อยแล้วค่อยตอบกลับไปเสียงสุภาพ
“ผมชื่อใบว่านครับ”
“เป็นแฟนกับเกื้อเหรอ” เธอถามต่อ
“ครับ?”
“ตาเกื้อ... นี่แกไปเอาเด็กที่ไหนมาหลอกแม่อีกเนี่ย” คราวนี้คุณนายหันไปถามลูกชายอย่างเอาเรื่อง แล้วในวินาทีเดียวกันนั้นคุณเกื้อก็เผลอแสดงพิรุธออกมาให้เห็นเช่นกัน ก่อนที่ต่อมาเจ้าตัวจะกลับมาแสดงท่าทีปกติเหมือนไม่มีอะไรทั้งนั้น
“ผมไม่ได้หลอกครับ แต่ใบว่านเขาก็แค่ตกใจเฉย ๆ เพราะก่อนที่เราจะมาที่นี่ ผมยังไม่ได้บอกเขาเลยว่าจะพามาเจอแม่”
“แล้วทำไมแกถึงไม่บอกเขา”
“ก็แม่นัดผมกะทันหันเหมือนกัน แล้วจะให้ผมเอาเวลาที่ไหนไปบอกล่ะครับ” คุณเกื้อสวนกลับไปทันที ในขณะที่แม่ของอีกฝ่ายก็ได้หรี่ตามองลูกชายของเธอด้วยสายตาจับผิด
“ดูไว้ใจไม่ได้เลยแฮะ”
“เราสองคนเป็นแม่ลูกกัน เพราะงั้นแม่ก็ต้องดูออกสิครับว่าผมพูดจริงหรือโกหก เว้นเสียแต่ว่า...” คุณเกื้อเว้นวรรคคำพูดของตัวเองเอาไว้ จงใจจะให้แม่ของเจ้าตัวเติมคำในช่องว่างนั้นเอง
“เฮ้อ พอโตมาทำไมแกถึงเป็นคนร้ายกาจแบบนี้นะ กับแม่แท้ ๆ แกก็ยังไม่คิดจะเว้นเลยนะเกื้อ”
“ลูกไม้มันหล่นไม่ไกลต้นหรอกครับแม่” คุณเกื้อพูดพลางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยคล้ายกับพอใจบางอย่าง จากนั้นอีกฝ่ายถึงค่อยหันหน้ามองมาที่ใบว่านแล้วจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเขา
นี่คุณเกื้อต้องการจะให้ใบว่านทำอะไรให้กัน? ใบว่านถามกับตัวเองในใจ เนื่องจากเขาตีความสายตาของคุณเกื้อไม่ออก คาดเดาไม่ได้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากเขากันแน่
“แล้วนี่ใบว่านอายุกี่ปีแล้วจ๊ะ บรรลุนิติภาวะยัง?”
“บรรลุนิติภาวะแล้วครับ ตอนนี้ผมอายุยี่สิบเอ็ดกำลังจะยี่สิบสองแล้ว”
“แล้วไปเจอกับตาเกื้อได้ยังไงเหรอจ๊ะ? คบกันนานหรือยัง”
“แม่ครับ...”
“แกหยุดเลยนะตาเกื้อ นี่แม่กำลังคุยกับแฟนแกอยู่ อย่าทำตัวเสียมารยาทสิ” แม่ของคุณเกื้อรีบร้องห้ามโดยพลัน เมื่อคุณเกื้อตั้งท่าจะขัดขวางการสนทนาของเธอกับใบว่าน
“อ—เอ่อ”
“ใบว่าน” ทันใดนั้นคุณเกื้อก็เรียกชื่อกัน เหมือนต้องการจะส่งสัญญาณบางอย่างให้ใบว่าน
“นี่แกเรียกชื่อแฟนแกทำไม” แม่ของคุณเกื้อถาม
“ผมก็แค่อยากเรียกเฉย ๆ แม่จะทำไม”
“แกกำลังส่งสัญญาณให้ใบว่านล่ะสิท่า”
“ผมเปล่า” คุณเกื้อเถียงคอเป็นเอ็น จากนั้นอีกฝ่ายก็มองมาที่ใบว่านอีกครั้งด้วยสายตาคาดหวัง
“เอาล่ะ... ใบว่านตอบมาสิจ๊ะ ว่าเรามาเจอกับลูกชายของแม่ได้ยังไง” แม่ของคุณเกื้อหันมาถามกันอีกหน โดยในวินาทีนั้นใบว่านที่เริ่มจะคาดเดาอะไรได้แล้วก็ถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ก่อนที่เขาจะทำการแต่งเรื่องแบบด้นสดออกมา ทั้งที่ความจริงแล้วใบว่านไม่ได้อยากทำเลยแม้แต่นิด
แต่ที่เขาต้องทำ... นั่นก็เพราะหากเขาพูดความจริงออกไป คุณเกื้อต้องเอาใบว่านไปขายแน่ ๆ
“ผมกับคุณเกื้อเราเจอกันที่มหาลัยครับ”
“ว—ว่าไงนะจ๊ะ? เจอกันที่มหาลัยงั้นเหรอ แล้วไปเจอกันได้ยังไง” แม่ของคุณเกื้อถามต่ออย่างไม่เชื่อหู
“พอดีคุณเกื้อไปเป็นวิทยากรพิเศษน่ะครับ เราสองคนก็เลยได้เจอกันที่นั่น”
“คนอย่างตาเกื้อเนี่ยนะ!?”
“แม่ครับ แล้วแม่จะตกใจอะไรขนาดนั้น” คุณเกื้อถามแม่ของตัวเองทั้งคิ้วขมวด เหมือนต้องการจะขัดขวางไม่ให้แม่ของตัวเองซักไซ้ใบว่านมากกว่านี้
“ก็เพราะเป็นแกนี่แหละ แม่เลยตกใจ” แม่ของคุณเกื้อหันไปตอบลูกชายแล้วกลับมาให้ความสนใจกับใบว่านอีกครั้ง
“เล่าต่อสิจ๊ะ แม่เชื่อนะว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น”
“อ—เอ่อก็นั่นแหละครับ ผมกับคุณเกื้อเราเจอกันที่นั่น เราตกหลุมรักกันและกันตั้งแต่แรกเห็น ก็เลยได้มีโอกาสสานสัมพันธ์กันมาตั้งแต่ตอนนั้น” ใบว่านตอบเสียงแผ่ว โดยเขาก็เลือกที่จะเอาพล็อตละครหลังข่าวออกมาใช้
“ฟังดูแล้วเหมือนเป็นนิยายรักสักเรื่องเลยนะลูก” แม่ของคุณเกื้อว่า ในขณะที่ลูกชายของเธอก็เริ่มมีท่าทีกุมขมับแล้ว ซึ่งนี่ก็คงจะมีอยู่แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่คุณเกื้อจะเสียอาการได้ถึงขนาดนี้
“จะคิดอย่างนั้นก็ได้นะครับ แหะ ๆ” ใบว่านตอบกลับไปพร้อมหัวเราะแห้ง ๆ ให้หนึ่งหน เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องพูดอะไรต่อ แถมยังกลัวด้วยว่ามันจะทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม
“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แม่ก็ยังรู้สึกแปลก ๆ อยู่นะ” แม่ของคุณเกื้อว่าต่อ และคราวนี้เธอก็ไม่ได้จับผิดลูกชายของเธอเพียงคนเดียว เธอยังมองมาที่ใบว่านด้วยสายตาจับผิดด้วย ทำเอาคนที่ไม่เคยถูกใครมองกันด้วยสายตาคาดคั้น ถึงกับตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะตามประสาคนที่มีชนักติดหลัง
“นั่นไง! ใบว่านมีพิรุธ... เพราะงั้นแกยอมรับมาเลยนะตาเกื้อ ว่าแกเอาเด็กมาหลอกแม่”
“เฮ้อ จะเอามาหลอกแม่ได้ยังไงกันครับ ผมกับว่านเรารักกันจริง ๆ นะ”
“...”
“เรารักกันครับแม่” คุณเกื้อพูดย้ำอีกหน โดยอีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดเปล่า แต่ยังถือวิสาสะดึงมือใบว่านขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะแล้วยกขึ้นไปจุ๊บเบา ๆ ทำเอาคนถูกสัมผัสถึงกับสะดุ้งโหยง เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ส่วนคุณแม่ของคุณเกื้อก็มีอาการนิ่งค้างไปเช่นกัน ก่อนที่ต่อมาเสียงหัวเราะของเธอจะดังขึ้น คล้ายกับชอบอกชอบใจ
“ดี… ถ้าสองคนรักกันจริงแม่ก็ดีใจแล้ว เพราะแม่จะได้อุ้มหลานสักที” เธอว่าทั้งรอยยิ้ม ดูมีความสุขมากหลังจากที่ได้เห็นลูกชายตัวเองแสดงความรักกับใบว่าน
“ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ แม่ยินดีต้อนรับเรามากก ใบว่านไม่ต้องกังวลเลยนะลูกว่าจะเกิดปัญหาแม่ผัวกับลูกสะใภ้” แม่ของคุณเกื้อบอกใบว่านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ต่างจากลูกชายของเธอที่กำลังมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด